ปีที่ 2 ฉบับที่ 736 ประจำวันอังคารที่ 20 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542
บทความพิเศษ
การประชุมกำมะลอกับ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ใหม่
การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประเทศไทย ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475 นับจนกระทั่งปัจจุบัน เป็นปีที่ 67 ถึงแม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน แม้ใน ปัจจุบัน ก็เป็นเรื่องที่น่าจะต้องมีการตั้งข้อสังเกตว่า การเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของไทยเรา พัฒนามามากเพียงไร
ในขณะเดียวกัน เกี่ยวเนื่องกับงานคณะสงฆ์ คณะสงฆ์ไทยมีการใช้ พ.ร.บ. มาแล้ว 3 ฉบับ คือ
1. พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ซึ่งเป็นระบบที่ค่อนข้างดูโดยผิวเผินแล้วจะดูดี เพราะมีการกระจายอำนาจเป็น 3 ลักษณะ คล้ายการบริหารของฆราวาส คื อมี 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งมีปัญหาในลักษณะของการใช้อำนาจตุลาการ คือ ค่อนข้างเผด็จการ อำนาจการตัดสินความอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้ใช้อำนาจของคณะสงฆ์ การตัดสิน พระรูปใด ผิดหรือไม่ เกิดจากการตัดสินใจของพระรูปเดียว ซึ่งไม่เอื้อต่อพระธรรมวินัย ที่ให้เคารพพระธรรมและวินัยเป็นศาสดา และเมื่อมีอธิกรณ์เกิดชึ้น ให้ใช้ลักษณะของการ ประชุมสงฆ์ ซึ่งต่อมา พ.ร.บ. นี้ ก็ถูกยกเลิกไป
2. พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2508 เป็นการนำพระธรรมวินัยมาปรับใช้ในการคณะสงฆ์มากขึ้น คื อให้อำนาจแก่มหาเถรสมาคมในการตัดสินใจ ในการใช้อำนาจทั้ง 3 ทาง นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ เหมือนครั้งที่หลังจากที่พระพุทธองค์ ทรงปรินิพพานใหม่ๆ ยกตัวอย่างที่พระอานนท์ถูกปรับอาบัติจากคณะสงฆ์ เหตุเนื่องจากพระอานนท์ไม่ได้ทูลถามว่า อาบัติใด คืออาบัติเล็กน้อย
3. พ.ร.บ.คณะสง์ พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ให้ชัดเจนขึ้นในเรื่องของการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช
ปัจจุบันมีการสร้างกระแสให้มีการปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ โดยให้มีการออก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ มีการให้พุทธบริษัท 4 อันมี พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา โดยเฉพาะเน้นให้มีอุบาสกและอุบาสิกา เข้าไปมีอำนาจปกครองพระภิกษุ และสามเณร มากขึ้นนั้น ดูออกจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ พ.ร.บ.การอุปถัมภ์และ คุ้มครอง พระพุทธศาสนา ที่เปิดโอกาสให้ฆราวาส เข้าไปมีอำนาจปกครอง และบริหารการเงินของ พระพุทธศาสนา อันมีผลประโยชน์มหาศาล (ซึ่งท่านที่สนใจ สามารถขอมาได้ทาง กองบรรณาธิการพิมพ์ไทย)
ซึ่งโดยปกติแล้ว เดิมการประชุมเพื่อหาแนวทางในการร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับนี้ จะจัดให้มีในวันที่ 26 กรกฎคมนี้ แต่เหตุไฉน ท่าน ร.ม.ต. สมศักดิ์ จึงได้มีไฟแรง เลื่อนจากวันที่ 26 กรกฎาคม มาเป็นวันที่ 20 กรกฎาคมเร็วขึ้น 1 สัปดาห์ ทั้งๆ ที่มีเรื่องอื่นอีกเป็ฯจำนวนมาก ในกระทรวงศึกษาธิการ ที่รอคอย เช่น โครงการ เงินกู้จาก ADB เพื่อช่วยเหลือ การศึกษา พระภิกษุ สามเณรทั่วประเทศ ไม่ว่า จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้แจ้งว่า การประชุมวันนี้ (วันที่ 20 กรกฎาคม) จัดขึ้นเป็นการจัดตั้งให้ดูสมจริง และสร้างกระแสให้เกิด การยอมรับ ในความชอบธรรมแก่รัฐสภาที่จะผ่าน พ.ร.บ. ฉบับนี้ พร้อมกัน 3 วาระรวด โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา
แต่เราขอถามท่านว่า จะเป็นเช่นนั้นหรือ? และท่านที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ จะทราบหรือไม่ว่า เป็นแค่เพียงตัวละครกำมะลอในละครฉากหนึ่ง ที่มีผู้มีผลประโยชน์บังคับ ให้แสดง หรือท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไร
ตัวอย่างบางมาตราที่ขายชาติ ขายพระศาสนา ใน พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
หมวด 2
คณะกรรมการ
มาตรา 11 ให้มีคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คณะหนึ่ง เรียกโดยยย่อว่า "กอค.พช." ประกอบด้วย
1. รัฐมนตรีว่าการ ประธานกรรมการ
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงที่รัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ
3. ปลัดกระทรวงการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
