return to
dhamma tips

4Z
r's Dhamma Tips
  สมาธิร้อยสาย
 
 

Last updated
11-06-1999


ตามรู้เหตุและผล เริ่มที่กาย แต่อย่ายึดติดกับกาย

สิ่งที่ใช้ยกขึ้นเป็นที่ให้จิตระลึกตามรู้ต้องเริ่มจากสิ่งที่เป็นตัวของเราเอง โดยให้ใช้กายเป็นเหมือนสิ่งหนึ่งให้ศึกษา อย่าส่งจิตออกนอกกาย จากกายนี่แหละที่เป็นต้นตอบ่อเกิดแห่งเวทนาความรู้ความรู้สึกและความคิดความทรงจำทั้งหลาย

การกำหนดสติตามรู้ลมหายใจเข้าออก ณ จุดกระทบ 3 ฐาน ต่างจากการกำหนดสติตามรู้การหายใจหรือการตามรู้อาการพองยุบของหน้าท้อง จุดพิจารณาสำคัญคือ ลักษณะการตามรู้ที่เหตุหรือตามรู้ที่ผล

การตามรู้ที่เหตุ หมายถึงตัวต้นตอสาเหตุของสภาวะอาการนั้นๆ เช่น อาการขยับตัวของร่างกายเพื่อหายใจเป็นเหตุ ส่วนลมหายใจซึ่งผ่านเข้าออกร่างกายกระทบประสาทสัมผัสที่จมูกหรือภายในทางเดินลมหายใจเป็นผล จึงเป็นการตามรู้ที่ผล เท่ากับใช้อาการของกายที่รับรู้เป็นสิ่งให้ตามรู้

เราจะเลือกใช้การตามรู้ที่เหตุหรือตามรู้ที่ผลอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่นำมาฝึกปะปนกัน เมื่อจะมุ่งฝึกจับที่ผลก็ต้องใช้สติกำหนดตามรู้ที่จุดลมหายใจตกกระทบ อย่าไปใช้สติตามรู้อาการของร่างกายที่ขยับหรือสลับไปมาระหว่างเหตุและผล

การกำหนดสติตามรู้ลมหายใจเข้าออก ณ จุดกระทบ 3 ฐาน เป็นการใช้กายฝึกจิตให้มีกำลังมากขึ้น และเน้นจับความรู้สึกลมกระทบภายในกายตามเส้นทางลมหายใจสู่ศูนย์กลางกาย ทำให้กำหนดจุดศูนย์กลางกายได้ไปในตัว

ยามใดที่เกิดปัญหาให้ครุ่นคิดหาคำตอบ ยามนั้นยิ่งคิดแม้แต่เพียงนึกคิดคำบริกรรมภาวนา ส่งผลให้จิตคิดมากขึ้นมาเองอีก ยากจะทำสมาธิสงบจิตสงบใจ จึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความคิดทั้งหลายทั้งปวง แล้วหันมาการกำหนดสติตามรู้ลมหายใจเข้าออก ณ จุดกระทบ 3 ฐาน เมื่อรู้ว่ากำลังหายใจเข้า จึงภาวนาในใจว่า สัมมา เมื่อรู้ว่าหายใจออก จึงภาวนาว่า อะระหัง ใช้การคิดบริกรรมภาวนาเพื่อกำกับตามรู้ลมหายใจเพียงเท่านี้จิตจะสงบง่ายขึ้นมาก


จุดกระทบ 3 ฐานยากไป

หากยากไปสำหรับตอนเริ่มต้น ให้กำหนดตามรู้ลมกระทบแต่ละฐานให้ชำนาญก่อนจนรับรู้ลักษณะอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในแต่ละฐานไดัชัดเจน ต่อไปจึงค่อยเพิ่มฐานอื่นเข้าไปจนสามารถตามรู้ลมหายใจได้ตลอด ไม่จำกัดเฉพาะเพียง 3 ฐาน


วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2541

ทำงานวุ่น เพื่ออนาคต

มนุษย์เราต่างต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงชีวิต สร้างฐานะความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัว พยายามเก็บเงินออมไว้ ต้องดิ้นรนขวนขวายทุ่มเทกำลังกายใจเพื่อความสุขความสบายในอนาคต หลายคนบอกว่าตัวเองวุ่นมากในแต่ละวัน วุ่นวายเสียจนไม่มีเวลาให้กับตนเอง ไหนเลยจะมีเวลามานั่งสมาธิ

ขอให้คิดถึงอนาคตดูให้ดี สาเหตุที่ตัวเราต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเป็นเพราะความกลัวว่าจะไม่มีกินในวันข้างหน้าใช่ไหม ไหนๆคิดถึงอนาคตกันแล้วเลยขอให้คิดกันให้ตลอด อนาคตสุดท้ายของทุกคนย่อมหลีกหนีความตายไปไม่พ้น คิดเลยไปกว่านั้นอีกว่าถ้าชาติหน้ามีจริงแล้ว เราจะมาเกิดใหม่เป็นอะไรก็ยังไม่รู้ สุดแต่บุญแต่กรรมอีกนั่นแหละ

