ปีที่ 2 ฉบับที่ 693 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2542

หน้า 1

หมิ่นสังฆราชองค์ก่อน

แจ้งตำรวจจับ "พยอม" ใกล้คุก

ธรรมกายแถลงการณ์ สื่อมั่วกระทบความมั่นคง

ลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ทนดูลิเกต่อไปไม่ไหว ฟ้องพระพยอม ข้อหาหมิ่นสังฆราชองค์ก่อน โดยพระจำอวดระบุว่า "ขี้อิจฉา" และ "ตายอนาถ" ถ่ายทอดสดทางทีวีช่อง 11 หลักฐานมัดแน่น มีสิทธิติดคุกหัวโต ด้านวัดธรรมกาย ออกหนังสือชี้แจงจวกสื่อมวลชนแหกตาชาวบ้าน เต้าข่าวหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อว่า วัดวางแผน 6 ยุทธศาสตร์ สร้างความแตกแยกในแผ่นดิน จี้สื่อเปิดเผยแหล่งข่าวว่า ใครเป็นคนพูด ถ้าเมก ขึ้นเอง มีสิทธิ์เจอกันในศาล

ที่กองปราบปรามวันนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. ได้มีกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมประมาณ 20 คน นำโดย นายสำเนา ปั้นสิทธิ์ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 195/12 ซอยสยามธรณี ถนนคู้บอน แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน เป็นตัวแทนกลุ่ม เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ระพีพงษ์ สุพรศรี รองผกก.3.ป. เพื่อขอ กล่าวโทษ พระพิศาลธรรมวาที หรือ พระพยอม กลฺยาโณ ในฐานความผิดหมิ่นประมาท สมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน ซึ่งท่านได้มรณภาพไปแล้ว

โดยพระพยอม ได้ใช้ถ้อยคำจาบจ้วงเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2542 ขณะที่ถูกเชิญไปออกอากาศสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ในตอนหนึ่งของ การ สนทนาว่า "สมเด็จสังฆราชองค์ก่อนนั้น อิจฉา และตายอย่างน่าอนาถที่สุด" ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวได้ออกอากาศไปทั่วประเทศ ทำให้ญาติของพระองค์ รวมทั้งพุทธศาสนิกชนเสียชื่อเสียง

ดังนั้น จึงได้เดินทางมาขอกล่าวโทษพระพยอม ในฐานความผิดตาม ป.วิอาญา มาตราที่ 327 ซึ่งระบุว่า ผู้ใดใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่สาม และคนในครอบครัว น่าจะเป็นเหตุให้ บิดา มารดา คู่สมรส หรือ บุตร ของผู้ตาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง มีโทษจำไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 2 พันบาท หรือทั้งจำและปรับ มาตรา 328 ระบุว่า ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ หรือตัวอักษร ที่ทำให้ปรากฏด้วยวิธีการใด แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียงอย่างอื่น กระทำโดยการกระจายเสียง หรือป่าวประกาศด้วย วิธีการอื่นใด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ภายหลังจากที่ทาง พ.ต.ท.ระพีพงษ์ รับเรื่องแล้ว ได้สอบปากคำ นายสำเนาฯ พร้อมกับนำ วีดีโอเทปที่นายสำเนา อัดเทปรายการดังกล่าว มาเปิดดู ก่อนที่จะได้เสนอให้ทางผู้บังคับบัญชา พิจารณาต่อไป โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2542 เวลาประมาณ 08.00-08.30 น. ได้มีพระพิศาลธรรมวาทีหรือพระพยอม กัลยาโณ ได้มาออกรายการจับตา สถาน การณ์ ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ได้กล่าวพาดพิงถึงท่านเจ้าคุณพิมลธรรม พร้อมกันนั้น ได้พูดใส่ความถึงสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน ซึ่งท่าน ได้มรณภาพไปแล้ว ซึ่งพระองค์ท่านเป็นประมุขของสงฆ์ในขณะนั้น และเป็นที่เคารพยิ่งของพุทธศาสนิกชนชาวไทย หรือประชาชนชาวพุทธ ด้วยวาจาอันจาบจ้วงด้วยถ้อยคำว่า "สมเด็จพระสังฆราชองค์นั้นอิจฉา" กล่าวอย่างนั้นถึง 2 ครั้ง และยิ่งไปกว่านั้น ยังพูดว่า "ตายอย่างน่าอนาถที่สุด" ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวนี้ ได้กล่าวในการออกรายการถ่ายทอดสด ซึ่งมีการเผยแพร่ภาพไปทั่วประเทส ด้วยถ้อยคำพูดที่ทำให้ญาติของพระองค์ รวมทั้ง พุทธศาสนิกชนเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง โดยพระพิศาลธรรมวาที หรือ พระพยอม กัลยาโณ ย่อมรู้ดีว่า สิ่งที่พูดนั้น ย่อมเป็นเหตุให้ บิดา มารดา ญาติ ของผู้ตายเสียชื่อเสียง