4. ปลัดกระทรวงกลาโหม
5. ปลัดกระทรวงมหาดไทย
6. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
7. ปลัดกระทรวงการคลัง
8. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
9. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
10. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
11. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
12. เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
13. อธิบดีกรมการปกครอง
14. อธิบดีกรมศิลปากร
15. อธิบดีกรมการศาสนา
16. นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
17. ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ในพระบรมราชูปถัมภ์ (1)
18.-33. ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจาก พระภิกษุ(2) และ/หรือ คฤหัสถ์ (3) จำนวนไม่น้อยกว่าสิบสอบรูป/คน แต่ไม่เกินสิบห้ารูป/คน เป็นกรรมการ
ให้เลขาธิการ กอค.พช. เป็นเลขานุการ
กรรมการโดยตำแหน่ง ซึ่งเป็นผู้แทนของส่วนราชการตามวรรคหนึ่ง จะมอบหมายให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่น เป็นกรรมการแทนหรือประชุมแทน ให้เป็นไปตามระเบียบที่ กอค.พช. กำหนด
มาตรา 12 กรรมการผู้ทรงคุณให้อยู่ตำแหน่งได้คราวละสี่ปี (4) นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง ถ้าตำแหน่งว่างลงก่อนกำหนด และยังมีกรรมการดังกล่าวเหลืออยู่จำนวนไม่น้อยกว่า 10 รูป/คน ให้กรรมการที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
เมื่อตำแหน่งกรรมการว่างลงก่อนกำหนด ให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการแทนภายในกำหนด 60วัน เว้นแต่วาระของกรรมกรที่เหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน จะไม่แต่งตั้ง กรรมการแทน ก็ได้ ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการแทนนั้น ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าที่กำหนดเวลาชองผู้ซึ่งตนแทน
กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่ง จะแต่งตั้งให้กรรมการอีกได้ (5) ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ แต่ยังมิได้แต่งตั้งกรรมการใหม่ ให้กรรมการนั้นปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน จนกว่าจะได้แต่งตั้งกรรมการใหม่
การวิเคราะห์
ตำแหน่ง 1 ถึง 2 ข้าราชการเมือง ซึ่งสามารถเข้ามาคุมพุทธศาสนาได้
ตำแหน่ง 3 ถึง 5 เป็นข้าราชการประจำ
ตำแหน่ง 16 ถึง 17 ตัวแทนองค์กรอิสระ โดยอาศัยนามองค์กรพุทธ
จะเห็นได้ว่า ตำแหน่ง 1 และ 2, 1 ถึง 15 เป็นข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมือง ซึ่งโดยปกติมีงานประจำมากอยู่แล้ว ดังนั้นถ้ามีการประชุมให้ 16 และ 17 ที่สามารถมาประชุม รวมผู้ทรงคุณวุฒิอีก 15 คน ซึ่งการเสนอชื่อทั้ง 15 คน จะต้องเป็นบุคคลในข้อ 16 และ 17 อย่างแน่นอน
ดังนั้นตำแหน่งที่ 16 และ 17 จึงมีอำนาจครอบงำไว้ได้ เมื่อจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิ 15 คน รวมบุคคลใน 16 และ 17 เกินกึ่งหนึ่ง จึงสามารถประชุมได้เลย ทำให้กรรมการชุดนี้ 16 และ 17 มีอำนาจครอบงำคณะกรรมการชุดนี้ โดยปริยาย
หมายเหตุ จากมาตรา 11 และ 12
(1) ปัจจุบันคือ นายสมพร เทพสิทธา ที่ออกมาเคลื่อนไหวผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ. นี้ผ่านสภาให้ได้ (สงสัยคงอยากเป็นกรรมการใจจะขาด?)
(2) พระภิกษุไม่มีการกำหนดคุณสมบัติให้ชัดเจน อาจเป็นพระบวชใหม่ เป็นกรรมการ
(3) คฤหัสถ์ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นชาวพุทธ หรือถือศีล 5 ครบหรือไม่ แต่จะได้เป็นผู้ควบคุมพุทธศาสนา ไม่เชื่อลองไปถาม ฯพณ เด่น โต๊ะมีนา ดูก็ได้
(4) แต่ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฉบับใหม่นี้ กำหนดให้กรรมการมหาเถรสมาคม มีอายุอยู่คราวละ 2 ปี นี่มันอะไรกัน
(5) แสดงว่า กรรมการสามารถต่ออายุได้ตลอดชีวิต และสามารถวางแผนสร้างระบบในการสืบทอดอำนาจ ในการเป็นกรรมการตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นลูก ถึงรุ่นหลาน อันเป็นการกุมอำนาจ แบบเบ็ดเสร็จ แต่กรรมการมหาเถรสมาคม ต้องเลือกตั้งใหม่ทุกๆ 2 ปี (คราวนี้คงสนุกแน่ที่จะได้เห็นพระหาเสียงกันอุตลุด)
ครุธรรม 8 ประการ
แม้ภิกษุณีผู้มีศีล 311 ข้อ พระพุทธเจ้ายังทรงกำหนดสิกขาบท ถึงแม้ภิกษุณีบวชมา 100 ปี ยังต้องก้มกราบพระภิกษุผู้บวชใหม่เพียงวันเดียว และห้ามมิให้ภิกษุณีด่าว่า อบรมสั่งสอน พระภิกษุ
แล้วเราท่านทั้งหลายถือศีลกี่ข้อ จะอาศัยสิทธิ์ หรืออำนาจใดในการปกครองพระสงฆ์
โดย ทันเหตุการณ์