ปีที่ 2 ฉบับที่ 739 ประจำวันศุกร์ที่ 23 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542
ปุจฉา วิสัชนา
เรียน ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง
เรื่อง ยุทธการสายฟ้าแลบจับพระสึกหน้าพรรษา
มีใครที่จะยืนยันว่า ประเทศไทยเป็นประเทศ แห่งพระพุทธศาสนา เพราะในรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้ระบุไว้ซักหน่อย และยิ่งตอนนี้ ฆราวาส กำลังจะปกครองสงฆ์กันแล้ว หน่วยงานที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ขณะนี้ก็เหมือนกัน กำลังเสริม กำลังเตรียม ความพร้อม อย่างเต็มพิกัดนับร้อย และกำลังจะเป็นนับพันนาย เพื่อปฏิบัตการณ์ครั้ง ประวัติศาสตร์ เพื่อจะสร้างผลงานให้นาย อันเป็นที่รักในฤดูกาล เลื่อนขั้นที่จะถึงนี้ ยุทธกาล ที่ว่านี้ มิใช่อื่นไกล นั่นก็คือ การจับพระสึกก่อนเข้าพรรษานั่นเอง
เล่นพระดีกว่าเล่นพวก!
การจับพระสึก ถือว่าเป็นวิสามัญฆาตกรรมแบบหนึ่ง นั่นคือ ทำลายการถือสมณเพศ และเป็นกิจที่กระทำง่าย เพราะพระไม่มีทางสู้อยู่แล้ว จับวันนี้ ก็ได้วันนี้ ฆ่าวันนี้ก็ตายวันนี้เช่นกัน ก็จะอะไรเสียเล่า เพราะชุดสีกากีหลายหมวด หลายเหล่าเต็มพรึ่บ ปิดทางทั้งใน และต่างประเทศ กัน เรียบร้อยแล้ว หน่วยงานตรวจคนเข้าออกเมือง หน่วยงานเกี่ยวกับการเดินทางทางอากาศ เขาเตรียมพร้อมไว้เหมือนกัน จะไปไหนได้ และถ้าไม่ บอกว่า ยุทธการอันเตรียมพร้อมนี้เพื่อใคร
อ้อ.. ที่ไหนได้ ก็เตรียม่จับพระสึก นึกว่ากองกำลังต่างชาติจะเข้าบุกยึดเมืองไทย คนที่พอจะมีสามัญสำนึกคงจะแปลกใจว่า จะเล่นพระ ทำไมอะไรจะขนาดนั้น จะให้ตอบยังไงดี เพราะเล่นพระ ดีกว่าหันกลับไปเล่นพวก สบายกว่ากันเยอะ
ปฏิบัติการสนองนโยบาย พ.ร.บ.สงฆ์ ฉบับใหม่
ตอนนี้ไม่ว่านักการเมือง ทั้งที่กระสันจะเป็นส.ส. หรือวุฒิสมาชิก กำลังตั้งวงปาหี่ สมคบร่วมกันคิดร่างพระราชบัญญัติสงฆ์ฉบับใหม่ ถ้ามองผิดเผิน ดูเหมือนจะส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่ยังไม่ทันไร พรรคพวกก็เผย ธาตุแท้ออกมาเสียก่อน ก็เล่นไปฟ้องพระครูปทุมกิจโกศล พระบ่นานอก เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ปทุมธานี เสียแล้ว เลยไม่รู้ว่าจะปกป้อง หรือปั่นป่วน พระพุทธศาสนากันแน่
แต่ก็อย่างว่า ผู้รู้ใช่จะมีคนเดียวในโลกเสียเมื่อไหร่ ร่างออกมาเนื้อหาเป็นอย่างไร ผู้รู้ท่านอื่นที่มีใจเป็นธรรม ท่านก็ชี้ออกมา ให้เห็นจุดอ่อน และความไม่ชอบมาพากล เพราะเรื่องพระธรรมวินัยของพระ ก็ต้องปล่อยให้พระว่ากันเอง ถ้ามันเกี่ยวกับบ้านเมือง พระก็อยู่ใต้กฎหมาย บ้านเมือง อยู่แล้ว
แต่การจะปฏิบัติกับพระ มิใช่ปฏิบัติเหมือนกับอาชญากร เพราะฉะนั้น หน่วยงานสีกากี ที่กำลังจะจัดการกับพระ ควรจะพิจารณาให้ถ่องแท้ ว่าจะตามกระแส หรือจะสนองนโยบาย ที่ประชุมกำมะลอ ที่กำลังจะยก พ.ร.บ.สงฆ์ ฉบับอัปยศมาใช้ หรือจะคงความหนักแน่นยุติธรรม
เพระงานนี้ถ้าทำผิดพลาด มิใช่เฉพาะความอัปยศของหน้าที่การงาน วงศ์ตระกูล ก็พลอยเสื่อมเสียไปหลายชั่วอายุ และในที่สุด ก็ย่อมได้รับ บาปกรรมที่ตามสนอง
มือถืออาวุธจะกุดคอผู้ถือตาลปัตร
บันทึกประวัติศาสตร์ในเมืองไทย อาจจะจารึกบทหนึ่งไว้ว่า ในขณะที่สังคมกำลังตามกระแส สิ้นไร้ความเป็นตัวของตัวเอง ผู้มีตำแหน่ง หน้าที่ทั้งหลาย ต่างพากันเอาตัวรอด มุ่งยึดเก้าอี้มากกว่าผดุงความยุติธรรม แสวงหาอำนาจ เพื่อหวังลาภสักการะ มากกว่าความสงบสุขของ บ้านเมือง
