ปีที่ 2 ฉบับที่ 737 ประจำวันพุธที่ 21 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542

หน้า 1

แฉ พ.ร.บ.สงฆ์ ทำลายสงฆ์ ฆราวาสคุมพระ

ให้อำนาจล้นฟ้า มีสิทธิใช้เงินวัด ไล่สึกพระ-เณร

พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับใหม่ร่างเสร็จแล้วพร้อมพ.ร.บ.คุ้มครองอุปถัมภ์ศาสนา ชมรมพุทธสัมพันธ์เพื่อสันติ แฉเป็นกฎหมายฆราวาสปกครองพระ เผยคณะกรรมการที่ตั้งทั้งระดับวัด ระดับ จังหวัด และระดับชาติ มีอำนาจล้นฟ้า สึกพระก็ได้ใช้สมบัติวัด ก็ได้ช้ำ ถ้าได้คนไม่ดีมาเป็นกรรมการ ศาสนาพุทธมีสิทธิสูญจากแผ่นดินไทยใน 1 ชั่วอายุคน

เมื่อวานนี้ นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการศึกษา ปัญหาและปรับปรุง การปกครองคณะสงฆ์ นายอดิศักดิ์ วรรณศิลป์ พร้อมคณะ ได้ยื่นหนังสือคัดค้าน การยกร่างแก้ไข พ.ร.บ. คณะสงฆ์ และยกร่าง พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ มีความเป็นห่วงว่า การแก้ไขร่าง พ.ร.บ. ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อคณะสงฆ์ และพุทธศาสนาเพราะเป็นการให้ฆราวาส เข้ามามีอำนาจ ปกครอง คณะสงฆ์ และเท่าที่ฟังแล้วสงสัยว่า ทำไมต้องยกเอากรณี วัดพระธรรมกายมาเป็นตัวอย่างในการยกร่างแก้ไขปรับปรุง ในวันที่ 30 กรกฎาคม จะไปร่วมประชาพิจารณ์ การแก้ไข ร่างนี้ ที่รัฐสภาด้วย อย่างไรก็ตาม ทางกรมการศาสนา ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชน เข้าฟังงานสัมมนาครั้งนี้ด้วย

นายอำนวย สุวรรณคีรี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ การศาสนา ศิลป และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะกรรมการฯ แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุดคือ

1. คณะอนุกรรมการดูแลกฎนิคหกรรมและการใช้กฎนิคหกรรมให้มีประสิทธิภาพ

2. อนุกรรมการแก้ไขพระพุทธศาสนา

3. คณะอนุกรรมการแก้ไข พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ซึ่งส่วนนี้จะมีการยกร่าง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ขึ้นใหม่ มีสาระสำคัญว่าด้วย ภารกิจของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา สังฆปริณายก อำนาจหน้าที่มหาเถรสมาคม กฎนิคหกรรม การบริหารวัด ศาสนสมบัติ หน้าที่ของกรมการศาสนา ในการเป็น เลขานุการมหาเถรฯ

4. คณะอนุกรรมการยกร่าง พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

คณะอนุกรรมการทั้ง 4 ชุดนี้ต้องไปดำเนินการเพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

นายอำนวย กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมยังมีผู้เสนอว่า น่าจะมีคณะวินัยธรณ์ ที่ส่วนกลาง เพื่อเป็น ผู้พิพากษา ในการดำเนินการ แก้ปัญหาพุทธศาสนา ได้เบ็ดเสร็จ ไม่ต้องให้ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ซึ่งมักจะว่ากันไป คนละทิศทาง และยังมีพระ ที่เข้าร่วมประชุมเสนอว่า ให้เพิ่มโทษสำหรับพระที่กระทำผิด ให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบันด้วย

นอกจากนี้ ชมรมพุทธสัมพันธ์เพื่อสันติ ได้ยืนแถลงการณ์คัดค้านร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา (พ.ร.บ.ฆราวาสปกครองพระ) โดยระบุว่า เปิดเผยเป้าหมาย ขบวนการผู้อยู่เบื้องหลัง การออก พ.ร.บ.ดังกล่าว มีความว่า

ขณะนี้ได้มีการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฉบับใหม่ และ พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมจะนำเข้าเสนอในสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยประชุม ปีพ.ศ.2542 นี้

ซึ่งในขณะนี้พระภิกษุสงฆ์และสาธารณชนทั่วไป ยังไม่ค่อยทราบรายละเอียด และผลกระทบของร่างพ.ร.บ. ดังกล่าว แต่ขอเรียนให้ทราบว่า หากศึกษาเนื้อหาโดยละเอียดจะพบว่า ถ้าพ.ร.บ. ผ่านสภาฯ มีผลบังคับ จะส่งผลกระทบต่อคณะสงฆ์ไทยอย่างใหญ่หลวง ความเป็นไปได้ที่พระพุทธศาสนา อาจถูกบีบคั้น จนกลายเป็นศาสนาของชนส่วนน้อย ในประเทศไทย ภายใน 1 ชั่วอายุคนเท่านั้น