หากอนาคตทำให้กลัว ก็ขอให้คิดให้ตลอดว่า เราคิดถึงความตายกันบ่อยแค่ไหน พอหายใจเข้าปอดแล้วแน่ใจหรือไม่ว่า เวลาใดที่เราจะมีโอกาสหายใจออกอีก ถ้ารู้วันตายได้ก็คงดีไม่ใช่น้อย จะได้เตรียมตัวไว้ให้พร้อม มีโอกาสสั่งเสียและหาทางลดภาระปัญหาไม่ให้ทิ้งไว้ให้กับคนที่ยังอยู่ข้างหลัง จะได้รีบเร่งทำบุญเพื่อจากโลกนี้ไปจะได้ขึ้นสวรรค์ แล้วพอหมดบุญต้องมาเกิดใหม่จะได้เกิดในภพที่ดีกว่าเดิม

ขอให้คิดถึงอนาคตดูให้ตลอด อนาคตไม่แน่ไม่นอน อาจไม่เป็นอย่างที่หวัง ธนาคารที่ฝากเงินไว้อาจล้มละลาย ความเหนื่อยยากแทบเป็นแทบตายหาเงินมาฝากธนาคาร จะกลายเป็นแค่เศษกระดาษเมื่อใดก็ได้ แล้วเราเตรียมตัวสำหรับอนาคตแค่ไหนไว้แล้วบ้าง ไม่ต้องมองสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับคนอื่นหรอก แค่สิ่งที่ตนเองเตรียมไว้สำหรับอนาคตหลังความตายของตนเองนั้นมีอะไรบ้าง

เชื่อไหมว่า ช่วงจังหวะเวลาที่สิ้นลมหายใจนั้นสำคัญมาก หากตายไปแบบมีสมาธิมีสติรู้ตัวตลอดนั่นจะส่งผลให้ไปสู่สวรรค์ แต่ถ้าจิตยังห่วงกังวลถึงภาระทรัพย์สินแล้วจะเป็นแรงส่งให้ไปเกิดตามบุญตามกรรม อีกทั้งคนเราตอนตายมักป่วยเจ็บจนยากจะรักษาสติไว้ได้ สติและสมาธิจึงเป็นสิ่งที่ควรเร่งฝึกฝนให้ชำนาญตั้งแต่วันนี้

คนที่คิดถึงอนาคตโดยตลอดนั้น ไม่กลัวตายหรอก เพราะความตายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่กลัวเกิดใหม่มากกว่าการกลัวตาย เพราะอาจเกิดใหม่อย่างที่ไม่ได้เตรียมไว้ จึงขอให้แบ่งเวลาที่ยังมีชีวิตให้ดี ใช้เวลาในปัจจุบันเผื่อให้กับอนาคตจริงๆ


มีสติทุกขณะ

หากเรามีสติดีอยู่ตลอดเวลา เรื่องผิดพลาดพลั้งเผลอและอุบัติเหตุต่างๆคงมีขึ้นน้อยมาก เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คงผ่อนจากหนักเป็นเบา เพราะในยามคับขันนั้น สติจะช่วยกำกับให้หาทางแก้ไขได้ทันต่อเหตุการณ์

ปกติคนเรามีสติมากบ้างน้อยบ้าง แต่ละคนยังมีสติต่างกันไปในแต่ละเวลาอีก โดยเฉพาะในเรื่องที่ตนเคยทำจนคุ้นเคย แบบสามารถหลับตาทำยังได้เลยด้วยแล้ว การใช้สติยิ่งไม่จำเป็น ต่อเมื่อเกิดเรื่องเกิดปัญหาอย่างกระทันหันขึ้นมา สติจึงโผล่ขึ้นมาให้เห็นอีกในจังหวะนั้น มนุษย์จึงมักทำเรื่องต่างๆจนดูเหมือนหุ่นยนต์ซึ่งถูกกำหนดขั้นตอนต่างๆไว้ก่อนแล้ว มากกว่าจะเป็นมนุษย์ที่มีสติอยู่ในทุกขณะ

นอกจากนี้มนุษย์ยังตอบสนองต่อสิ่งเร้าและสิ่งกระตุ้นต่างๆรอบตัว ตามธรรมชาติ สัญชาตญาณ และการเรียนรู้ ซึ่งมักเป็นการตอบสนองในทันทีที่ถูกกระตุ้น โดยเฉพาะเมื่อถูกสถานการณ์บีบบังคับด้วยแล้ว หลายเรื่องที่ทำไปจึงอาจไม่ได้ใช้สติเลยก็เป็นได้ แล้วกลับมานั่งเสียใจในภายหลัง

