ปีที่ 2 ฉบับที่ 718 ประจำวันศุกร์ที่ 2 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542
วิวาทะ
แสวงหาสัจธรรม (ว.วัชรวีร์ แปล)
มนุษย์เราไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ในบางครั้งบางคราว มักจะเคยถามตัวเองว่า เราเกิดมาทำไม สำหรับบางคน ความคิดทำนองนี้ หมายถึงจุดหมายของชีวิต หรือบ้าง ก็เป็นเพียง ความคิดธรรมดาๆ ว่าอะไร ทำให้คนเรา เลือกวิถีชีวิต อย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับตนเอง ส่วนเรา (สองคน) คำถามนี้ ย่อมหมายถึง สัจธรรมอันสูงสุด ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองสัปดาห์ครึ่ง ในประเทศไทย สิ่งที่เราได้ค้นพบ มีดังต่อไปนี้
ท่ามกลางองคาพยพ ที่ประกอบกันเป็นสถานที่ ที่เรียกว่าเมือง เราพบว่า เราเหมือนถูกโยน ไปอยู่ในโลก ที่แม้แต่ความฝัน ไม่อาจเปรียบได้ ภาพถนนที่เนืองแน่น ไปด้วยรถตุ๊กตุ๊ก กลิ่นควันจากท่อไอเสีย สภาพที่หลากหลาย คล้ายชีวิตยามราตรี.. อาหารรสเผ็ดจัด ที่เข้ากันได้ดี กับอากาศที่ร้อน อย่างฉกาจฉกรรจ์ ความชื้นที่เป็นเสมือนผ้าบางๆ ที่คลี่คลุมคุณไว้ ใน ท่ามกลาง ความวุ่นวาย กลับมีความเงียบสงบ ปรากฏอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัย คนขับแท็กซี่ ที่ชำนาญมากๆ เท่านั้น จึงจะพาเราไปถึง สถานที่ ซึ่งเราได้พบกุญแจ ไขไปสู่ประตู ชีวิต พระธรรมกาย
สถานที่นี้เองที่เราหญิงสาว ชาวนครนิวยอร์คสองคน ซึ่งเพิ่งใช้เวลาสองชั่วโมง เดินทางจากที่แห่งหนึ่ง ในเมืองไทย มาสู่ดินแดนที่ดูเหมือน ร้างและชื้นแฉะ และกำลังอยู่ในระหว่าง ก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน อยู่สภาพถนนลูกรัง ที่ขรุขระ แน่ละ นี่ย่อมไม่ใช่สถานที่ที่เรา กำลังแสวงหา คือสถานที่ที่อบอุ่น และปลอดภัยสักแห่ง เพื่อจะซุกหัวนอน มีที่ฝึกสมาธิ เพื่อ ผ่อนคลายจิตใจ ที่อ่อนล้าของเรา และถ้าจะให้สมบูรณ์ ก็น่าจะมี ภิกษุผู้เป็นกันเอง สักรูป เพื่อแลกเปลี่ยน ประสบการณ์
ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา เราประหลาดใจมาก กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เคยคาดคิด ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนที่ใด
สถานที่แห่งนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่ว่าราวทะเลทราย บัดนี้มีผู้คนมากมาย เดินทางมาจากทั้งที่ใกล้และไกล ในมือของท่านเหล่านั้น ต่างถืออาสนะมาด้วย
