ปีที่ 2 ฉบับที่ 822 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 15 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 |
ความห่วงใยต่อกรณีกระแสข่าวสั่งปิด หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย ผมก็รู้สึกงงๆ อยู่เหมือนกันว่า ข่าวดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร "พิมพ์ไทย" โดยเฉพาะข้อกล่าวหาก็ยังไม่ทราบว่า พิมพ์ไทยมีความผิด หรือก่อกรรมทำเข็ญกับใคร อย่างไร
ยุคประชาธิปไตยเบ่งบานเช่นนี้ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ผ่านความเห็นชอบ จากทั้งสองสภาฯ เรียบร้อยแล้ว นายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภาฯ เมื่อใดก็ย่อมได้
โดยเฉพาะรัฐบาล ชวน หลีกภัย ที่ประกาศว่า รัฐบาลรู้อะไร ประชาชนต้องรู้อย่างนั้น
ผมเชื่อมั่นว่า คงไม่มีอำนาจมืดบอดที่ไหน กล้าหาญเพียงพอ ที่จะปิดกั้นความคิดเห็นที่แตกต่างของประชาชนในบ้านเมืองได้
"เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"
.
คนเดือนตุลา ที่วันนี้ได้ดิบได้ดี
มีตำแหน่งบริหารประเทศชาติ
คงไม่มีใครคิดกบฎ ไร้จุดยืน ไร้อุดมการณ์ดอกครับ
เพราะโต๊ะนวมหนานุ่มที่รองรับก้นเหล่าเสนาบดีหลายคนในรัฐบาล ส่วนหนึ่งมีที่มาที่ไปจากกระดูกของคนเดือนตุลา
จาก 14 ตุลาคม 2516 จวบจนวินาทีนี้ 14 ตุลาคม 2542 บุคคลเหล่านั้น
ที่เสวยอำนาจ คงมีสามัญสำนึก ถึงที่มาที่ไปข้างต้นได้ดี
และคงไม่มีใครกล้ากลืนเศษอาหาร
ในซอกฟัน ของ ตัวเองเป็นอาหารว่าง ขบเคี้ยวยามท้องอิ่มพุงกางเป็นแน่
ผมไม่อยากจะพูดถึงนิยายน้ำเน่า เรื่องตุลาเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เอาความตายของเพื่อนมาเป็นดีกรี สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองและหมู่คณะ ทว่า ความจริงสมองของคนกลุ่มนี้ โล่งโจ้ง (กลวงโบ๋)
พูดถึงหน่วยงานที่ควบคุมจรรยาบรรณคุณหมอ
(ที่รักษาอาการป่วยไข้ผู้คน)
นั่นคือ "แพทยสภา"
ที่ต้องพูดถึงองค์กรนี้ ก็เพราะเห็นว่า มีบทบาทสำคัญที่จะต้องเป็นหู เป็นตา สอดส่อง ดูแลแพทย์ให้มั่นคงอยู่ในกรอบแห่งจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์
หลายคนมองว่า องค์กรนี้ ปกครองแบบเบ็ดเสร็จ จะไม่ให้ตรวจสอบ พิจารณาบทลงโทษ และก็ทำหน้าที่เป็นศาลสูงสุด ตัดสินความถูกต้องในวงการแพทย์
โดยที่ไม่มีใครสามารถ โต้แย้งได้
เนื่องจากได้รับการรับรองอำนาจตามกฎหมาย
ที่ผ่านมาเท่าที่ผมทราบ ยังไม่เคยมีคุณหมอทานใดฟ้องร้องแพทยสภาชนะ
และหลายเรื่องก็ทำให้ประชาชนข้องใจกับบทบาทของแพทยสภา
โดยเฉพาะมาตรฐานชี้ถูก - ผิด ที่เกิดขึ้น!
กรณี นายแพทย์พรชัย พิญญพงษ์ และ นายแพทย์บรรลือ กองไชย สองแพทย์ที่ร่วมกันตรวจอาการอาพาธเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยยืนยันเป็นหนังสือใบรับรองแพทย์ว่า มีอาการป่วย สมควรที่จะต้องได้รับการพักฟื้น พักผ่อนเพื่อรักษาสุขภาพ ซึ่งตรงกับวันที่พระธัมมชโย ต้องเดินทางไปรับฟังคำสั่งฟ้องของอัยการพอดี
แต่ทางหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ไม่เชื่อตามหนังสือรับรองของแพทย์ทั้งสอง จึงสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชา จากโรงพยาบาลตำรวจ
ไปตรวจอาการ พระธัมมชโย และแพทย์ก็มีความเห็นให้เดินทางมารับฟังคำสั่งอัยการ
เหตุการณ์ดังกล่าว ตกเป็นข่าวฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา มีการตั้งคำถามว่า ใครล่ะ คือผู้ที่ไม่พูดความเป็นจริง
จำเป็นเหลือเกิน ที่จะต้องทำเรื่องดังกล่าวให้กระจาง
เรื่องนี้นำมาซึ่งการตรวจสอบของแพทยสภา พุ่งเป้าไปที่แพทย์ทั้งสองที่ออกใบรับรองให้พระธัมมชโย
ผลการตรวจสอบ จะออกมาเร็ววันนี้
ก่อนที่ผลการตรวจสอบจากแพทยสภาจะเปิดเผย ผมขอตั้งข้อสังเกตหลักๆ ดังนี้
1) ต้องมีผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ
ผมเชื่อว่า หลักทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวงการแพทย์ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะตายตัว สามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นแพทยสภาต้องตรวจสอบ และทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง
อีกทั้งจะต้องตรวจสอบแพทย์ที่มีความเห็นแย้งกัน
ทั้งสองฝ่าย จะเลือกปฏิบัติตรวจสอบจรรยาบรรณฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้
เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจอยู่
กรณีธรรมกาย เป็นเพียงกรณีศึกษาแง่มุมหนึ่งในวงการแพทย์เท่านั้น
หากยังมีหลายเรื่อง ที่หลายฝ่ายยังไม่ชัดเจนกับบทบาทของแพทยสภา เพราะไม่มีหน่วยงานใด เข้าไปตรวจสอบอำนาจเบ็ดเสร็จ ของแพทยสภาได้เลย
นอกจากแพทยสภาเอง
สุดท้ายผมขอย้ำถึงมาตรฐานในการวินิจฉัยจรรยาบรรณของแพทยสภานั้น
เอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐาน เพราะกฎระเบียบหลายข้อ อ่านดูแล้วก็ล้าหลังพันปี สมควรได้รับการชำระใหม่เสียที
โลกวิวัฒนาการก้าวไกล เป็นวิชั่น 2000 อีกไม่กี่วันนี้ วิทยาการทางการแพทย์ล้ำสมัย
กฎระเบียบเส็งเคร็งกลับระบุว่า
คุณหมอทั่วประเทศ ต้องใช้เวลาเท่านั้นเท่านี้
ในการผ่าตัด ถ้าหมอหน้าไหน ทำไว้กว่าที่กำหนด เท่ากับละเมิดกฎแพทยสภา
และถ้าหมอรายใดแข็งข้อ ก็ถูกแพทยสภาสอยปลายคางทุกรายไป
โลกเราก้าวไปไหนต่อไหนแล้ว
จะเอาหลักเกณฑ์เต่าล้านปีเหลาเหย่
มาตีขนดแพทย์รุ่นใหม่ ที่ก้าวแข่งกับกระแสเทคโนโลยีล้ำสมัยไปได้อย่างไร ไม่อายกันบ้างหรือครับ
โซตัส