สำหรับ พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา น่าจะตั้งชื่อใหม่ว่า พ.ร.บ.ฆราวาสปกครองพระ หรือ พ.ร.บ. สูบเลือดวัด มากกว่า โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

ตั้ง "คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" ตั้งแต่ระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับวัดขึ้น โดยมีฆราวาสเป็นหลัก และมีอำนาจหน้าที่ของ คณะกรรมการแต่ละระดับ ที่สำคัญคือ

คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองฯ ระดับวัด

1. คุมพระภิกษุสามเณร แม่ชี และศิษย์วัดทั้งหมด คณะกรรมการฯ ระดับวัดนี้ มีอำนาจ ออกระเบียบให้ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และศิษย์วัด ปฏิบัติตาม สามารถไล่พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และศิษย์วัด ออกจากวัดได้ แม้ในร่าง พ.ร.บ. จะเขียนว่า ไล่ผู้ที่ไม่อยู่ในพระธรรมวินัย โอวาทของเจ้าอาวาส หรือระเบียบ ให้ออกไปจากวัด แต่ในความเป็นจริง ระเบียบนั้น ฆราวาส จะเป็นคนร่าง เวลาต้องการจะไล่ใครออก ก็อ้างระเบียบอะไรก็ได้ เพราะมีอำนาจอยู่เต็มมือ

เพราะฉะนั้น อนาคตหากคณะกรรมการฯ นี้มีการทุจริต ใครมาทักท้วง ก็มีสิทธิ์ถูกไล่ ออกจากวัดได้ง่ายๆ ทุกคนต้องยอม ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ คณะกรรมการฯ ทั้งหมด เพราะคุม ทั้งการเงิน คุมทั้งคน แผนงานทั้งหมด (ดูมาตรา 62 ข้อ 4, 7, 8,)

2. คุมการเงินของวัด คณะกรรมการฯ ระดับวัดนี้ มีอำนาจทั้งการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน และสามารถสั่งเอาเงินของวัด ไปใช้จ่ายในกิจการที่ตนเอง เห็นสมควร (ดูมาตรา 62 ข้อ 6, 10)

คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองฯ ระดับจังหวัด

1. คุมการทำงานด้านพระพุทธศาสนาของฆราวาส ในจังหวัดทั้งหมด มาตรา 18 ข้อ 7 ของพ.ร.บ.นี้ ระบุว่า คณะกรรมการฯ ระดับจังหวัดนี้ มีอำนาจ "อนุญาต รวมและยุบเลิก ชมรม พระพุทธศาสนา สำหรับกลุ่มบุคคล ชุมชน และเอกชนในจังหวัด"

พูดง่ายๆ ว่า ถ้ามีใครกลุ่มใดประสงค์ จะตั้งชมรมหรือองค์กร ทางพระพุทธศาสนาขึ้นมา ต้องผ่านความเห็นชอบ ของคณะกรรมการฯ ชุดนี้ก่อน และหากไม่พอใจ ชมรมหรือองค์กรใด คณะกรรมการฯ ชุดนี้ก็สามารถสั่งยุบได้ทันที จะอ้างเหตุผลอะไรก็ได้ ดังนั้น องค์กรทางพระพุทธศาสนา ที่เป็นคนละพวก จะถูกกลั่นแกล้งได้ง่าย เรียกว่า จะเผด็จการผูกขาดอำนาจกันถาวร แบบพรรคคอมมิวนิสต์กันเลย

2. คุมการบริจาคทรัพย์สินและการเรี่ยไร   มาตรา 18 ข้อ 9 ของพ.ร.บ.นี้ระบุว่า "ควบคุมดูแลการ บริจาคทรัพย์สินและการเรี่ยไร เพื่อดำเนินงานพระพุทธศาสนาในจังหวัด" ถ้าวัดไหน จะบอกบุญเรี่ยไร ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน คณะกรรมการฯ ระดับจังหวัดนี้ก็คุมหมด ต้องขออนุญาตก่อน

3. มีอำนาจจับพระสึกได้ในจังหวัดของตน โดยไม่ต้องรอการพิพากษา สั่งสึกไม่ยอมสึก จับติดคุกได้ทันที (ดูมาตรา 76)

4. คุมการแต่งตั้งคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองฯ ระดับวัด เมื่อคุมคณะกรรมการฯ ระดับวัดได้ทั้งหมด ก็เท่ากับว่า วัดทุกวัดในจังหวัด จะอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการฯ ระดับ จังหวัดนี้หมด เพราะฉะนั้น คณะกรรมการฯ ระดับจังหวัดนี้ ถ้าหากไม่สุจริตแล้ว ก็สามารถสูบทรัพย์สินของวัดต่างๆ ในจังหวัด มาใช้ได้โดยสะดวก ผ่านเครือข่ายคณะกรรมการฯ ระดับวัด ที่ตนมีอำนาจตั้งขึ้น (ดูมาตรา 61)

คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองฯ ระดับชาติ

1. คุมการทำงานพระพุทธศาสนาของชมรมพุทธ ตลอดจนองค์กรเอกชนทั้งหมด มาตรา 14 ข้อ 8 ของพ.ร.บ.นี้ระบุว่า คณะกรรมการฯ ระดับชาติมีอำนาจ "จัดตั้ง รวม ยุบเลิกชมรม พระพุทธศาสนา และพุทธธรรมสถานเพื่อศาสนศึกษาในส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษา"

2. คุมการบริจาคทรัพย์สินและการเรี่ยไรเพื่อดำเนินงานพระพุทธศาสนา ทั้งวัด ทั้งองค์กรพุทธ ถ้าใครจะเรี่ยไร บอกบุญอะไรในขอบเขตกว้างขวางกว่า 1 จังหวัด คณะกรรมการฯ ระดับชาติชุดนี้จะคุมหมด ถ้าไม่อนุญาตก็บอกบุญไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครต้องการจะบอกบุญหรือเรี่ยไรอะไร ก็อาจจะต้องติดสินบนคณะกรรมการฯ

3. มีอำนาจจับพระสึกได้ทั่วประเทศ ในพระราชบัญญัติมาตรา 76 ระบุไว้ว่า "ผู้ใดไม่รับโทษทางการปกครอง ถึงขั้นให้สึก หรือสละสมณเพศก็ดี พระสังฆาธิการ หรือพนักงาน เจ้าหน้าที่ ร้องขอให้สึก และยังฝ่าฝืนอยู่อีกก็ดี ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า นี่คือร่างกฎหมายในยุค พ.ศ. 2542 นี้ เพราะเนื้อหายิ่งกว่ากฎหมายในยุคเผด็จการอีก พระไม่มีความผิดถึงขั้นให้สึก ถ้าเจ้าหน้าที่ สั่งให้สึกต้องสึกทันที ถ้าไม่ยอมสึก ต้องถูกจับติดคุก

โดยเนื้อแท้แล้ว พ.ร.บ.นี้ประสงค์ จะ "อุปถัมภ์ คุ้มครอง" หรือ "คุม" กันแน่

4. คุมการเงินทรัพย์สินของวัดและควบคุมพระทั่วประเทศ ผ่านคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองฯ ระดับจังหวัด และระดับวัด ดังนั้น ใครสามารถคุมกลไก คณะกรรมการ อุปถัมภ์ และคุ้มครองฯ ระดับชาตินี้ได้ ก็เท่ากับคุมทรัพยากรของ พระพุทธศาสนาใน ประเทศไทย ทั้งหมด ไว้ในอุ้งมือ สามารถนำทรัพยากรของ พระพุทธศาสนามาใช้ เพื่อประโยชน์ของตน หรือ ใช้เป็นฐานทางการเมืองได้ อย่างสะดวกสบาย

ลองคิดดูว่า วัดทั่วประเทศมีอยู่ 30,000 กว่าวัด เมื่อแต่งตั้งคนของตนเข้าไปเป็นคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองฯ ระดับวัด จำนวนวัดละ 5 คนได้ ก็เท่ากับมีเครือข่ายคนของตน กระจายครอบคลุมพื้นที่ ทั่วประเทศจำนวน 150,000 คน ซึ่งสามารถทำได้ไม่ยาก เพราะกฎหมายใน พ.ร.บ.นี้ให้อำนาจอยู่แล้ว และ ตอนนี้ก็มีการ ตั้งชมรม อาสาสมัคร อุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา ตั้งเครือข่ายทั่วประเทศ เตรียมคนไว้ รอท่าแล้ว 150,000 คน ที่เป็นกำลังหลัก (เหมือนรู้ล่วงหน้า)

ยังไม่นับถึงอิทธิพลที่จะครอบงำเหนือพระภิกษุสงฆ์ และโยงไปถึงญาติโยมชาวบ้านที่อยู่รอบวัด อีกหลายล้านคน จะเป็นเครือข่ายที่กว้างขวาง ใหญ่โตที่สุด เท่าที่เคยมีมา สามารถ ชี้เป็นชี้ตาย ในการเลือกตั้ง ทุกระดับได้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ก็เอาจากเงินทำบุญของวัด มาใช้ หัวหน้านอกจากไม่ต้องจ่ายสตางค์แล้ว ยังอาจเรียกเปอร์เซ็นต์ ให้เครือข่ายของตน ส่งส่วย มาให้ ตามลำดับชั้นได้อีก

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ]

1