ผู้ใดขวางทางผลประโยชน์ ผู้นั้นคือ อาชญากรและผู้ใดกล่าวธรรมผู้นั้น คือภัยของสังคม เพราะฉะนั้น เราจึงได้เห็นเหตุการณ์ พระพิมล ธรรม ที่นำความอัปยศมาสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่กลับไม่รู้สึกละอายใจ เพราะสังคมทุกวันนี้ ผลงานนั้น ผู้กระทำได้หน้าได้ตา แต่พอผลเสีย กลับปัดไปให้องค์กรรับผิดชอบ
ฉะนั้น พึงสังวรไว้ว่า ผู้มีอำนาจที่แท้จริง มิใช่มีมือถืออาวุธ แต่คืออผู้ที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า เพื่อจรรโลกความยุติธรรม ขึ้นในสังคม ด้วยความ กล้าหาญ
ผู้สร้างวัฒนธรรมใหม่ให้บ้านเมือง
เมืองไทยมีเทศกาลที่นำความสงบร่มเย็น มีศิริมงคลแก่บ้านเมืองมาช้านาน พอย่างเข้าพรรษา ชายไทยก็จะบวชเรียนศึกษาธรรม ผู้มีศรัทธา ก็จะเที่ยวไปถวาย เทียนเข้าพรรษา ตามวัดต่างๆ แต่บัดนี้หน่วยงานหนึ่ง กำลังแสดงความกล้าหาญ ไม่หวั่นที่จะสวนกระแส ขออภัย มิใช่สวน กระแสสื่อ แต่จะสวนกระแสวัฒนธรรมไทย โดยจะเริ่มยุทธการจับพระสึก ห้ามประกันเพื่อแสดงผลงาน
ทุกวันนี้ เขาลืมกันแล้ว ที่จะเข้าวัดขอพระรับน้ำมนต์ จากพระจากเจ้า แต่มันต้องเซ่นไหว้ให้ของกำนับ ทางใครทางมัน ก็แล้วกันนะ พระคุณเจ้า
สัจจธรรม
"ไอ้ทิด" ไม่ตอบปัญหาท่านผู้อ่านมาเสียนาน เพราะต้องการเปิดเวทีนี้ ให้เป็นเวทีแสดงความคิดเห็นของท่านผู้อ่าน แต่มาถึงตอนนี้ ได้ข่าว ว่า เขากำลังจะ "จับเจ้าอาวาสสึก" ก็เลยต้องขอแสดงความคิดเห็นบ้าง
ตามข่าวที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์นั้น ปรากฏว่ามีหลักฐานมากมาย ที่สามารถระบุได้ว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยักยอกเงินของวัด ไปเป็นของตนเอง และพวกพ้องบริวาร
แต่ "ไอ้ทิด" ก็ยังไม่เกิดความรู้สึก "เชื่อ" ข่าวที่ปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เท่าใดนัก เพราะว่าก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวที่บิดเบือน ออกมา มากมาย ไม่รู้ว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จกันแน่ ทำให้ความน่าเชื่อถือของข่าว หมดความ "ขลัง" ลงไปหลายส่วน
เอาละ ถ้าสมมตินะครับว่า ตำรวจได้พยานหลักฐาน ตามที่ปรากฏ บนหน้าหนังสือพิมพ์จริง ย้ำ ต้องมีพยานหลักฐานครบถ้วนจริงๆ นะ ไม่ใช่เป็นแค่ข่าวปล่อย หรือการใส่ความให้เสื่อมเสีย
ถ้าพยานหลักฐานครบถ้วนจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ควรจะดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม กฎหมาย อยู่แล้ว คงไม่มีใครต่อว่าต่อขาน ถ้าพวกท่านกระทำตามหน้าที่โดยสุจริต
ดังนั้นก่อนที่จะกระทำอะไรลงไป "ไอ้ทิด" อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทำคดีนี้ทุกท่าน กรุณาไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนว่า ผลที่ตามมา หลังจากการสึกพระ ประเทศชาติได้หรือเสียกันแน่
เพราะการสึกพระน่ะ เหมือนการพิพากษาให้ประหารชีวิต ถ้าพระไม่ผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหา แต่พระได้ตายไปแล้ว ใครจะเป็น ผู้รับผิด ชอบ ดังนั้นกระทำอะไรจะต้องรอบคอบพอสมควร อย่าเชื่อกระแสมากนัก โอกาสพลาดมีเยอะ