ถึงขณะนี้เราเริ่มสับสน แต่ก็รู้สึกว่า บางอย่างที่จริงจัง กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า และแล้วเหล่าพระภิกษุ ในจีวรสีเหลือง ดุจแสงอาทิตย์ ก็ย่างกรายอย่างมีสติ ด้วยลักษณาการ อันสงบ น่าเลื่อมใส เสียงเดินที่แผ่วเบา ราวกับระวังไม่ให้ทารก ที่กำลังหลับตกใจตื่น ภิกษุเหล่านี้ เดินขึ้นไปนั่งบน อัฒจรรย์รูปครึ่งวงกลม ทุก ๆ คนที่อยู่รายรอบตัวเรา ต่างก็รีบไปจับจองที่นั่ง ในกลุ่มคนที่เริ่มมากขึ้น ประมาณเก้าพันคนเป็นอย่างน้อย วัสดุสีเข้มที่ปูอยู่บนพื้นคอนกรีตนั้น ช่วยจัดระเบียบแก่สาธุชน ซึ่งเป็นภาพที่เราไม่เคยเห็น ที่สหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้ ดูไม่มีพิษภัยอะไร มีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เชื้อเชิญเราไปพักที่บ้านของเธอ เมื่อทราบว่า เราไม่มีที่พักในวัด เนื่องจากการก่อสร้าง อาคารที่พัก ยังไม่เรียบร้อย ผู้หญิงคนนี้ ได้ช่วยแนะนำสิ่งต่างๆ และนำเรามาสู่ธรรมกาย เอโลน่าและข้าพเจ้า ไม่เคยรู้จักวิธีการทำสมาธิที่แท้จริง มาก่อน เหตุนี้ เราจึงเลือกที่นี่ เป็นจุดเริ่มต้น ของการเดิน ธุดงค์ เพื่อค้นหาจิตวิญญาณของเรา ก่อนจะเดินทางไปยัง อินเดียและเนปาล
เรากำลังศึกษาพุทธศาสนา ในวัฒนธรรมไทย แต่สิ่งที่ควบคู่ไปกับ ความรู้สึก ที่กำลังได้รับคือ ความสงบ อันเต็มเปี่ยมไปด้วย ความสุข ซึ่งดูเหมือนว่า ได้กลืนเราทั้งคู่ไปแล้ว นี่คือ เวลาที่เราได้ลิ้มรส ความสุข จากการนั่งสมาธิ ที่วัดพระธรรมกาย เป็นครั้งแรก
วันแรกที่วัดเราไม่ได้ทำอะไรนัก นอกจากสังเกตการณ์ แล้วเราก็ได้พบ ความเจริญทางจิตวิญญาณ ที่เผยออกมา ต่อหน้าของเรา แต่ละคนที่เราได้พบ บ่งบอกถึงความสงบ ที่อยู่ภายใน อย่างแท้จริง รวมทั้งความสงบสุข ที่เปล่งประกายออกมา จากทุกอณูเนื้อของเขาเหล่านั้น ไม่นาน เราก็พบว่า วิสัยทัศน์ของคนเหล่านั้น เป็นของแท้ สิ่งที่เขาต้องการคือ วินัยแห่งการหยุดนิ่ง ด้วยความสงบ เพื่อขยายใจไปสู่ ปัญญาเบื้องสูงขึ้นไป กระทั่ง สามารถบรรลุธรรม ด้วยตนเอง และจะแผ่ขยายความสุข ที่ได้ไปสู่ มวลมนุษยชาติ ช่างลึกซึ้งอะไรเช่นนี้
ห้าวันก่อนหน้านี้ ถ้าใครสักคนเอ่ยกับเราถึงคำว่า ธรรมกาย ความรู้สึกของเรา ก็คงแปลกเหมือนนกเพนกวิน มาเดินอยู่กลาง ประเทศไทย คำสอนของธรรมกาย ทำให้เรารู้สึกกล้าหาญ และเกิดพลังในจิตวิญญาณ เพราะไม่เพียงแต่ ทำให้เราเห็นถึง ศักยภาพของตัวเอง เท่านั้น แต่ยังเน้นให้เห็นว่า เราทั้งหมด สามารถเดินบนทางสายนี้ ได้อย่างไร ขอเพียงแต่เรา รับฟังความจริง ที่อยู่ภายในใจของเราเอง
