ปีที่ 2 ฉบับที่ 738 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 22 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542
วิวาทะ
"อัตตา-อนัตตา" คำสองคำที่มิอาจลดความศักดิ์สิทธิ์ของพระนิพพาน (3)
กรณีศึกษาหนังสือของหลวงตามหาบัว นิพพานคือนิพพาน จับกันให้มั่น พวกเลี่ยงบาลี นิพพานจะเป็นอนัตตาไปได้อย่างไร ตู่ยิ่งกว่า ผู้ที่ตนเอง กล่าวหาเขา ว่าตู่พระพุทธศาสนาหลายล้านๆ เท่า
จิตที่ฝึกดีแล้ว ใยกลับไปร่วมอยู่กับไตรลักษณ์ ถ้าเป็นวงจรไฟฟ้า ผมว่ามันระเบิดตูมตาม ไฟลุกไหม้ไปแล้ว ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ให้สัตว์โลกรู้ถึงเหตุแห่งทุกข์ และวิธีการดับทุกข์ ทำไมกลับไปพิศวาทสิ่งเน่าเหม็น ให้มันปวดเศียรเวียนเกล้ากันอยู่ได้
นิพพานไม่ใช่อัตตา มิใช่อนัตตา หลวงตามหาบัวแสดงธรรมเทศนาไว้ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2523
นับเวลาแล้วก็ 18 ปี ย่างเข้าปีที่ 19 ก่อนที่จะเกิดกรณีธรรมกาย และวิวาทะนิพพานต้องเป็นอนัตตา อัตตา หลวงตามหาบัว แสดงธรรมไว้ ดังนี้ครับ ท่านแสดงธรรมกลางป่าเขา ไม่ใช่ห้องแอร์ ไม่ใช่การตั้งจิตสมาธิกับหน้าจอ Computer มีสมองเปรียบเหมือนหน่วยความจำ Computer
จะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดได้ ก็ต้องอาศัยมนุษย์ปล่อยโปรแกรมเข้าไป
พูดง่ายๆ คิดเองไม่เป็น รู้จำ แต่ไม่มีความเฉลี่ยว เหมือนเด็กนักเรียนท่องแต่สูตรคีย์เฉลยข้อสอบ แต่ไม่เคยศึกษาวิชาตำรา ให้เข้าใจ อย่าง ถ่องแท้
ดังนั้นการรู้จำแบบนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ประเทืองปัญญาต่อผู้ที่ปรารถนาศึกษาวิชชาของพระศาสนาเพื่อความหลุดพ้น
หลวงตามหาบัวแสดงธรรมเทศนาไว้ว่า .
การฆ่ากิเลสทุกประเภท เราพูดได้อย่างเต็มปากว่า ต้องเป็นปัญญาทั้งมวล สมาธิเป็นแต่เพียงว่า ตะล่อมกิเลส ให้เข้าสู่จุดรวมตัว ไม่ฟุ้งซ่าน รบกวนใจเท่านั้น
ที่เรียกว่า จิตสงบ ก็คือกิเลสมันนอนก้น เหมือนกับตะกอนนอกก้นโอ่ง นอนกองอยู่ในนั้น แล้วจะปฏิบัติต่อตะกอนอย่างไรบ้าง นั่นเป็น อีกแง่หนึ่ง นั่นเป็นเรื่องของปัญญา จิตของเราสงบตัวเข้ามา ไม่วุ่นวายกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ นี่เรียกว่า จิตสงบตัว
หลวงตามหาบัวว่า แม้จิตจะสงบแต่กิเลสมันยังยึดอยู่ในตัว ยึดขันธ์ทั้ง 5 ฉะนั้นต้องคลี่คลายออกมา ถึงเวลาที่จะทำลายกันแล้ว คลี่คลาย ออกมาด้วยปัญญา พินิจพิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งชัดเจน พอเข้าใจเต็มที่แล้วมันปล่อยของมันเอง
รูปกายของเราทุกสัดส่วน เรียกว่ากองรูปขันธ์ แปลว่า กอง หรือหมวด พิจารณากองรูปได้แก่ร่างกาย ตั้งแต่ผิวหนังถึงเนื้อถึงเอ็น ถึงกระดูก ถึงภายใน เต็มไปด้วยความปฏิกูลโสโครกพอๆ กันทั้งภายนอกภายใน
ถ้าพูดถึงเรื่อง อสุภะอสุภัง เป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าขยะแขยง ไม่น่ายึดน่าถือ มันก็เหมือนกัน จะพิจารณาเป็น อนิจจํ ความแปรสภาพ ทุกส่วน มันแปรเหมือนกันหมด ไม่มีส่วนไหนที่จะยับยั้งตั้งตัวอยู่ โดยไม่เดินตามทาง อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา มันเกี่ยวโยงกันไป ทำหน้าที่พร้อมกันไป จนกระทั่ง มีความรู้แจ้งเห็นจริง ประจักษ์ด้วยปัญญา
