ปีที่ 2 ฉบับที่ 739 ประจำวันศุกร์ที่ 23 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542
วิวาทะ
"อัตตา-อนัตตา" คำสองคำที่มิอาจลดความศักดิ์สิทธิ์ของพระนิพพาน (4)
หลวงตามหาบัวพูดถึงขั้นอัศจรรย์ของธรรมแท้ จิตแท้เรียกว่า จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต เรียกว่า ธรรมธาตุก็ไม่ผิด ท่านให้ชื่อว่า นิพพาน
พระพุทธเจ้าทรงให้ชื่อว่า นิพพาน จะแยกเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ คำว่า นิพพาน เป็นคำเดียวเท่านั้น อันไหนไม่เหมือน อันไหนไม่ถูก
มีผู้อ้างในพระไตรปิฎกก็มีนี่นะ ว่าพระไตรปิฎกท่านแสดงไว้ว่า นิพพานเป็นอนัตตา
ผมขอแทรกตรงนี้นิดหนึ่ง พระธรรมปิฎก ท่านเจ้าคุณควรรับฟังความเห็นอื่นบ้าง นอกจากพระไตรปิฎกที่ท่านเคารพบูชา คิดแบบ "โยนิโส มนสิการ" ตามที่ท่านยืนยันมาตลอด
หลวงตามหาบัวพูดว่า.. อ้าว นิพพานเป็นอนัตตาได้ นิพพานคือนิพพาน เป็นอนัตตาได้ยังไง อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา นี้เรียกว่า ไตรกลักษณ์ เข้าใจไหม เราพิจารณาเพื่อพระนิพพาน ต้องเดินไปตาม อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา เมื่อพิจารณาอันนี้รอบแล้วปล่อยๆ พอถึงขั้นอนัตตาเต็มส่วนแล้ว ปล่อยอนัตตาปุ๊บ ถึงนิพพานแล้ว อนัตตาทำไมจะไปเป็นนิพพาน
ถ้าอนัตตาเป็นนิพพาน นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ล่ะซี เข้าใจไหม นี่ละว่าเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ อัตตาก็เป็นส่วนสมมติ อัตตาคือความยึดถือ อัตตา ตน จะไปเป็นนิพพานได้ยังไง อัตตา ความถือตนถือตัว อัตตานุทิฏฐิ อูหัจจะ
พระองค์แสดงไว้แล้วว่า สุญญโต โลกํ อเวกขัสสุ โมฆราช สทา สโต แล้วก็ อัตตานุทิฏฐึ อูหัจจ เอวัง อัจจุตตโร สิยา เอวัง อเวกขันตัง มัจจุราชา น ปัสสติ
แปลว่า ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ ดูโลกให้เห็นเป็นของว่างเปล่า ถอนออัตตานุทิฏฐิเสียได้ อัตตา ฟังซิ ถอนอัตตานุทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิ ก็เป็นทางเดิน ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว พญามัจจุราชจะติดตามเธอไม่ทันเสียเอง เอาพิจารณาซิ ยันกันอย่างนั้นซิ อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา ก็เป็นทาง เดินเพื่อก้าวสู่พระนิพพาน อัตตาความยึดมั่นถือมั่นก็ต้องพิจารณา อัตตานี้เพื่อให้ผ่านอัตตานี้ไปได้แล้วจึงเป็นพระนิพพานได้ เหตุใด พระนิพพาน จึงจะมาเป็น อัตตาเป็นอนัตตาเสียเอง เอาพิจารณาซิ
เรื่องนิพพานเป็นอัตตา ผมต้องกราบนมัสการหลวงตามหาบัว ในฐานะที่เคยศึกษาและฟังประสบการณ์ของท่านผู้รู้ .
