ปีที่ 2 ฉบับที่ 697 ประจำวันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2542
วิวาทะ
มองต่างมุมพระธรรมปิฎกกรณีวัดพระธรรมกาย (8)
วิจารณ์ถึงภาคเบ็ดเตล็ด ถาม-ตอบของพระธรรมปิฎกกรณีธรรมกาย มีคำถาม-คำตอบที่พิจารณาอีกข้อหนึ่งคือ กรณีชวนคนมาทำความดี มากๆ โดยเฉพาะที่วัดพระธรรมกาย ไม่เป็นเรื่องดีหรือ?
พระธรรมปิฎกเห็นว่า ในขั้นศีลธรรมทั่วไปนี้ ชาววัดพระธรรมกายได้รับคำชมมากทีเดียว เช่น สุภาพ เรีบร้อย เป็นระเบียบ รักษาศีล เลิกอบายมุขได้ เป็นต้น ในส่วนนี้ใครๆ ก็อนุโมทนา
ท่านเจ้าคุณเพิ่งระบุถึงความดีของวัดพระธรรมกายชัดเจนก็ตรงนี้เอง จากหนังสือทั่งเล่มที่มีความหนาถึง 192 หน้า
แต่วัดพระธรรมกาย ยังไม่ดีจริงในสายตาของท่านเจ้าคุณ....
เพราะท่านอ้างว่า แต่ก็มีเสียงออกมามาก เช่น เรื่องที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัว ซึ่งโดยมากเกิดจากการบริจาคเงิน แบบเอาแต่ใจ ตัวคนเดียว แล้วทำให้ครอบครัวเดือนร้อน เรียกว่าครอบครัวไม่พัฒนาไปด้วยกัน ทำให้ปัญหาเรื่องวัดพระธรรมกายเป็นเรื่องซับซ้อน ซึ่งต้อง พิจารณาหลายชั้น
ถาม : เมืองไทยทุกวันนี้ ให้คนทำตามศีลธรรมขั้นต้นๆ ได้ ก็ดีเยอะแล้ว
ท่านเจ้าคุณตอบว่า ดีน่ะดีแน่ แต่ก็ต้องไม่ประมาท จะเทียบให้ฟัง สมัยก่อนมีโรงงานฝิ่น คนนอนสูบฝิ่นกันไม่น้อย เพิ่งมาเลิกสมัยจอมพล สฤษดิ์ นายคนหนึ่งเป็นคนหุนหัน ใจร้อน บุ่มบ่าม มีเรื่องกระทบกระทั่งง่าย ต่อมากลับเปลี่ยนไปตรงข้าม เขากลายเป็นคนใจเย็น ไม่ฉุนเฉียว มีคนพูดว่า ตั้งแต่นายคนนี้สูบฝิ่นนี่ เขาเปลี่ยนเป็นคนละคน ใจเย็น สุขุม รอบคอบ ดีขึ้นมาก
อย่างนี้เราจะว่า การสูบฝิ่นนี้ดีเป็นประโยชน์มาก ควรจะส่งเสริมให้คนสูบฝิ่นกันให้ทั่วอย่างนั้นหรือ คงไม่ใช่
ท่านเจ้าคุณออกตัวว่า ที่ว่านี้ ไม่ใช่ว่าวัดพระธรรมกาย แต่เป็นการพูดให้รู้จักมองอะไรหลายๆ แง่ คือแยกเหตุปัจจัยให้ดี รู้จักใช้ โยนิโส มนสิการ แบบที่มองความเป็นไปได้อย่างอื่น ในสถานการณ์ที่ปรากฏเป็นอย่างเดียวกัน
พระพุทธศาสนาจึงสอนไม่ให้ประมาท ไม่ใช่ตื่นไปกับภาพภายนอกที่ผิวเผิน
วัดพระธรรมกาย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คน แต่อยู่ที่วัดมีคำสอนผิดเพี้ยน ถ้าแก้ปัญหาวัดได้ คนไปวัดมากๆ ก็จะได้ประโยชน์มาก แต่ถ้าวัดให้ อะไรที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งคนไปวัดมาก ก็ยิ่งมีโทษมาก
ในความเห็นของผมวิเคราะห์งานเขียนของพระธรรมปิฎกมานานกว่าสัปดาห์ เห็นแล้วว่า...
นักปราชญ์แห่งพุทธ ท่านมีแนวคิดที่แยบยลจริงๆ
แนบเนียนหาที่จับได้ยาก แต่ผมก็ยังอยากจะจับ กรณีที่พระคุณเจ้าหยิบยกเรื่องคนสูบฝิ่นกลับตัวเป็นคนดีนั้น
ท่านเจ้าคุณมีมุ่งหมายอย่างไร?
ไม่คิดก็ต้องคิด เพราะหนังสือเล่มนี้ มีจุดประสงค์ถล่มวัดพระธรรมกายให้สิ้นซาก เพราะความเห็นของท่าน ชี้เป้าไปที่เรื่องพระนิพพาน เป็นอนัตตา แต่วัดพระธรรมกายเห็นว่าเป็นอัตตา
ท่านจ้าคุณจะถกเถียงเรื่องนิพพานเพียงอย่างเดียว ผมเข้าใจว่าไม่มีวัน และไม่มีหนทางชนะได้อย่งแน่นอน เพราะคำว่าอัตตา และอนัตตา นั้น ไม่มีพระไตรปิฎกฉบับใดยืนยันแน่ชัดว่า พระนิพพานมีสภาพได้เป็นอะไร
นักปราชญ์แห่งพุทธ ควรหรือที่จะเป็นผู้ชี้นำว่า สภาพของพระนิพพานเป็นอย่างไร
....นิพพานก็คือนิพพาน.....