สิ่งที่ประทับใจที่สุดของเราสองคน เกี่ยวกับธรรมกายก็คือ แม้ว่าธรรมกาย จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำสอน และการปฏิบัติในพุทธศาสนา แต่ชาวธรรมกาย ก็เชื้อเชิญทุกคน ให้มา ค้นหาสัจธรรม โดยไม่มีการรบเร้า ด้วยเทคนิคการขายใดๆ นอกจากความสุข ความเบิกบาน เท่านั้น พวกเขาต้องการให้ทุกๆ คน ค้นพบแสงสว่าง อันเป็นเครื่องนำทางชีวิต ด้วยตัวเอง สิ่งที่คุณ จำเป็นต้องทำ คือ การเปิดความคิด และจิตใจของตัวเอง เท่านั้น สมาธิเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งอื่นนั้น เป็นรอง เราเชื่อเพราะการฝึกสมาธิที่นี่ ปลุกเราให้ตื่นขึ้น วิธีการที่ง่ายๆ อย่างที่ คนไทย เรียกว่า "สบายๆ" ยิ่งทำให้การปฏิบัติธรรมนี้ น่าสนใจมากขึ้นไปอีก และในที่สุด เราก็ได้สัมผัสถึง ศูนย์กลางกายของเรา ด้วยตัวเอง ซึ่งน่าตื่นเต้น อัศจรรย์กับ ความปลอดโปร่ง จากความทุกข์ จากทุกข์ทั้งปวง ในชีวิต เรารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณวัดพระธรรากาย เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอย่างหนัก เพื่อบริการผู้คนทุกชนชั้น ผู้ที่แบ่งปันหัวใจ และความรักแก่ทุกๆ คน ที่ได้ มาถึง ผื่นแผ่นดิน วัดพระธรรมกายแห่งนี้
รีอา กิบบส์ และอโลนา มาร์คแมน
24 มิถุนายน 2542
วันที่ 16 มิถุนายน 2542
เรียน "ไอ้ทิด" ที่นับถือ
ดิฉันได้เห็นพฤติกรรมของสื่อมวลชน รวมทั้งคุณสมพร เทพสิทธา ซึ่งเป็นประธานสภา ยุวพุทธิกสมาคม แห่งประเทศไทย ตลอดจนผู้ที่อ้างตัวว่า เป็นตัวแทน องค์กรชาวพุทธแล้ว รู้สึกฉงนใจมากว่า นี่หรือชาวพุทธ นี่หรือ ผู้มีหน้าที่ระดับสูง ในองค์กรพุทธศาสนา ของไทย เดี๋ยวนี้เขาเป็นกันอย่างนี้แล้วหรือ
ตั้งแต่เกิดมา ดิฉันได้รับการอบรมสั่งสอน จากบิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ตลอดจนครูบาอาจารย์ว่า พระสงฆ์เป็นของสูง ต้องเคารพกราบไหว้ ห้ามลบหลู่ล่วงเกิน มันจะเป็นบาปติดตัว เพราะอย่างน้อย ท่านก็มีศีลมากกว่าเรา แต่บัดนี้ สิ่งที่ดิฉันได้เห็นอยู่แทบทุกวันคือ ฆราวาสด่าว่าพระ อย่างหยาบคาย แทบทุกวัน ตามหน้า หนังสือพิมพ์ แต่นั่นก็ยังพอทำใจ ยอมรับได้ เพราะ พอจะเข้าใจว่า สื่อมวลชน ที่กำลังจาบจ้วง พระสงฆ์อยู่นั้น คงไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน มาอย่างที่ดิฉัน และชาวพุทธ พึงได้รับ หรือมิฉะนั้น คงเป็นบุคคลประเภท บัวที่อยู่ในโคลน ในเลน ใต้น้ำ ไม่สามารถเติบโต เจริญงอกงามได้ รังแต่จะเป็นอาหาร ของสัตว์ใต้น้ำ ดังนั้น แม้จะได้รับการอบรมสั่งสอน จากบุพการีหรือ ครูอาจารย์มา ก็ไม่สามารถซึมซับ คำสอนเหล่านั้นได้