ฉะนั้น จึงขอแจ้งความร้องทุกข์ ให้เอาความผิดต่อ พระพิศาลธรรมวาที หรือ พระพยอม กัลยาโณ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตาย ตาม ป.อาญา มาตรา 327, 328 โดยมีภาพบันทึกเทปเป็นหลักฐานสำคัญ

จึงขอแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวน เพื่อให้ดำเนินคดี และเอาความผิดต่อพระพิศาลธรรมวาที หรือพระพยอม กัลยาโณ ในความผิด ฐานดังกล่าวต่อไป

ในวันเดียวกัน มูลนิธิวัดพระธรรมกาย โดยนางสาวชุลีพร ช่วงรังษี เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ มูลนิธิฯ ได้ออกเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริง ในเรื่องที่ถูกสื่อมวลชนกล่าวหาว่า วัดพระธรรมกาย วางแผน 6 ยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างความแตกแยกในสังคม ความว่า

ตามที่สื่อมวลชนบางฉบับ ได้รายงานข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประเมินว่าวัดพระธรรมกายมีแผนวาง 6 ยุทธศาสตร์ สร้างความแตกแยกในสังคมนั้น วัดพระธรรมกายขอปฏิเสธว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง และทำให้วัดพระธรรมกาย ได้รับความ เสียหายเป็นอย่างมาก จึงขอเรียนชี้แจงว่า

1. ตลอด 29 ปีที่ผ่านมา วัดพระธรรมกาย ได้ดำเนินกิจกรรมตามหน้าที่ของวัดอย่างเต็มกำลัง โดยการให้การอบรมกุลบุตร ผู้ประสงค์จะ บรรพชาอุปสมบท ตลอดจนให้การอบรมศีลธรรมแก่ประชาชน เพื่อให้ทุกคนเป็นคนดี ลด ละ เลิก อบายมุข ก่อให้เกิดความสงบสุข แก่สังคม ตลอดมา (ได้ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม จนพระภิกษุสามเณรของวัดพระธรรมกาย สอบบาลีสนามหลวง ได้มากที่สุดในประเทศไทย หลายครั้ง ดังเป็นที่ปรากฏทราบอยู่โดยทั่วกัน) การเสนอข่าวดังกล่าว จึงไม่เป็นธรรมต่อวัดพระธรรมกายเป็นอย่างยิ่ง

2. วัดพระธรรมกาย เคารพและเทิดทูนในสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เสมอมา มีการอบรม และจัดกิจกรรมส่งเสริม ให้ประชาชน สมัครสมานสามัคคี และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ มาโดยตลอด

3. ขณะนี้วัดพระธรรมกายได้ทำหนังสือ ถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงว่า ได้ให้ข่าวดังกล่าวไปจริงหรือไม่ และได้ ทำหนังสือถึงสื่อมวลชนฉบับที่ลงข่าวดังกล่าว สอบถามว่า ผู้ใดเป็นผู้ให้ข่าวอันเป็นเท็จ ก่อให้เกิดการดูหมิ่นเกลียดชังวัดพระธรรมกายเช่นนั้น และขอความกรุณาให้ช่วยแก้ไขข่าวดังกล่าวด้วย

จึงเรียนชี้แจงมาให้ทราบ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน และเพื่อความสามัคคีในหมู่ประชาชนชาวไทย

ด้าน นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีวัดพระธรรมกายว่า เมื่อตัวแทนวัดพระธรรมกาย มายื่น ความจำนงว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังไม่โอนที่ดินให้วัด จนกว่ากระบวนการนิคหกรรมจะเสร็จสิ้น ตนได้มอบหมายให้ นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนา ไปยื่นฟ้องกล่าวหาเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเพิ่มเติม กับเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีว่า เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายมีเจตนาไม่โอนที่ดิน และพิจารณาว่า ในทางกฎหมายอาญาจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง และมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมาย กรมการศาสนาไปพิจารณาด้วย

นอกจากนี้ ยังได้มอบให้ไปกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อให้เริ่มดำเนินการตามกระบวนการนิคหกรรมได้แล้ว โดยไม่ต้อง รอให้มีผู้มายื่นฟ้องกล่าวหาเพิ่มเติม

นายมาณพ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องยื่นฟ้องกล่าวหาเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเพิ่มอีก ในประเด็นการไม่โอนที่ดินให้วัด เนื่องจาก ข้อกล่าว ที่ได้ยื่นฟ้องไปแล้ว ครอบคลุมความผิดด้านพระธรรมวินัยของสงฆ์ในอวหาร 25 แบบแล้ว แต่หลังจากที่พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี รับฟ้องอธิกรณ์ สามารถนำการไม่โอนที่ดินไปมอบให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้เห็นเจตนา ชัดเจนขึ้นได้ สำหรับข้อกล่าวหา ปาราชิกกรณีที่ดินนั้น สิ่งที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จะต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้ยักยอกหลักทรัพย์คือ ที่ดินจำนวน 41 แปลง ที่มีชื่อของเจ้าอาวาสวัด เป็นผู้ซื้อที่ดินเอง เนื่องจากตนมีหลักฐานชัดเจนว่า มีเจตนาเลี่ยงภาษี เข้าข่ายความผิดในอวหาร 25 แบบ

