return to
dhamma tips

4Z
r's Dhamma Tips
  สมาธิร้อยสาย
 

Back to previous page   Go to next page

 

Last updated
11-06-1999


ทำเรื่องยากให้ง่าย

มุ่งฝึกสมาธิ ต้องค่อยๆดัดจิตจับใจให้ช้าลงจนความคิดอยู่ในกำมือ ฝึกการรับรู้ใหม่ไม่ว่าทางตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ฝึกให้อยู่ในความควบคุม ทีละอย่างจนชำนาญแล้วจึงค่อยเพิ่มความยากความซับซ้อนในภายหลัง

เดิมจากการมองเห็นภาพรอบข้าง ทั้งที่เห็นด้วยตาเนื้อและที่เห็นขึ้นในจิตเป็นเรื่องเป็นราว ให้เปลี่ยนมาเพ่งดวงแก้วกลมใส ซึ่งเป็นภาพง่ายๆ

เดิมจากการนึกถึงเรื่องต่างๆที่เคยจำ เรามักนึกถึงเรื่องราวที่เคยรู้เห็นมาก่อนอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะจากการกระตุ้นจากการมองเห็น ให้เปลี่ยนมานึกถึงภาพลูกแก้วกลมใส พร้อมไปกับนึกถึงคำบริกรรมภาวนา

เดิมจากการคิดเรื่องต่างๆต่อจากการนึก และคิดเรื่องต่างๆเนื่องจากประสาทสัมผัสถูกกระตุ้น ให้เปลี่ยนมาคิดถึงและพยายามรักษาภาพนิมิตและคำบริกรรมภาวนาให้เกิดขึ้นไม่ขาดตอน

เดิมจากการสนองตอบต่อสิ่งเร้าตามธรรมชาติ และใช้สติแบบวูบๆ ให้เปลี่ยนมาใช้สติตามรู้ถึงการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และการดับไป ของภาพนิมิตและคำบริกรรม

นำเห็น จำ คิด รู้ มาประชุมพร้อมกันแบบง่ายๆแบบที่เราสามารถฝึกฝนจิตให้มีพลังได้มากขึ้น เมื่อจิตหยุด ก็เท่ากับเห็น จำ คิด รู้สมดุลกันพอดี สมาธิจึงเกิดขึ้น แล้วฝึกให้เกิดความชำนาญในการเข้าออกสมาธิได้ง่ายและรวดเร็ว


ฝึกเผื่อวันสิ้นยุค

ปี ค.ศ. 2000 เป็นเป้าหมายที่เราต้องฝึกสมาธิสำเร็จให้ได้ก่อนหน้านั้น หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆจะได้ใช้สมาธิให้เป็นประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่น หากไม่เกิดเรื่องร้ายก็ถือว่าเราได้ทำดีไม่เสียอะไร คนที่ไม่ได้เผื่อไม่ได้เตรียมตัวไว้เลยนี่สิน่าเสียดายนัก หากเกิดเรื่องฉุกเฉินตายไปจะเกิดใหม่ไม่ดี

นี่ขนาดคนตั้งมากมายเริ่มเชื่อเริ่มใสใจ นักวิทยาศาสตร์เริ่มสนใจกันจริงจัง ดาวหางพุ่งชนดาวพฤหัสให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว แต่ยังมีคนอีกมากยังประมาทกันอยู่อีก แม้หายนะอาจไม่เกิดกับตัวโลก แต่เห็นได้แล้วตอนนี้ว่า คนเรามีจิตใจเสื่อมโทรมลง เศรษฐกิจแย่หายนะไปก่อน แล้วต่อไปจิตใจคนเรามิแย่ดิ่งลงเร็วขึ้นหรือ


วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2541

ทำไหวให้นิ่ง แล้วทำนิ่งให้ไหว

ปกติจิตคนเราไม่อยู่นิ่งและชอบเคลื่อนไหวเกิดอาการตามสิ่งที่รับรู้ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จิตใจคอยแต่จะส่ายอย่างไม่มีระบบ จนกระทั่งเราทำสมาธิ เพ่งหรือกำหนดจิตใส่ใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และใช้สติคอยตามรู้สภาวะในทุกขณะ จิตจึงสงบนิ่ง