ส่วนตัวผมเห็นว่าเรื่องนิพพาน "คนพูดไม่รู้ คนรู้ไม่พูด"
เมื่อมีเจตนาเป็นเช่นนี้ การหยิบยกเรื่องคนสูบฝิ่นแล้วกลับตัวเป็นคนดี ก็เท่ากับคนที่เคยสัมมเรเทเมาไปฝึกจิตกับวัดพระธรรมกายแล้ว สามารถเลิกอบายมุขได้อย่างเด็ดเดี่ยว ตัดขาดจากอบายมุขทั้งหลายอย่างอัศจรรย์ใจยิ่ง
ตรงนี้ ผมว่ามันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ยิ่งกว่าเทคโนโลยี ที่ท่านเจ้าคุณยกย่องให้มันเป็นสิ่งอัศจรรย์ของโลกเสียอีก
ท่านเจ้าคุณเองก็มีอคติอยู่มาก มิเช่นนั้นคงไม่หยิบยกเรื่องชั่วร้ายมาพูด ทำให้ไขว้เขว โดยเฉพาะคนสูบฝิ่นแล้วใจเย็น สุขุมเป็นคนดี มันคน ละเรื่องกับการเข้าไปปฏิบัติธรรม ถือศีล นั่งสมาธิ
ผมยืนยันว่า มันคนละเรื่อง และไม่ใช่เรื่องที่มองแต่ผิวแต่เปลือก
กลุ่มคนที่มองแต่ผิวแต่เปลือก คือคนที่ไม่ได้เข้าไปวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะสื่อมวลชน แลพวกแสดงหาทรัพย์จากวัดพระธรรมกาย
ผมพูดได้อย่างนี้ เพราะรู้ และเห็นมาด้วยตนเอง
สื่อมวลชนส่วนมากต่างหาก ที่ท่านเจ้าคุณเอาตัวไปเกลือกกลั้ว มองกันแต่ผิว เปลือก
จึงมีคำถามว่า สำนักสื่อนั้นๆ ได้อะไรจากการแตกแยกในหมู่สงฆ์
และก็ต้องถามด้วยว่า ท่านเจ้าคุณได้อะไรจากการพูดถึงเรื่องพระนิพพานเป็นอนัตตา
นี่แหละ "โยนิโสมนสิการ" แบบที่มองความเป็นไปได้อย่างอื่น ตามที่ท่านเจ้าคุณหยิบยกขึ้นมา เป็นเหตุผลประกอบความคิด ของท่าน เจ้าคุณ
ส่วนเรื่องที่ท่านแย้งว่า ทำให้ครอบครัวแตกแยกนั้น ผมก็ยอมรับว่ามีจริง แต่ต้องดูต้นสายปลายเหตุ โยนิโสมนสิการว่าคนจำนวนเกือบ 2 แสนคน มีปัญหาเรื่องครอบครัวจากการเข้าวัด เฉลี่ยมีกี่เปอร์เซ็นต์
ผมมีความเห็นที่ว่า ศีลเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะศีล 5 แต่คนไทยหรือคนพุทธอีกจำนวนมาก ยังไม่เข้าใจว่า เราต้องถือศีลซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องการถือ แต่เป็นเรื่องของการทำให้มันปกติ
ในเมื่อวัดพระธรรมกาย เขาพยายามทำความรู้สึกนี้ให้กับคนในสังคม ทำไมจึงได้ตั้งข้อรังเกียจเขานักหนา
ถ้าคนไทย 50 % ของประเทศมีศีล 5 แล้ว เราคงไม่เห็นนักการเมืองโกงบ้านกินเมืองมโหฬารเพียงนี้ คดีข่าวฆ่า ปล้น ข่มขืน คงไม่ให้เห็น ดาษดื่นตาเช่นนี้
นี่อะไรท่านเจ้าคุณกลับนำเรื่องการถือศีลไปเปรียบเทียบกับคนสูบฝิ่น
ในฐานะที่พระธรรมปิฎก ได้รับการยกย่องให้เป็นปราชญ์แห่งพุทธ ผมใคร่กราบนมัสการถามท่าน โดยเฉพาะเรื่องร้อนแรงอยู่ ในห้วงเวลา นี้ว่า...
พระภิกษุสงฆ์ถือรองที่ดินที่ได้มาจากการบริจาค อาบัติปาราชิกข้อไหน เพราะผมเปิดพระธรรมวินัยแล้วไม่พบข้อกล่าวหาเรื่องที่ดิน อยู่ใน 4 อาบัติปาราชิก
ผู้ยึดมั่นพระธรรมวินัย ต้องเคารพในพระธรรมวินัย จะถือข้อหนึ่ง ทิ้งข้อหนึ่ง เพื่อให้พระธรรมวินัยปกป้องตนเองนั้น ผมเข้าใจว่า มันบาป อยู่พอสมควร ต้องมองกันด้วย "โยนิโนมนสิการ"....
(วิจารณ์ต่อฉบับหน้า)
โซตัส