สายปฏิบัติที่ยืนยันว่า นิพพานเป็นอัตตานั้น มิได้หมายถึงอัตตาแห่งตัวแห่งตน หากแต่เป็นอัตตาบริสุทธิ์ เป็นสรณะ ที่ยึดมั่นถือมั่นได้นั่นคือ นิพพาน ในความหมายที่เข้าใจกันในหมู่ปฏิบัตินั้น การที่ออกมาระบุว่า นิพพานเป็นอัตตานั้น มิได้หมายเอาเป็นตัวเป็นตนแต่อย่างใด
หากแต่หมายมั่นปั้นเอาว่า นิพพานเป็นยอดบรมสุข เป็นของสูงสุดในพระศาสนา เป็นหนทางแห่งความหลุดพ้น จากความทุกข์น้อยใหญ่ ที่วิเศษ หาค่าประมาณมิได้
เราจึงมักไดยินสายปฏิบัติที่ยืนยันอย่างแข็งขันว่า นิพพานเป็นอัตตา ด้วยความรู้สึกนี้เป็นที่ตั้งนั่นเอง
หลวงตามหาบัวมีความเห็นอย่างตรงไปตรงมาอีกว่า .
"อย่าเอาหนอนแทะกระดาษมาอวดนะ ให้เอาภาคปฏิบัติจับกันทันที ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า นี้จริงๆ เราพูดอย่างนี้มันคึกคัก มันหาก เป็นของมันนี่นะ ก็มันจังๆ อยู่นั่นเห็นประจักษ์ ทูลถามพระพุทธเจ้าทำไมว่างั้นเลย ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ถามกันหา อะไรนี่ละ คำว่า นิพพานต้องเป็นนิพพานเท่านั้น อย่างอื่นไปไม่ได้ จะเอาอัตตาอนัตตาเข้าไปใส่ อย่าเอามูลเอาคูถ ไปโปะพระนิพพานว่างั้นเลย"
นิพพานคือนิพพาน เลิศเลอสุดยอดแล้ว พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอง มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 แสดงไว้แล้ว นี่มีในพระไตรปิฎก แล้วพระไตร ปิฎกไหนจะมาว่า นิพพานเป็นอนัตตาได้อีก เอาอย่างนี้ซิ
ผมขอแทรก ท่านเจ้าคุณปยุต และผู้ที่เห็นนิพพานเป็น "อนัตตา" พิจารณาให้ดีๆ ด้วยจิตที่หนักแน่น ด้วยจิตที่ไม่ตำหนิให้ร้ายผู้อื่น ด้วย จิตที่ปราศจากอารมณ์ หมองเศร้า
จะได้คำตอบที่ชัดแจ้ง ดังดอกบัวบาน ประกาศความบริสุทธิ์ผุดผ่องใสสะอาดปรากฏในใจ
หลวงตามหาบัวผู้ชราภาพด้วยสังขาร เป็นพระป่า พระบ้านนอกร่ำเรียนจบแค่ประโยคต้นๆ ท่านมีความเห็นต่อผู้มีอารมณ์ พระนิพพาน เป็นอนัตตา ดังนี้ขอรับ .