นายมาณพ กล่าวอีกว่า ตามที่วัดพระธรรมกายอ้างว่า ผู้บริจาคที่ดินได้มอบที่ดิน ให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย แต่ในจำนวน 41 แปลง ที่เจ้าอาวาสวัดฯ ได้มา เป็นการซื้อโดยตรงจากเจ้าของที่ดิน ถือเป็นการเลี่ยงเสียภาษี ซึ่งตามปกติผู้บริจาคที่ดิน จะต้องเป็นผู้ซื้อที่ดิน จากเจ้าของ ที่ดิน และเสียภาษีส่วนหนึ่ง ก่อนที่จะมอบให้อดีตเจ้าอาวาสวัดฯ และต้องเสียภาษีอีกส่วนหนึ่ง หากมีการอ้างอีกว่า ผู้บริจาคเป็นผู้มอบเงิน ให้เจ้า อาวาสวัดฯ ไปซื้อที่ดิน ก็ต้องมีการพิสูจน์และแสดงหลักฐานให้ได้ว่า เงินที่นำไปซื้อนั้นเป็นของผู้บริจาคจริง หรือว่า เป็นเงินของใครจากที่ไหน ไปซื้อ ถ้าชี้แจงได้ ข้อกล่าวหานี้ก็พ้นความผิด

กรณีที่ดิน 23 แปลง ที่มอบให้เจ้าอาวาสวัดฯ ผมไม่ติดใจ เพราะได้ทำถูกต้อง คือ ผู้บริจาคที่ดินโอนที่ให้เอง และมีการเสียภาษีถูกต้อง เช่น ของ ดร.ประกอบ จิรกิตติ หรือนายสอง วัชรศรีโรจน์ แต่ข้องใจการซื้อที่ดินของเจ้าอาวาสฯ ใน 41 แปลง เขาบอกว่ามีคนบริจาคให้ แต่ทำไม ต้องซื้อที่ดินเอง มีสัญญาซื้อขาย ทำไมผู้บริจาคไม่ซื้อแล้วนำถวายให้ นี่เป็นเจตนาที่จะไม่เสียภาษี 1 ส่วน เข้าเจตนาโกงภาษีแล้ว ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา กล่าว

นายมาณพ กล่าวอีกว่า ส่วนการฟ้องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในคดีอาญานั้น จะต้องหารือกับอัยการก่อนว่า กรมการศาสนา ถือเป็น ผู้เสียหาย กรณีที่เจ้าอาวาสวัดฯ ไม่ยอมโอนที่ดินให้เป็นของวัด หรือไม่ ตามมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ที่ระบุว่า วัดเป็นนิติบุคคล เจ้าอาวาส วัดฯ เป็นผู้แทนวัด ที่ดูแลทรัพย์สินของวัดให้เป็นไปตามกฎหมาย และกรณีที่เป็นวัดร้าง กรมการศาสนาเป็นเจ้าของทรัพย์สิน แต่ถ้าวัด ยังมีเจ้า อาวาสและมีพระสงฆ์อยู่ กรมการศาสนาน่าจะเป็นเจ้าของได้ส่วนหนึ่ง กรมการศาสนาจะไปฟ้องได้หรือไม่ ต้องหารือกับอัยการก่อน เพื่อตีความ ให้ชัดเจน

รายงานแจ้งด้วยว่า หลักฐานที่นายมาณพ ได้มอบให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเกี่ยวกับเรื่องที่ดินระบุว่า ที่ดินที่กรมที่ดินตรวจสอบพบของ วัดพระธรรมกายมี 10 จังหวัด คือ ปทุมธานี กรุงเทพฯ นนทบุรี พิจิตร เลย ลพบุรี เชียงใหม่ พังงา สุพรรณบุรี และเพชรบูรณ์ แยกเป็น 1.กรรมสิทธิ์ วัด จำนวน 196 ไร่ 9 ตารางวา 2. กรรมสิทธิ์มูลนิธิธรรมกาย จำนวน 2,652 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา 3.กรรมสิทธิ์พระไชยบูลย์ สุทธิผล จำนวน 1,511 ไร่ 3 งาน 8.9 ตารางวา และ 4.กรรมสิทธิ์มูลนิธิธรรมประสิทธิ์ จำนวน 1 ไร่ 69 ตารางวา รวมทั้งสิ้น 4,351 ไร่ ซึ่งนายมาณพ ได้ระบุว่า กรรมสิทธิ์ ในข้อ 2, 3 และ 4 ควรโอนให้เป็นของวัดพระธรรมกาย จึงจะแน่ใจได้ว่า เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา เพราะตราบใดที่กรรมสิทธิ์ที่ดิน ยังเป็น ของส่วนบุคคลหรือมูลนิธิ ก็ยังซื้อขายหรือให้แก่บุคคลใดก็ได้โดยง่าย.

[หน้าหลัก] [หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา]

1