สิ่งหนึ่งที่ "ไอ้ทิด" อยากบอกต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็คือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อมองย้อนไปในอดีต มีผลงานมากมาย โดยเฉพาะการดึงเยาวชนเข้าวัด ถือศีล ฟังธรรมและได้ผลดีด้วย
ก่อนที่จะปฏิบัติการอะไรลงไป ควรจะดูถึงผลงานของท่านในอดีตประกอบด้วย เพื่อความยุติธรรม
เรียน "ไอ้ทิด" (ท่านทิด) ที่นับถือ
ขอขอบคุณท่านทิดเป็นอย่างสูงที่เปิดโอกาสให้เราทางศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้ขอยืมพื้นที่ตรงนี้ ได้ระบายความในใจกันบ้าง ซึ่งมี ประโยชน์ต่อพวกเราชาววัดพระธรรมกายเป็นอย่างมากทีเดียว
ในระยะนี้จะเห็นว่า สื่อต่างๆ เริ่มทยอยเรื่องราวของหลวงพ่อธัมมชโย กันจนหมดไส้หมดพุงแล้วมั้ง เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาบิดเบือน เบียดเบียน หลวงพ่ออีก เลยมาเล่นกันเรื่อง พ.ร.บ.สงฆ์กันเป็นส่วนใหญ่ เห็น "พิมพ์ไทย" พาดหัวข่าวแล้ว ถ้าเป็นตามเนื้อความจริง คงย่อยยับแน่ คราวนี้ (จิตใจที่บริสุทธิ์ถูกทำลาย) เอาฆราวาส (นอกศาสนาด้วยบางคน) มาปกครองพระ ไม่เคยเห็นประเทศใดในโลก ที่เอาคนนอกศาสนา มาร่างพระราชบัญญัติสงฆ์ จะมีก็แต่ประเทศไทยเรานี่เองแหละ อยากจะหัวเราะให้ฟ้าถล่มทลายไปเลย อะไรหมดเรื่องหมดราวไปเสียที คนดีๆ มีศีลธรรม เป็นตัวตลกของ คนที่ผิดศีลธรรมไปเสียแล้ว กินเหล้าฝรั่ง ฟังเพลงแจ๊ส เข้าห้องอาหาร ไม่เป็น คือความเชยไปเสียแล้ว เมื่อมีแต่คน ผิดศีล จนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แล้วไทยเราจะเอากันอย่างไร ยาบ้าเต็มบ้านเต็มเมือง ปราบเท่าไร ก็ไม่มีวันหมด มีคนหน้าไหว้หลังหลอก สวมหน้า กากกัน เต็มบ้านเต็มเมือง หาความจริงใจกันไม่ได้ อย่างนี้จะเอาอะไรกับชีวิต ของการเกิดมา คงต้องแยกออกเป็นพวก เป็นก๊กเป็นเหล่า ถ้าจะดี กระมัง
ถึงอย่างไร ชาววัดเราก็คงจะพอเข้าใจตัวเองดี ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เราเอาตัวรอดไว้ก่อนก็แล้วกัน เอาตัวรอดแล้ว ก็จงเป็นกัลยาณมิตร ให้กับคนที่เรารัก เราปรารถนาดีต่อเขาด้วย อย่างที่คุณยายเคยสอนเอาไว้ว่า
"การชักชวนเขาทำบุญเป็นการเก็บสมบัติให้เขา การบอกบุญไม่ใช่การรบกวน หากเราเกรงใจเขา ก็เท่ากับ เราปล่อยให้เขายากจน ในภพ ชาติต่อไป อย่าเกรงใจในเรื่องที่ไม่ควรจะเกรง ขอให้ตั้งใจบอกให้เต็มที่ มิฉะนั้น จะเป็นการใจร้ายกับญาติของเรา ที่ทำบุญข้ามภพข้ามชาติ มา ด้วยกัน เรามาช่วยเก็บสมบัติให้ญาติ ทำให้เต็มที่แล้วจะภูมิใจ วันหนึ่งข้างหน้า หากเป็นมนุษย์ ก็จะได้ความมั่งคั่ง ได้รับแต่สิ่งที่ดีงาม หากไปเป็น ชาวสวรรค์ ก็จะได้เสวยทิพยสมบัติ ได้รับการเคารพ การขอบคุณจากทุกผู้ที่เราไปบอกบุญเขา ขอให้ทำกันให้เต็มที่เถอะ อย่าทอดทิ้งใครๆ เลย" นี่คือน้ำจิตน้ำใจของครูบาอาจารย์
พวกเราทุกคน จะไม่ท้อถอย จะไม่เบื่อหน่ายต่อการสร้างบารมี กลับจะมีแต่ความอาจหาญร่าเริง มองทุกๆ คนในโลกนี้ เป็นเสมือนญาติ ของเรา แล้วให้เขาได้สร้างบุญ
จงเปลี่ยนความเหน็ดเหนื่อย หยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดของเรา มาเป็นบุญให้ได้ ทำหน้าที่กัลยาณมิตร กับที่คนที่เรารักทุกคน เพื่อเป็น การแผ้วทางไปสู่พระนิพพาน
จากกัลยาณมิตร
ไอ้ทิด