แต่สำหรับพฤติกรรมของคุณสมพร และผู้ที่อ้างตัวว่า เป็นตัวแทนองค์กรชาวพุทธนั้น ดิฉันรู้สึกรับไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะคุณสมพร ซึ่งเป็นถึง ประธานสภา ยุวพุทธิกสมาคม แห่ง ประเทศไทย ควรจะรู้ว่า ฆราวาสจะต้องปฏิบัติต่อ พระสงฆ์อย่างไร และจำเป็นต้องทำตัว เป็นแบบอย่างที่ดี แก่ชาวพุทธทั่วไป โดยเฉพาะที่ยังเป็น เยาวชนของชาติ แต่จากพฤติกรรมที่ผ่านมา รวมทั้งล่าสุด ที่ให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 6 มิถุนายน ที่ว่า "ประเด็นสำคัญ ที่จะไปกราบนมัสการ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ในครั้งนี้คือ ต้องการสอบถามท่านว่า จะพิจารณา รับเรื่องเมื่อไร และเพราะเหตุใด จึงได้พิจารณาช้านัก ขณะนี้ทางโลก เขามีการดำเนินการ ล้ำหน้าไปมากแล้ว โดยเฉพาะ กระทรวงศึกษาธิการ จะไปเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ในคดีอาญาแล้ว แต่ศาลสงฆ์เอง ไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นหากท่านช้า จะเสียหน้าต่อทางบ้านเมือง ผมจะไปกระตุ้นท่าน ให้เร่งทำเร็วๆ ดิฉันไม่อยากเชื่อว่า คำพูดที่มีลักษณะ เป็นการไม่ให้ความเคารพ ต่อพระสงฆ์ (โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่) เช่นนี้ จะหลุดออกมาจากปาก ของผู้ที่เป็นถึง ประธานสภา ยุวพุทธิกสมาคม แห่งประเทศไทย และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และ ครั้งเดียว ที่ท่านแสดงกิริยาวาจา ไม่เหมาะสม ในลักษณะนี้ ยิ่งกว่านั้น การที่ท่านพูดเหมือนขู่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีว่า "หากท่านทำช้าจะเสียหน้าต่อทางบ้านเมือง" ท่านคงจะลืมไป แล้วว่า พระสงฆ์โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่ระดับนี้ ท่านไม่ยึดติดกับกิเลส หรือหน้าตาแล้ว เรื่องเสียหน้าจ ึงไม่ใช่สิ่งที่บังควร นำมาพูดกับท่าน ดิฉันไม่ทราบว่า ด้วยคุณสมบัติแบบนี้ ท่านเป็น ประธาน ยุวพุทธิกสมาคมฯ ได้อย่างไร
ส่วนพฤติกรรมการกรีดเลือด เผารูป เผาหุ่น สาปแช่งพระสงฆ์ รวมทั้งพฤติกรรมอื่นๆ ที่รุนแรงและป่าเถื่อน ของกลุ่มผู้ที่อ้างตัวว่า เป็นตัวแทน องค์กรชาวพุทธนั้น ดิฉันมั่นใจว่า ไม่ว่า ชาวพุทธที่ยึดมั่น ในพระธรรมคำสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแท้จริง คนไหนๆ ที่เห็นข่าว ภาพของพฤติกรรมเหล่านั้น ก็คงรู้สึกช็อค และสงสัยเช่นเดียวกับดิฉันว่า นี่เป็น พฤติกรรมของชาวพุทธ หรือเป็นพฤติกรรมของ พวกเดียรถีย ์ดังที่ปรากฏใน พระไตรปิฎกกันแน่
ดิฉันจึงอยากขอร้องต่อท่านเหล่านั้นทั้งหมดว่า ได้โปรดหยุดบ่อนทำลาย พระพุทธศาสนา เสียทีเถอะค่ะ ที่ผ่านมา ท่านได้ทำให้ พระพุทธศาสนา บอบช้ำและเสียหาย มามากแล้ว ศาสนาพุทธ สอนให้คนใช้เหตุผล หากท่านรักและต้องการปกป้อง พระพุทธศาสนาจริง อย่างที่กล่าวอ้าง ได้โปรดหยุดเถอะค่ะ พฤติกรรมส่อเจตนา ชาวพุทธที่แท้จริงทุกคน ล้วนมีสติปัญญา พอ ที่จะแยกแยะออกค่ะ ระหว่าง ความจริงกับภาพที่สร้างขึ้น และอย่าลืมนะคะ หลักของศาสนาพุทธสอนว่า นรกสวรรค์มีจริง และใครทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ตนจักต้องเป็นผู้รับผล ของกรรมนั้น ถึงท่านไม่กลัวแต่อย่าลืมนะคะ ท่านยังมีบิดามารดา บุตร และภรรยา ซึ่งจะร่วมรับผลกรรม กับท่านด้วย ทั้งผลทางโลกและผลทางธรรม อย่าให้ผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นบุคคล ที่ท่าน รักเหล่านั้น ต้องร่วมรับผลกรรม ที่พวกเขาไม่ได้ก่อเลยค่ะ ยังไม่สายเกินไป ที่จะกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ตราบเท่าที่ท่าน ยังมีลมหายใจอยู่ แต่อย่าลืมนะคะว่า เพียงหายใจเข้า ไม่หายใจออก หรือหายใจออก ไม่หายใจเข้า เราก็ตายแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงสอนให้เราพิจารณาความตาย อยู่ตลอดเวลา หากท่านทั้งหลาย เป็นชาวพุทธจริง ย่อมทราบดี
ดิฉันขอฝาก "ไอ้ทิด" ช่วยสะท้อนความห่วงใยและความปรารถนาดีด้วยใจจริงของดิฉันนี้ ไปยังเขาเหล่านั้นด้วยนะคะ ของพระคุณค่ะ
ด้วยความนับถือ
ชาวพุทธตัวจริง
22 มิ.ย. 2542
คุณไอ้ทิด
ขอบคุณมากที่ให้หน้าหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" เป็นที่ระบายความอึดอัดใจ ของลูกศิษย์ วัดพระธรรมกายทั้งหลาย วันนี้ขอรบกวนอีกครั้ง ขออาศัย "พิมพ์ไทย" เป็นที่ปรับทุกข์ และเป็น ทางผ่านไปถึง ผู้ไม่หวังดีต่อ วัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ บางฉบับ ให้ร้ายป้ายสี และพยายามบิดเบือน ความจริงที่ดีๆ ของวัด ให้ผู้คนที่ไม่ได้เข้า วัดพระธรรมกาย มองวัดไป ในทางลบทั้งหมด ยกตัวอย่าง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 มิ.ย.นี้ มีลูกศิษย์ของ หลวงพ่อธัมมชโย ไปนั่งปฏิบัติธรรม ที่สภาธรรมกายสากล ประมาณหมื่นคนเศษ แต่หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ เขียนว่า มีคนไปแแค่ 1,000 คนเท่านั้น น่าละอาย ที่บิดเบือนความจริง ไม่สมกับ เป็นผู้ที่มีฐานันดรสี่เลย
อีกอย่างไม่ทราบว่า หลวงพ่อธัมมชโย ไปทำความเจ็บแค้นอะไร ให้กับผู้ที่เขียนข่าวนี้ ถึงได้ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม กับหลวงพ่อฯ คำก็เดียรถีย์ สองคำก็เดียรถีร์ หยาบมาก ช่างไม่กลัว บาปกรรมจริงๆ ไม่ว่าทางวัด จะทำอะไร เป็นเรื่องที่เขาจะเขียน ไปในทางลบทั้งหมด อยากถามว่า เขาเคยเข้าวัด หรือเคยบริจาค เงินสักสลึงหรือเปล่า? ขอให้หยุดสร้างบาปเสียที