ไอ้ที่มันเคยยึดถืออยู่อย่างเหนียวแน่นมั่นคง ก็คือกาย พิจารณารูปขันธ์ 5 จิตถอนตัวออกมาได้ทันที ถอนมาด้วยปัญญา อสุภะอสุภัง ทุกขํ อนิจจํ อนัตตา พ้นจากนี้ไปไม่ได้
หลวงตามหาบัวแสดงธรรมถึงเรื่องไตรลักษณ์ อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา สรุปได้ว่า เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว ก็จะละไม่ยึดติดกับร่างกาย ความ เป็นตัวตน เพราะไม่สามารถควบคุมได้ตามใจปรารถนา ต้องแปรเปลี่ยนไป พิจารณาถึงเวทนา สัญญาความจำได้หมายรู้ สังขารความคิด ความปรุง แต่งภายในจิตใจ วิญญาณความรับทราบในขณะที่รูป เสียง กลิ่น รส มาสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดแล้วดับไป
เมื่อพิจารณาไตรลักษณ์อย่างนี้แล้ว ขันธ์นี้โดยตลอดทั่วถึงแล้ว ทำไมใจจะไม่ปล่อยกิเลสที่เราติดยึดอยู่
ท่านให้พิจารณาว่า สิ่งนี้ไม่เที่ยง สิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งนี้ไม่ใช่ตัวตน สรุปแล้วคือไตรลักษณ์ เป็นทางเดินเพื่อความหลุดพ้น เมื่อผ่านพ้นไป ถึงไหนๆ แล้ว สิ่งที่ผ่านไปแล้วมันก็หมดความหมาย ไม่ว่า อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา ไปโดยลำดับ ไม่ต้องมาเสกสรรกันอีก ทีนี้อันนี้ก็ไปรวมตัว อยู่กับ อวิชชา เพราะเป็นสมมติด้วยกัน ละเอียดสุดยอดอยู่ในอวิชชานั้น สติปัญญาอันเป็นฝ่ายมรรค ซึ่งเป็นสมมติด้วยกันก็สุดยอด
"พอจุดสุดท้ายพังทลายลงไปด้วยปัญญาอันทันสมัย แล้วก็หมดปัญญาโดยสิ้นเชิง จะพิจารณาว่าอันนี้เป็น อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา อะไรอีก ใจเป็น อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา ได้ยังไง อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา เป็นทางเดินเพื่อพระนิพานต่างหาก ใจที่บริสุทธิ์แล้วเป็น อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา ได้อย่างไร ถ้าใจที่บริสุทธิ์แล้วเป็น อนัตตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ซิ เป็นของอัศจรรย์อะไร เพราะฉะนั้น ธรรมชาตินั้นจึงไม่มีสมมติที่จะพูดว่าเป็น อัตตา หรือเป็น อนัตตา เพราะทั้งสองนี้เป็นสมมติด้วยกัน
อันนั้นไม่ใช่สมมติ พ้นวิสัยของสมมติไปแล้ว ท่านจึงให้ชื่อเพียงว่า วิมุตติ เท่านั้น "
พิจารณาอย่างนี้ ผมก็หวั่นไหวแทนท่านรัฐมนตรีทั้งหลาย โดยเฉพาะคุณวิชัย ตันศิริ ที่ขันอาสามาแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกาย โดยยึดหลัก แนวทางของ พระธรรมปิฎก ที่หนักแน่นกับนิพพานเป็นอนัตตา
พังวินาศสันตะโรแน่
หลวงตามหาบัวท่านขยายความต่อไปว่า
นิพพาน พ้นวิสัยของสมมติไปแล้ว ท่านจึงให้ชื่อเพียงว่าวิมุตติเท่านั้น แล้วก็ไม่ขัดกับธรรมบทใด เหมือนคำว่า อนัตตา ถ้าว่า อนัตตา ก็ขัด กับ ไตรลักษณ์ ดึงพระนิพพานมาเป็นไตรลักษณ์
เมื่อเป็นวิมุตติพ้นแล้ว ก็หมดปัญหา จุดนี้ว่าขิปปาภิญญาก็ได้ เพราะเป็นขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้น อุคฆติตัญญูก็ได้
โซตัส