มีพระเจ้าฟ้าเจ้าคุณท่านมาพูดถึงเรื่องว่า ในพระไตรปิฎกท่านว่า นิพพานเป็นอนัตตา มันส่อให้เห็น ผู้ไปจดจารึกพระไตรปิฎก มาเป็นคน ประเภทใด ถ้าเป็นคนประเภทพระพุทธเจ้า พระอรหันต์แล้ว จะว่านิพพานเป็นอนัตตาไม่ได้ เป็นอันขาด นอกจากพวกคลั่งกิเลส มันเข้าไปจดจารึก ได้คำบอกเล่าอะไรมา ก็มาว่าผิดๆ ถูกๆ ไปอย่างนั้น
จึงส่อให้เห็นว่า ผู้ไปจดพระไตรปิฎกมานี้ เป็นคนประเภทใด มันบอกด้วยนะ อ่านไปในพระไตรปิฎกบอกไปในตัวเสร็จว่า ผู้จดจารึก พระไตรปิฎกเป็นคนประเภทใด ถ้าเป็นพระอรหันต์จดจารึกมาแล้ว จะมีเน้นมีหนักนี่เรียบๆ ไป พูดไปที่ไหนส่งเสริมแต่กิเลสเรื่อยไป ตีกิเลสไม่มี นี่บอกแล้ว ความจริงมีนี่
หลวงตามหาบัวเปรียบผู้ตีความนิพพานเป็นอนัตตา เสมือนหนึ่งคนถากไม้ต้นเสา ต้นเสาตรงนี้มันเรียบๆ ตรงไป เขาก็ถากเสมอๆ พอไปถึง จุดคดจุดงอ เขาจะถากหนักมือ คดงดที่ไหนจะต้องถาก อย่างหนักมือเพื่อให้ราบเสมอกัน อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นพระอรหันต์ท่าน จดจารึก ตาม หลักความจริง
หลักความจริงมีชื่อนี่นะ พอไปเจอหลักความจริง ก็เน้นหนักลงไปจุดนั้นๆ พอเรียบๆ ถึงจุดไหนที่เป็นบทหนัก ที่ควรจะเน้นหนัก ก็ต้องเน้น หนักๆ นั่นเรียกว่า หลักความจริง
อันนี้มีแต่เรียบๆ ไปพูดที่ไหน ยกมือไหว้กิเลสไปเรื่อยๆ จดจารึกไปที่ไหน ไหว้กิเลสไปเรื่อยๆ มันอดคิดไม่ได้นะ เรายกให้หลักใหญ่ ที่นำ มาเป็นแบบเป็นฉบับของพวกเราชาวพุทธนี้นะ เราไม่ได้ปฏิเสธไปหมดนะ ไอ้กิ่งก้านสาขาไปนั่นซิ ไปเอากิ่งไหนมาทับกับกิ่งไหน ผสมกับกิ่งไหน ก็ไม่รู้ สุดท้ายก็ยกยอกิเลส
ยกยอมันเท่าไร โคตรพ่อโคตรแม่ของกิเลสมันไม่เคยทำประโยชน์ให้แก่ใคร มีแต่เอาไฟมาเผาโลก จะไปยกยอมันหาอะไร ธรรมต่างหาก เป็นเครื่องเชิดชูสัตว์โลก ควรจะยกยอธรรม เหยียบกิเลสลงไปมันถึงจะถูก
ต้องขออภัยนะ นี่ละ เรียกว่า พูดตามหลักความจริง ต้องพูดอย่างนั้น ให้ตรงไปตรงมา เรื่องกิเลสปลิ้นปล้อนหลอกลวง ไพเราะเพราะพริ้ง นิ่มนวลอ่อนหวาน แต่ความโกหกอยู่ในนั้นหมด
ธรรมะนี้ไม่ ตรงไปตรงมา ผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ดีว่าดี ชั่วว่าชั่ว จึงเรียกว่า ภาษาของธรรมเป็นภาษาที่สะอาดมากที่สุด ไม่มีเล่ห์มีเหลี่ยม ตรงไปตรงมา ส่วนภาษากิเลสเป็นภาษาที่สกปรกมากที่สุด
จะนับถือทำไมขอรับโคตรพ่อโคตรแม่กิเลส อนัตตา ความเลวระยำที่สัตว์โลกจะต้องพากันหลีกหนีปลีกห่าง
พระธรรมปิฎก พระพิศาลธรรมวาที ราชบัณฑิตเสฐียรพงษ์ ตลอดจนต้นเหล่าต้นก่อผู้บูชา นิพพานเป็นอนัตตา คงทราบซึ้งกัน พอหอมปาก หอมคอกันแล้ว จะตะแบงกันอย่างไร สุดแท้แต่เวรแต่กรรม วันนี้หมดเวลาแล้วครับ
โซตัส