เรื่องที่สอง ท่านประธานมูลนิธิสวนแก้ว พระพิศาลธรรมพาที หรือพระพยอม กัลยาโณ ท่านเป็นพระที่พูดเก่งจริงๆ ขอปรบมือชมเชย ท่านบรรยายธรรมเรื่อง "ธรรมกายทำบ้านแตก" ท่านน่าจะอยู่ในศีล 227 อย่างเคร่ง ไม่ควรใช้คำพูด ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เป็นการยกตนข่มท่าน ท่านคิดว่าสิ่งที่ทำดีแล้ว (ไม่คัดค้าน) เลยมองคนอื่นไม่เข้าตา ท่านมัวแต่มองหา ความผิด ของคนอื่น ลืมมองตัวเอง มนุษย์เรา จะทำทุกอย่าง ให้เหมือนกันไปหมด บ้านเมืองจะเจริญได้ไง? ท่านทำตัวเหมือนพ่อค้า และออกทีวีบ่อยๆ เหมาะสำหรับ พระพยอม แต่ไม่เหมาะกับบุคลิก พระเดชพระคุณ เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายแน่ๆ มันคนละบุคคลิก พระพยอมออกจะเป็นพระ ที่ขาดการสำรวม กิริยา ฯลฯ คำพูดที่ไม่ควรพูด ก็พูดออกไปได้ เช่น ด่าว่าพระเลว พระชั่ว คำพูดเช่นนี้ สมควรที่จะออกจากปาก ของผู้ถือศีล 227 ละหรือ? คนถือศีลห้า ยังละอายที่จะพูดคำเหล่านี้
ท่านเป็นพระที่ขี้อิจฉา วัดพระธรรมกายก่อสร้างมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว ทุกอย่างเริ่มต้น ตั้งแต่เล็กๆ ค่อยๆ โตขึ้น ผู้คนที่มาปฏิบัติธรรม ยินดีและเต็มใจที่จะทำบุญ เพราะว่า เห็นความ ตั้งใจจริง ของหลวงพ่อธัมมชโย เป็นผู้ที่มองการณ์ไกล มิได้มองแค่คืบแค่ศอก และไม่ได้ทำทุกอย่าง เพื่อตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จัดสร้าง ก็เพื่ออนาคต ร้อยปีพันปีข้างหน้า เพื่ออนุชนรุ่นหลัง ท่านไม่ได้บังคับใคร แต่ทุกคนก็เต็มใจ ทำบุญ ช่วยให้ความคิดของท่าน สำเร็จสมประสงค์ในอนาคต วัดพระธรรมกาย จะเป็นเหมือน วัดพระธาตุดอยสุเทพ ที่เชียงใหม่ เงินทองจะไหลเข้า ประเทศตลอดกาล
เรื่องที่สาม ฝากถึงคุณจำรัส นวลประดิษฐ์ อายุ 64 ปีแล้ว ชาวจังหวัดนนทบุรี ขอให้ทบทวนครอบครัวตัวเอง ให้ดีก่อนว่า ทุกอย่างที่บอกว่า เดือดร้อน เนื่องจาก วัดพระธรรมกายนั้น จริงแค่ไหน? อย่าพยายามถือโอกาสซ้ำเติมวัด โดยปิดบังความจริงของตัวเอง ให้ทบทวน นั่งสมาธิให้ดี คิดถึงบุญบาป ก่อนจะพูดอะไรออกไป
เรื่องที่สี่ ฝากถึงคุณประสงค์ พระสุจันทร์ทิพย์ ผู้ที่ถือโอกาสนี้ทำเงินให้กับตัวเอง โดยการจัดทำหนังสือ "แฟ้มคดีธรรมกาย" คงทำเงินได้มากมายแน่ๆ เพราะเป็นเรื่องที่กำลัง "ฮิต" ในปัจจุบัน ขอชมในความพลาด ที่วางแผนไว้ เป็นระยะยาวนาน โดยโอ้อวดว่า ให้คนแฝงเข้าไปใน "กลุ่มกัลยาณมิตร" อยู่ในวัดพระธรรมกาย เพื่อหาเรื่องมาเขียน ยอดจริงๆ ขอปรบมือ ชมเชยในความเก่ง เรื่องงานใต้ดิน ขอให้จำเริญๆ เถอะ สลึงหนึ่งก็ไม่เคยทำบุญให้วัด แต่ถือโอกาสซ้ำเติม
วัดพระธรรมกายถูกคนที่ไม่เคยทำบุญให้กับวัดพระธรรมกาย ทุกวิถีทางทำลายโดยไม่กลัวนรกเลย
ท้ายนี้ขอหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" ขายดีเพิ่มจำนวนขายมาก
ไอ้ทิด