ปีที่ 2 ฉบับที่ 714 ประจำวันจันทร์ที่ 28 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542
วิวาทะ
พระพยอมเนื้อเต้นดูดทรัพย์มูลนิธิเพื่อนเสรี 2.5 ล้าน
พลันที่ข่าวการตอบโต้ระหว่าง พล.ต.ท.เสรี เตมียเวส ออกมาตอบโต้กับสื่อมวลชนที่กล่าวหาเขา มีความสัมพันธ์กับน้องเก๊ก ไม้ป่าเดียวกัน
การพุ่งเป้าของสื่อมวลชนฉบับนั้น โฟกัสไปที่มูลนิธิเพื่อนเสรี ว่ามีความไม่โปร่งใส โดยเฉพาะเรื่องการรับบริจาคเงินดังกล่าว อาจนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร
วีรบุรุษนาแก แจงสี่เบี้ย แถลงไขต่อสังคมถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องของมูลนิธิว่า ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อรับบริจาค และนำเงินไปใช้เพื่อการส่วนตัว หรือเข้ากระเป๋าบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ความบริสุทธิ์ผุดผ่องในมูลนิธิของนายตำรวจคนดัง แจงแถลงไขว่า มูลนิธิดังกล่าว ตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ต่อสังคม
พล.ต.ท.เสรี พูดเสียงดังฟังชัดว่า มูลนิธิเพื่อนเสรี ทำคุณประโยชน์เพื่อสังคมจริงๆ
เราเคยนำเงินมูลนิธิเพื่อนเสรี ไปบริจาคให้พระพิศาลธรรมวาที หรือหลวงพี่พยอม ในงานบุญของวัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี เป็นจำนวน 2.5 ล้านบาท
"หลวงพี่พยอมถึงกับตาค้าง พูดกลางงานว่า ตั้งแต่รับบริจาคมา ไม่เคยมีใครนำเงินจำนวนมากขนาดนี้มาบริจาควัดเลย รู้สึกภาคภูมิใจมาก"
คำกล่าวอ้างของข้าราชการตำรวจระดับนายพล ยืนยันผ่านสาธารณชนทั่วประเทศ ถึงความปีติยินดีในลาภสักการะของหลวงพี่พยอม และความใสบริสุทธิ์ของมูลนิธิเพื่อนเสรี
ทำให้ผมฉุกคิดถึงเรื่องการทำบุญทำทาน กรณีทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย และถูกราชบัณฑิต หรือพระธรรมปิฎก ตำหนิว่า เป็นเรื่องงมงาย หลอกลวงพุทธบริษัทผู้โง่งมแล้ว
ก็เชื่อว่าพระทุกรูป และวัดทุกวัด คงเดินทางถึงจุดเสื่อมทรามกันทั่วประเทศแล้ว
เพราะในความเป็นจริง กิจกรรมในพระศาสนา ยังต้องอาศัยการเรี่ยไรทรัพย์สินจากผู้มีจิตศรัทธากันทุกวัด
เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า สังคมสงฆ์บ้านเรา ยังขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และยังตกอยู่ในภาวะปากกัดตีนถีบ
ขณะที่รัฐบาลเองจัดสรรงบประมาณปี 2543 ให้กับวัดทั่วประเทศเพียง 3 พันกว่าล้านบาท บวกลบคูณหารแล้ว คงไม่เพียงพอแน่
พระธรรมปิฎกก็ตาม หรือหลวงพี่พยอมก็ดี ท่านออกมาเคลื่อนไหวชี้ผิดชี้ถูก กางตำรากางพระไตรปิฎก หมายมั่นเอาผิดวัดพระธรรมกาย จากตำรา จากพระธรรมวินัยบางส่วน บางมุม เพื่ออะไรกัน
ในขณะที่ตัวของผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเอง ก็ไม่อาจปฏิเสธลาภสักการะที่ได้มากจากสาธุชนคนพุทธได้
