ปีที่ 2 ฉบับที่ 698 ประจำวันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2542

วิวาทะ

มองต่างมุมพระธรรมปิฎกกรณีวัดพระธรรมกาย (9)

วิจารณ์ต่อ พระธรรมปิฎกเน้นหนักให้พุทธบริษัทมองแบบ "โยนิโสมนสิการ" คือมองความเป็นไปได้อย่างอื่น ในสถานการณ์ที่ปรากฏ ไม่ใช่มองแต่ผิวเผิน หนังสือกรณีธรรมกาย ฉบับสมบูรณ์ ของ พระธรรมปิฎก เล่มล่าสุด นำมุมมองเกี่ยวกับความเชื่อ โดยเฉพาะหน้าที่ 171 "ประชาธิปไตย จะให้ศรัทธามากลากไป หรือให้สิกขามานำไป"

นำเป็นแง่มุมมองที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ท่านเจ้าคุณถาม-ตอบว่า

ตามหลักประชาธิปไตย เราถือเสียงมาก คือตัดสินกันด้วยเสียงข้างมาก เมื่อคนไปมาก หรือคนนิยมมาก ก็ต้องถูกต้องดีไม่ใช่หรือ?

ท่านเจ้าคุณเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า... จะให้หลัก จำไว้เลยว่า "เสียงมากตัดสินความต้องการได้ แต่ตัดสินความจริงไม่ได้"

ลองเอาไปคิดดู แล้วจะพิจารณาอะไรรอบคอบขึ้น ถอยหลังไปแค่สัก 500 ปี คนแทบทั้งโลก ไม่รู้กี่ล้านคน บอกว่า ดวงอาทิตย์หมุนรอบ โลก มีนายโคเปอร์นิคสคนเดียว มาบอกว่า ไม่ใช่ ที่จริงโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ก็อีกเป็นร้อยๆ ปี แล้วใครถูก กลายเป็นคนเดียวที่ว่า โลกหมุน รอบ ดวงอาทิตย์ถูกต้องไหม

อีกเรื่อง สมัยก่อนคนทั้งโลก เชื่อว่าโลกแบน ใครคนหนึ่งมาพูดว่า โลกกลม ก็ไม่มีใครเห็นด้วย

เรื่องความจริงนั้น ต้องใช้ปัญญา จะมามองผิดเผินแค่เห็นปุ๊บปั๊บไม่ได้ และจะเอาความต้องการของเขา เอาความอยาก เอาความปรารถนา ของตัวไปตัดสินก็ไม่ได้

ประชาธิปไตยที่ตัดสินด้วยเสียงข้างมากนั้น ก็คือเขาดูความต้องการของประชาชน ว่าคนส่วนมากจะเอาอย่างไร แต่ถ้าขืนปล่อยให้มนุษย์ เอาความต้องการดิบๆ ไม่นานก็คงวิบัติ

เขาจึงต้องให้มีการศึกษา เพื่อจะได้ให้คนส่วนมากนั้น มีปัญญารู้ว่า อะไรจริง อะไรดี ที่ควรจะเอา เพื่อให้ความต้องการของคน มาตรงกับ ธรรม คือจะได้เลือกเอาสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม เป็นประโยชน์ที่แท้จริง

เพราะเหตุนี้แหละ ประชาธิปไตยจึงได้เน้นการศึกษากันนัก จนพูดได้ว่าถ้าไม่มีการศึกษา ก็ไม่มีประชาธิปไตย

จึงต้องระวัง ไม่ให้มีสิ่งที่จะเป็นศัตรูของการศึกษา เช่น ความลุ่มหลง หมกมุ่น การอย่กันจูงกันเพียงด้วยความเชื่อ

ความเบื้องต้นปรากฏอยู่ในหนังสือกรณีธรรมกายของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก

ผมพิจารณาแบบโยนิโสมนสิการแล้ว ยิ่งทำให้เพิ่มน้ำหนักในด้านความคิดเป็นอย่างอื่นยิ่งๆ ขึ้น โดยเฉพาะการยกยอดเรื่อง โลกหมุนตาม ดวงอาทิตย์ และโลกแบน ที่อ้างมานั้น

เปรียบเทียบให้ชัดลงไปที่กรณีวัดพระธรรมกาย ท่านเจ้าคุณคงไม่ปฏิเสธ หากนำจำนวนผู้คนที่ศรัทธาเข้าวัดแห่งนี้ กับจำนวนผู้ต่อต้าน ตามกระแสสื่อมวลชน ซึ่งถือเป็นคนหมู่มาก

คนที่ศรัทธาวัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ คิดจากชาวพุทธทั่วประเทศแล้ว มีไม่ถึงร้อยละ 3 ด้วยซ้ำไป ขณะที่คนเกลียดวัด แห่งนี้ มีจำนวนประมาณ ร้อยละ 90

ก็ย้อนกลับมาถึงเรื่องโลกกลม โลกแบน อะไรทำนองนั้น วัดพระธรรมกายกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่?