ศัตรูของสติจึงเกิดจากทั้งภายนอกและภายในจิตใจของตัวเอง เราต้องพยายามฝึกสติให้เข้มแข็งพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆ ให้มีสติในทุกขณะจิตและทุกขณะเวลา เพื่อเผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆเมื่อใดก็ได้ ซึ่งการสร้างสติให้เกิดขึ้นและมีกำลังสติตลอดเวลาเป็นเรื่องสำคัญต่อสมาธิ ใช่ว่าปล่อยให้สติเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้ว่าสติของตนมีมาได้อย่างไร หรือจะควบคุมสติ แล้วใช้สติให้เกิดประโยชน์มากขึ้นได้อย่างไร


ภาษาใจของการบริกรรมภาวนา

ในเวลาที่เรารู้สึกร้อน หนาว อิ่ม หิวกระหาย หรือมองที่หนังสือเล่มนี้แล้ว ย่อมนำความรู้สึกและสิ่งที่มองเห็นไปตีความเกิดเป็นภาษาขึ้นในใจ ภาษาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสมมุติบัญญัติขึ้นเพื่อใช้โต้ตอบสื่อสารและทำความเข้าใจในชีวิต แทนที่จะรับรู้ความรู้สึกร้อนว่าเป็นความรู้สึกหนึ่งๆ เรายังนำความรู้สึกนั้นมาตีความเทียบกับความทรงจำที่เรียนรู้มาอีกว่า นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึกร้อน บางคนอาจนึกเห็นตัวอักษรสะกดคำว่า ร้อน ขึ้นในใจเสียอีก

ไม่ว่าจะรับรู้สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความนึกคิดจากภายในก็ตาม กระแสการรับรู้เหล่านี้จะถูกส่งไปตีความและนำไปส่งผลที่จิตอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าไม่มีเวลาใดที่จิตว่างเลยก็ได้ จิตจึงคุ้นเคยกับภาวะโต้ตอบ ยากจะกำหนดจิตให้สงบนิ่งจับอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้นานเท่าที่ต้องการ จิตจึงมีนิสัยเหมือนลิงแสนซน ซึ่งเราต้องหาทางจับลิงนี้ให้ได้ก่อน

การบริกรรมภาวนาเป็นวิธีฝึกลิงให้เชื่องลง ทำให้จิตคิดถึงคำบริกรรมหนึ่งๆซ้ำไปซ้ำมาจนหยุดคิดเรื่องอื่น จะเลือกคำบริกรรมภาวนาใดก็ได้แต่ต้องเป็นคำที่ไม่กระตุ้นจิตให้เกิดความอยากหรือโลดแล่นไปยิ่งกว่าเดิม เมื่อใช้คำที่เกี่ยวข้องกับความสุขความสงบหรือความดี เช่น พุทโธ สัมมาอะระหัง หรือบทสวดระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ย่อมส่งผลให้ผู้ภาวนามีจิตใจสงบตามคำบริกรรมไปในตัว

พยายามบริกรรมภาวนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเร็วไปหรือช้าไป ที่สำคัญอย่าให้ขาดตอน เพื่อกันไม่ให้จิตมีโอกาสคิดเรื่องอื่นเกิดคำอื่นแทรกขึ้นมาได้ หากจิตยังไม่สงบอีกให้เน้นคำภาวนาในใจนั้นดังๆเหมือนกับที่เราพูดออกมาเน้นดังๆ

การบริกรรมภาวนากำกับจังหวะลมหายใจเข้าออกนั้น เป็นการภาวนาที่พิเศษเหนือกว่าการคิดภาวนาเฉยๆ เพราะต้องภาวนาเนื่องจาก สาเหตุ ของการกระทบของลมหายใจ หากไม่รู้ว่าลมหายใจเข้ากระทบส่วนใด ก็ยังไม่ต้องบริกรรมภาวนา แต่เป็นการนำความรู้สึกจากการที่ลมตกกระทบ มาเป็นอาการตามรู้เป็นสัญญาณให้เริ่มภาวนากำกับตามจังหวะนั้น ไม่ต้องแปลความในใจเป็นภาษาว่า หายใจออก หรือหายใจเข้า เท่ากับข้ามภาษาที่เราคุ้นเคยจากการสมมุติออกไปเป็นภาษาใจ

หากฝึกภาวนาแล้วจิตยังไม่ยอมหยุดไม่ยอมช้าลงอีก ไม่ควรฝืนบังคับจิต แต่ให้ปล่อยจิตให้คิดไปตามสบาย คอยกำกับจิตตามรู้ไปจนกระทั่งจิตเหนื่อยและหยุดคิดเอง แล้วฉวยจังหวะเวลานั้นเริ่มต้นฝึกสมาธิตามแบบที่ตนถนัดต่อไป

Back to previous page   Go to next page


 

1