ปีที่ 2 ฉบับที่ 736 ประจำวันอังคารที่ 20 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542

หน้า 1

"อัตตา-อนัตตา" คำสองคำที่มิอาจลดความศักดิ์สิทธิ์ของพระนิพพาน (1)

โจรใจบาปลักขโมยตัด-หักเศียรพระพุทธรูป เพื่อหวังนำไปทำการค้านั้นบาปแน่

ทว่า ผู้ที่ตัด-หักยอดพระนิพพานจะบาปกรรมเพียงใดหนอ "ขุนเดช" วานตอบข้าที

มีบุคคลผู้ชำนาญการด้านพระพุทธศาสนา ได้นำความเห็นที่อัตตา หรืออนัตตา คำสองคำที่มิอาจลดความศักดิ์สิทธิ์ของพระนิพพานมาแล้ว

แต่ความเห็นเกี่ยวกับพระนิพพาน ยังมีพุทธศาสนิกชนให้ความสนใจทุ่มเถียงกันอยู่ และไม่มีท่าทีว่าจะสามารถหาข้อสรุป ยุติลงด้วยดีได้

พระธรรมปิฎก ผู้ได้ชื่อว่าปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา ท่านก็ไม่เป็นอันปฏิบัติศาสนกิจใดๆ แล้ว เนื่องจากท่านเอาเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตที่มีอยู่ มาแสดงความเห็น เกี่ยวกับ พระนิพพานว่า จะต้องมีสภาพเป็น "อนัตตา"

ความเห็นของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก มีชาวพุทธจำนวนมาก ให้การยอมรับนับถือและเชื่อมั่นพร้อมที่จะเดินตาม ปฏิบัติตามแนวทางของท่าน พระนิพพานเป็นอนัตตา

ความเห็นของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก เป็นยอมรับจากชาวพุทธมากมายก็จริงอยู่ แต่ชาวพุทธอีกจำนวนมากเช่นกัน ก็ไม่อาจน้อมนำความเห็นของท่าน หรือเชื่อตามปฏิบัติตามได้ เนื่องจาก ชาวพุทธสายนี้ มีความเห็นว่า พระนิพพานต้องมีสภาพเป็นอัตตา

พูดกันให้ชัด ชาวพุทธเรากำลังมีความเห็นตรงข้ามกัน 2 ฝ่าย กล่าวคือ "อัตตา1" และ "อนัตตา 1"

ความเห็นสายอนัตตานั้น ส่วนใหญ่พระสายปริยัติ จะมีความเห็นในทำนองเดียวกันนี้

ขณะที่พระสายปฏิบัติ เกือบทั้งหมดจะมีความเห็นว่า พระนิพพานเป็นอัตตา

มีความเห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น สามารถสรุปภาพการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเข้าใจของผมได้ดังนี้

ฝ่ายแรกยืนยันว่า นิพพานต้องเป็นอนัตตา นั้น…. มีเหตุผลชี้ชัดว่า พระพุทธเจ้าหรือศาสนาของเรา พระองค์ทรงต่อต้านลัทธิ หรือศาสดาในศาสนาอื่น ที่มีความเห็นตั้งตนเอง เป็น ผู้นำศาสนา และยกความเป็นศาสดาของตัวเองเป็นองค์ปฐม เป็นผู้มีอำนาจดลบันดาล ความเป็นไป ของสรรพสิ่งในโลกนี้ นั้นคืออัตตาความเป็นตัวตนนั้นเอง ทั้งนี้ไม่มีเหตุผลใด จะมาแย้ง ศาสดาได้ ศาสดาพวกนี้อยู่เหนือเหตุผล (ห่างไกลจากสุขที่แท้จริงตามหลักพระพุทธศาสนา นั้นคือพระนิพพาน)

และมีความเห็นว่า พระพุทธเจ้าในพระศาสนา ทรงชี้ให้เห็นว่า ไม่ควรยึดมั่นในอัตตาอย่างไร มีแต่เพียรสั่งสอนเสมอว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตาทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนจีรังถาวร สรุปลงว่า พระนิพพานย่อมมีสภาพเป็นอนัตตาไปด้วยนั่นเอง

ฝ่ายหลังยืนยันว่า นิพพานต้องเป็นอัตตา นั้น…. มีเหตุผลแย้งฝ่ายแรกว่า จะเหมาะรวมเอาพระนิพพานของสูงส่งไปอยู่กับไตรลักษณ์ได้อย่างไร ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ให้สัตว์โลก หนี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจพูดได้ว่า หนีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งตกอยู่ในสภาพแห่งทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้นั้นเอง

ศาสนาพุทธจึงมีจุดสูงสุดทางการดำรงอยู่ นอกเหนือจากกฎเกณฑ์เกิด แก่ เจ็บ ตาย หลุดพ้นไปจากกิเลส ตัณหา ราคะ ไม่มีปัจจัยภายนอกหรือภายในมาปรุงแต่ง นั้นคือพระนิพพาน เป็นบรมสุขยิ่ง ไม่มีสุขใดเสมอเหมือน ดังนั้นนิพพานต้องมีสภาพเป็นอัตตา ซึ่งอัตตาในที่นี้ ไม่ใช่การยึดมั่นถือมั่นในคำว่า ตัวตน พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ใช่อัตตา ตามแบบอย่างศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ฯลฯ แต่เป็นอัตตาของสภาวะผู้ทรงนิพพานแล้ว มีความเที่ยง มั่นคง เป็นอกาลิโก อาจพูดได้ว่า เป็น "สูญ" แต่ไม่ใช่อนัตตา สูญในที่นี้หมายถึง สูญจากสภาวะกิเลส เครื่องปรุงแต่ง ให้ เศร้าหมองนั่นเอง

ที่กล่าวมาคือเหตุผล เกี่ยวกับพระนิพพานที่มีความเห็นแบ่งเป็นสองฝ่าย

ผมไม่มีความรู้เพียงพอที่จะตัดสินเกี่ยวกับสภาพนิพพาน ซึ่งเป็นของสูงสุดในพระพุทธศาสนา หากแต่ได้พยายามนำความรู้ของผู้ที่ได้ศึกษาพระนิพพานมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อให้ พุทธศาสนิกชนทั่วไป ใช้วิจารณญาณ ศึกษาตามอรรถภาพเท่านั้น

พระราชญาณวิสุทธิโสภณ หรือหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ท่านยืนยันว่า ประโยชน์ส่วนตนท่านได้บำเพ็ญเพียรสำเร็จแล้ว เห็นมรรค เห็นผล เห็นนิพพานตาม ที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ใครจะว่าอวดอุตริก็ยอม

หลวงตามหาบัวพูดอย่างนี้หลายครั้ง หลายโอกาส ตามสถานที่ต่างๆ ที่ท่านแสดงธรรม เมื่อประโยชน์ของท่านสำเร็จแล้ว แต่ท่านยังไม่ละสังขารชีวิตที่เหลืออยู่ จึงอุทิศตน สร้าง ประโยชน์ให้กับผู้อื่น อย่างเต็มกำลัง เต็มแรง (ผู้นั้นก็คือแผ่นดินเกิด)

ท่านออกแสดงธรรมทั่วประเทศ ปลุกจิตสำนึกให้คนไทยร่วมมือร่วมแรงปกป้องประเทศชาติให้พ้นจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ด้วยคุณธรรม ด้วยความเสียสละ โดยไม่ได้ หวัง รางวัล หรือคำสรรเสริญเยินยอตอบแทน

เงินทองทุกบาททุกสตางค์ หลวงตามหาบัวยืนยันว่า ท่านรักษาไว้อย่างดีแต่เพียงผู้เดียว เพื่อรวมไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ

งานนี้ก็มีเสียงของคนพาลสันดานบาปเล็ดรอดมาว่า ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ก็อย่าไปถือสาคนจำพวกปากไม่มีหูรูด มีปากไว้เพื่อการผายลมเน่าเหม็นเท่านั้น

พูดถึงเรื่องนิพพานที่มีความเห็นแบ่งกันเป็นฝักฝ่าย มองดูแล้วชักไม่เข้าท่า แม้หลวงตามหาบัวท่านจะไม่ยืนยันชัดแจ้งว่า พระนิพพานมีสภาพเป็น "อัตตา" แต่ท่านเคยยืนยันไว้ หลายครั้งแล้วว่า นิพพานไม่อาจอยู่ปะปนกับไตรลักษณ์ นั้นคือนิพพานไม่มีสภาพเป็นอนัตตาอย่างแน่นอน และท่านก็เคยแสดงธรรมว่า เมื่อไม่รวมอยู่ในไตรลักษณ์แล้ว เราจะเรียกสภาพ นิพพาน เป็นอัตตาก็ไม่น่าจะผิด

ล่าสุดมีผู้หวังดีส่งหนังสือของหลวงตามหาบัวมาให้ผม เห็นหัวเรื่องที่หน้าปก "นิพพาน คือ นิพพาน" ตรงกับสถานการณ์ พิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 2542 จึงคิดที่จะนำมาเผยแผ่ และ ยกเป็น กรณีศึกษาให้กับเหล่าสาธุชนผู้ใฝ่หาพระนิพพาน ใช้เป็นหลักหรือกรณีเปรียบเทียบตามอรรถภาพ

สำหรับรายละเอียดของเนื้อหานิพพานคือนิพพาน ผมจะนำเสนอในวันต่อๆ ไป วันนี้พื้นที่หมดแล้วครับ

โซตัส

[หน้าหลัก] [วิวาทะ][พิเศษ]

1