สื่อมวลชนประเคนคุก ตาราง ถวายสีกาให้เจ้าอาวาส พุ่งเป้าไปที่การคบชู้สู่ชาย ระหว่างสมณเพศกับสีกา เป็นอาบัติชั่วหยาบ ร้ายแรงถึง ขั้นประหารชีวิต (ปาราชิก)

สังคมหมู่มากก็เฮโลลากตามกันไป โดยที่ไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณา คำกล่าวหาดังกล่าวมีที่ไปที่มาอย่างไร เกิดจากปาก หรือความคิดของ ใครง่ายๆ เช่น เรื่องการถือสัญชาติอเมริกัน (กรีนการ์ด) 6-7 สีกา และการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง

เป็นความผิดทั้งทางโลก และทางธรรม วัดพระธรรมกายปล่อยให้สังคมตรวจสอบล่วงเลยมาถึง 6 เดือนเต็ม ก็ไม่ปรากฏคำกล่าวหาดังกล่าว จะมีข้อมูลหลักฐานใดให้ดำเนินการได้

ผมจึงเห็นด้วยกับท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกเอามากๆ ทั้งเรื่องการมองอย่าง "โยนิโสมนสิการ" และต่อต้านระบบเผด็จการณ์ พวกมากลาก ไป ไร้ปัญญาแห่งตนที่จะนำไปคิด หรือตัดสินผิดถูกชั่วดี

นับเป็นเรื่องบัดซบ ตํ่าช้าที่อุบัติขึ้นในสังคมไทย ท่ามกลางความมืดบอดที่ว่า "ยุคคนกราบหมา ฆราวาสด่าพระ"

ผู้ที่ครองเพศบรรพชิต มีความรอบรู้สูงส่งอย่างท่าน หยิบยกธรรมะให้พุทธศาสนิกชน มาดำเนินชีวิตเป็นขั้นเป็นตอน จัดระเบียบ ทางความ คิดเป็นหนึ่ง แต่กลับหยิบยกธรรมะ มาประหัตประหาร ในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และมองข้ามความดีงามของ บุคคลอื่นไปอย่างน่าใจหาย

กรณีโลกกลมโลกแบนนี้ยิ่งชัดเจน ท่านพูดเปรียบเทียบกับวัดพระธรรมกาย แต่ท่านก็กำลังตกเป็นเครื่องมือของสื่อมวลชน ซึ่งถือเป็นคน กลุ่มมาก ที่แสวงหาผลประโยชน์ จากการขายข่าว การดำเนินธุรกิจสิ่งพิมพ์ไปอย่างน่าเศร้าสลดใจยิ่ง

หากท่านเจ้าคุณคิดอย่างโยนิโสมนสิการแล้ว ท่านคงไม่ไปคบหากับสื่อมวลชนที่มีจิตอคติ ปฏิบัติการอย่างไร้คุณธรรม ต่อวัดพระธรรมกาย เช่นนี้

ท่านได้ชื่อเป็นปราชญ์แห่งพุทธ ย่อมมีสติปัญญาเพียงพอที่จะนำความสงบ และความร่มเย็น กลับมาสู่ในบวรพระพุทธศาสนาได้ ขอเพียงแต่ พิจารณาด้วยเหตุผลอย่างเที่ยงธรรม ไร้อคติเอนเอียง พิจารณาทั้งผู้ที่ถูกกล่าวหา และผู้กล่าวหา

จะได้คำตอบที่ถูกต้องและชัดเจนที่สุดว่า...

อันพวกมากหรือสื่อมวลชนที่ท่านเข้าไปร่วมกิจกรรมปกป้องพระพุทธศาสนา และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆ ปริมหาณายก นั้น แท้จริงแล้วองค์กร หรือสำนักพิมพ์ที่ท่านร่วมดำเนินกิจกรรมอยู่นั้น มีความจริงใจ และจริงจังต่อสถาบันพระศาสนา และพระสังฆราช เพียงใด

หากจริงจังแล้ว บุคคลที่ท่านรู้จักมักคุ้นอย่างราชบัณฑิต เสฐียรพงษ์ วรรณปก คงไม่กล้าแม้แต่ที่จะคิดเรื่องต่ำทรามชั่วหยาบ บังอาจปลด สมเด็จพระสังฆราชฯ จากตำแหน่งประมุขสงฆ์ เพียงเพื่อเป็นแรงกดดันให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย "สึก"

พิจารณาอย่างนี้แล้ว คงพอรู้ว่า ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์นั้น หลีกเลี่ยงไม่พบคำว่า "พาณิชย์" มาดำเนินกิจกรรม เพื่อความอยู่รอดของสำนัก

ผมย้ำท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกอีกครั้งว่า ธุรกิจคือธุรกิจ ศาสนาคือศาสนา มองลงไปกับสิ่งที่ท่านเห็นดีเห็นงามเป็นอย่างอื่นบ้าง

อย่าด่วนสรุปอะไรแต่เพียงผิวเผิน แม้แต่พระลิขิตจะออกมาทำนองนั้น ก็ต้องนำหลักกฎหมาย และพระธรรมวินัยมาพิจารณา ท่านเจ้าคุณ ย่อมซาบซึ้งถึงพระเมตตาของพระสังฆราชฯ และเส้นทางของ "ห้องกระจก" ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร?

ตรงนี้ต่างหาก คือแสงนำทางไปสู่การแก้ปัญหา ไม่ใช่ตัดสินตามระบอบพวกมากลากไป จะขึ้นสวรรค์ หรือลงนรกกัน ก็คราวนี้แหละ พระคุณเจ้า...

ความจริงตั้งใจว่าจะวิจารณ์แค่ 3 วันก็คงจบ แต่ผมนำความเห็นเรื่อง "โยนิโสมนสิการ" มาขบคิดจึงลากมาถึง 9 วัน และขอกราบนมัสการ ท่านเจ้าคุณมาด้วยความเคารพ หากข้อเขียนของกระผมเป็นการลบหลู่ ก็ให้ท่านเจ้าคุคณอโหสิกรรมกระผมด้วยเถิด

โซตัส

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา]

1