เมื่อเกิดสมาธิ จิตจะสงบเกิดความปีติสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าปล่อยให้จิตนิ่งแต่อย่างเดียวต่อไป จิตจะได้แต่ความสงบอย่างง่ายๆ เรียกว่าไม่ค่อยมีกำลัง ดังนั้นจึงต้องหาทางฝึกจิตให้เคลื่อนไหวอย่างมีระบบ และจับความนิ่งในอาการเคลื่อนไหวนั้นเป็นพลังขับดันให้เกิดความสงบนิ่งแบบแนบแน่นมากขึ้น จิตจึงเกิดสภาวะพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง แต่ยังคงมีหลักปักแน่นให้สมาธิรักษาตนเองได้ต่อไป สามารถใช้กำลังของจิตไปพิจารณาสภาวะธรรมและต่อสู้กับกิเลสได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นได้จากการหมุนตัวของเครื่อง ทำให้เกิดความสงบสว่างสะอาดและใส เมื่อจิตสงบจะพบเห็นกับการหมุนตัวนี้ หรือจะกำหนดให้หมุนเพื่อทำให้เกิดความสงบก็ได้ เครื่องของภาคปราบหมุนขวา เราต้องฝึกเพ่งเข้ากลางของกลาง เร่งการหมุนให้เร็วทับทวีขึ้นเรื่อยๆ ใช้การคำนวณนำเวลานับอสงไขยปีมาทำให้สำเร็จในช่วงแค่หนึ่งวินาทีจิต แล้วชนเท่าเข้าไปอีกหลายๆเท่า เครื่องจะหมุนเร็วขึ้นเองอย่างที่เราไม่ต้องเหนื่อย

เมื่อเราฝึกหมุนเครื่องแล้วจะเกิดพลังที่แนบแน่น สามารถพิจารณาสภาวะธรรมได้ทั้งๆที่จิตยังคงนิ่งอยู่ พอกิเลสเงยขึ้น ก็ถูกฟันเปรี้ยง เป็นจังหวะที่เกิดขึ้นเร็วมาก เร็วกว่าการใช้ความนึกคิดพิจารณาในอารมณ์สมาธิขั้นต้น เป็นจังหวะต่อเนื่องกันระหว่างนิ่ง ไหว นิ่ง ไหว นิ่ง ไหว …. เร็วจนเหมือนเป็นจังหวะเดียว


ถัมมา อาระหาง

เวลาบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง ต้องคอยกำหนดสติตามรู้ให้ชัดด้วยเสมอว่า ที่เรานึกบริกรรมภาวนาอยู่นั้น เพี้ยนเป็นคำอื่นไปหรือไม่ ภาวนาแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำจิตให้สงบ ไม่ต้องเพ่งอะไรเพิ่มเติมอีก ขอให้ฝึกบริกรรมภาวนาหรือบริกรรมนิมิตอย่างมีคุณภาพเสมอ เรียกว่าฝึกให้ละเอียดสุดละเอียด


ขโมยพลัง รับพลัง สร้างพลัง

ผลจากสมาธิจะทำให้เราไวต่อพลังรอบตัว สามารถรู้ว่าคนที่เข้ามามุ่งดีหรือร้าย จิตใต้สำนึกจะเด่นขึ้น ลางสังหรณ์จะแม่นยำมากขึ้น ดังนั้นเราต้องคอยติดตามศึกษาและปรับตัวเข้ากับสิ่งเหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อย

เมื่อจิตสงบมีสภาวะละเอียดเทียบเท่ากับกับพลังต่างๆ จะสามารถสื่อถึงพลังเหล่านั้นได้ จึงต้องระวังไว้ว่า เราต้องไม่ขโมยพลังของผู้อื่น แต่ในทางตรงกันข้าม เราต้องพยายามสร้างพลังของตนเอง เพราะแรกเริ่มเดิมทีเราก็เคยมีสภาวะเป็นทิพย์มาก่อน เพียงแต่ถูกอวิชชาครอบงำปกปิดสภาวะทิพย์เหล่านั้น เมื่อจิตเกิดพลังจะสามารถกลั่นธาตุธรรม ย้อนผลหาเหตุ แล้วสะสางให้กลับสู่กำเนิดดั้งเดิมได้เอง

การขโมยพลังและรับพลัง อาจนำพลังร้ายมาสู่ตนโดยไม่รู้ตัว ยิ่งยุคนี้สภาวะแวดล้อมและธรรมชาติเต็มไปด้วยพิษภัย ดังนั้นจิตของผู้ฝึกต้องสะอาดบริสุทธิ์ก่อนเพื่อเกิดสภาวะสอดคล้องกับพลังที่จะ-ขอ-รับเข้ามา และยังต้องรู้จักรักษาพลังที่รับเข้ามาให้คงอยู่กับพลังของตนเองต่อไป

 
Back to previous page   Go to next page


 

1