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอำนวยความสะดวก เครื่องปรับอากาศ ยานพาหนะ
ถ้ายกพระธรรมวินัยมาปรับอาบัติโจทก์ภิกษุอื่นแล้ว
พระผู้โจทก์อาบัติชั่วหยาบแก่ภิกษุอื่น ก็ควรที่จะมีข้อวัตรที่เคร่งครัด และเป็นแบบอย่างถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยทุกข้อ
ไม่ใช่หยิบเอาเฉพาะจุดอ่อนของผู้อื่นมาจับผิดกัน ในขณะที่ตัวท่านเองก็ไม่ได้ขาวสะอาดบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตามหลักพระธรรมวินัย
เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ พระพยอม กัลยาโณ แห่งวัดสวนแก้ว ออกมากล่าวอาบัติชั่วหยาบพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เรียกท่านเป็นนายชัยบูลย์ อาบัตินั้นก็ตกอยู่กับท่านแล้ว
ตกอย่างไร ราชทินนามสมณศักดิ์ ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านถือวิสาสะดีอะไรมาเรียกนายนั้นนายนี้
พระภิกษุต้องงามทั้งกาย วาจา ใจ จึงเรียกได้ว่าเนื้อนาบุญ
ที่ผ่านมา ท่านเต้นตามกระแสสังคมโลกเกินงามไปแล้ว
ยิ่ง พล.ต.ท.เสรี เตมียเวส ออกมาพูดว่า มูลนิธิเพื่อนเสรี บริจาคเงินให้พระพยอมจำนวน 2.5 ล้านบาท เมื่อปีที่ผ่านมา และท่านก็แสดงความดีอกดีใจ ชนิดเก็บอาการไม่อยู่นั้น
ก็แสดงให้พุทธศาสนิกชนทั่วไปเห็นแล้วว่า ท่านมีพฤติกรรม มีข้อวัตรดีงามอย่างไร โดยเฉพาะบทบาทแห่งความดีอกดีใจ ต่อการรับลาภสักการะของท่าน
และออกมาพูดจาตำหนิพระรูปอื่นว่า ติดยึดต่อทรัพย์สิน บ้าคลั่งในการบริจาคบอกบุญ บอกทาน
พฤติกรรมที่สวนทางชนิดหน้ามือเป็นหลังมือของท่าน สังคมกำลังจับตามองด้วยความสงสัยยิ่ง
ที่ผ่านมา พระพยอมด่าชาวพุทธที่มีศรัทธาต่อวัดพระธรรมกายว่า เป็นบุคคลผู้โง่งม ถูกต้มตุ๋น ไร้สติปัญญา
คำพูดที่ว่านี้ หมายถึง พล.ต.ท.เสรี เตมียเวส ด้วยหรือไม่ ที่ผลักดันบริจาคเงินมูลนิธิเพื่อนเสรี ให้พระพยอมไปถึง 2.5 ล้านบาท
ท่านคงไม่ว่านายตำรวจผู้นี้เป็นบุคคลที่โง่งมเป็นแน่
กลับกัน ถ้านายตำรวจผู้นี้นำเงินไปทำบุญที่วัดพระธรรมกาย ท่านคงออกมาตำหนิติเตียนว่า เป็นถึงนายพล ทำไมไม่ใช้ปัญญานำหน้าศรัทธากระมัง
สังคมไทยพังพินาศเพราะพฤติกรรมของคนในสังคม เจริญตามแบบอย่าง ทำนองที่กล่าวมา อย่าให้สังคมสงฆ์เหมือนกับ ภาพการของภาคการเมืองเลยครับ
ภาคการเมืองระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล เขามีวิวาทะกันอย่างนี้
ลูกน้องของท่านชาวลิต ยงใจยุทธ กล่าวหารัฐบาลชวน หลีกภัย ว่า .
มีคุณสมบัติพิเศษที่ว่า "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ชาวบ้าน" จนถึงขนาดนี้ ผมยังไม่อยากจะเชื่อว่า สังคมสงฆ์บ้านเรา มีอุดมคติเจริญรอยตามนักการเมือง ที่เขาพากันก่นด่ากัน
โซตัส