ปีที่ 7 ฉบับที่ 662 ประจำวันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2542

ปุจฉา - วิสัชนา

คนเห็นพระพุทธเจ้า

เรียน บก.พิมพ์ไทย

หลายเดือนที่ผ่านมา วัดพระธรรมกายถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ก็ยังไม่หยุดหย่อน ทั้งๆ ที่มส. ได้มีมติออกไปแล้ว แต่ก็น่าดีใจ ที่เป็นที่พิสูจน์ว่า ข้อกล่าวหานับสิบๆ ข้อนั้น ปัจจุบัน ยังไม่ใช่ความจริง แต่ก็ยังมีผู้ที่ไม่ค่อยรู้ ไปออกรายการ "ตามหาแก่นธรรม" อย่างเมื่อวันก่อน (25 เม.ย.2542) ส่วนเรื่องที่ยังเหลืออยู่ก็มีเพียง

1. เรื่องที่ดิน ซึ่งผมจะไม่กล่าวในที่นี้ เพราะระเบียบมีอยู่แล้วว่า ไปตามระเบียบ น่าจะจบอย่างเหมาะสม

2.เรื่องคำสอน ซึ่งผมรู้สึกเป็นห่วง เพราะเป็นเรื่องสูงมาก สูงทั้งในแง่ความรู้สึกในแง่สังคม และในภูมิธรรม ซึ่งอาจพูดได้ว่า ผู้ที่เป็น พระอรหันต์ขึ้นไปเท่านั้น จึงจะทราบ และพระอรหันต์ไม่ทุกองค์ที่จะอธิบายได้ หากท่านไม่มี "วิชาครู" และเป็นเรื่องล่อแหลม ต่อการทำให้เกิด สังฆเภทเป็นอย่างมาก

ผมลังเลที่จะเขียนมา ทั้งๆ ที่เคยคิดจะเขียนมาเมื่อหลายเดือนก่อน ตั้งแต่มีหนังสือ "กรณีธรรมกาย" ของพระธรรมปิฎก เพราะหนังสือเล่มนี้ แทนที่จะเป็นหนังสือ หรือบทความทางวิชาการที่ดี กลับเป็น หนังสือ "แสดงตน" ของท่านว่า "ไม่มีความเป็นกลาง" อันเป็นคุณสมบัติที่ดี ของนัก วิชาการทุกคน เพราะอะไรผมจึงกล่าวเช่นนั้น ผมจะอธิบายเท่าที่จะพอมีเนื้อที่และเวลา และผมขอไม่ใช้คำทางวิชาการมาก เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อ

    2.1 การกล่าวถึง "มหายาน" โดยยกตัวอย่างพระญี่ปุ่น ในเชิงว่า เพราะเป็นมหายาน พระญี่ปุ่นจึงได้เป็นนั้นฯ ... จะทำให้ผู้อ่าน ที่ไม่มี ความรู้ เข้าใจว่า พระมหายานแย่ขนาดมีลูกมีเมียได้กันหมด อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ทำไมกล่าวถึง พระมหายานในจีน ฯลฯ ด้วย หรือกล่าวถึง มหายาน ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มี จีน ญี่ปุ่น ด้วยเล่า พระมหายาน ไม่มีศีล 227 ข้อ อยู่ในใจเลยหรือ?

    2.2 หากจะสรุปว่า พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ไม่มีเหลืออยู่ ก็น่าจะบอกสาเหตุที่แท้จริง หรือท่านไม่รู้ว่า การเสื่อมถอยของ พระพุทธ ศาสนา ในญี่ปุ่น มีสาเหตุหลักมาจากการเมือง การปกครอง ไม่ใช่เพราะว่าเป็น "มหายาน" จึงเป็นเช่นนั้น เหมือนอย่างการเสื่อมถอยในเนปาล เป็นเพราะ ถูกทางการบังคับสึก และแถมบังคับให้มีเมียด้วย พอถึงรุ่นลูกเท่านั้นก็หมด ไม่เกี่ยวว่า พระภิกษุเหล่านั้น จะเป็นมหายานหรือไม่

การอ้างคำพูดที่ว่า "พระพุทธศาสนาจะไม่เสื่อมเพราะคน เพราะพระพุทธศาสนาเป็นสัจจธรรม" แล้วก็พูดกันอย่างไม่ระมัดระวัง เป็น การสร้างเกราะกำบังให้กับตนเอง เพื่อที่จะพูดว่าอะไรก็ได้ อย่างไม่ต้องใช้วิจารณญาณและความรับผิดชอบ

การที่พระพุทธองค์ตรัสในเชิงว่า ศาสนาของพระองค์จะเสื่อม ตราบใดที่ทุกคนยังประพฤติปฏิบัตินั้น ผมว่า คนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ พอคงทราบว่า นั่นพระองค์กำลังให้แนวทางปฏิบัติตนจากภายใน และผลภายนอกจะเกิดขึ้นมาเอง คือการดำเนินการที่เหมาะสมกับแนวทาง ภายในใจ ซึ่งจะออกมาหลายรูปแบบ รวมทั้งด้านการปกครองสังคมด้วย

ดังนั้น อย่าหลอกตัวเองว่า ศาสนาจะไม่เสื่อมจากเหตุอื่นๆ ด้วยเหมือนกรณี ญี่ปุ่น และ เนปาล ที่มาจากปัจจัยภายนอก เพราะปัจจัยภายนอก มีรากฐานจากภายในของแต่ละคน ในชุมชนนั่นเอง

    2.3 ในหนังสือ "กรณีธรรมกาย" ท่านอาจารย์พยายามชี้ให้ทุกคนยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก ผู้ที่ไม่มีความรู้เลย ย่อมเข้าใจว่า หนังสือเล่มนี้ ก็น่าจะใช้พระไตรปิฎกเป็นหลักเช่นกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่า แท้จริงแล้วบาลีที่ท่านอ้างถึงนั้น มีแห่งเดียวเท่านั้น ที่มาจากพระไตรปิฎก ที่เหลือเป็น ข้ออรรถกถาเป็นส่วนใหญ่

และแถมบาลีส่วนที่มาจากพระไตรปิฎกนั้น ก็เป็นพระไตรปิฎกในชั้นหลังด้วย ท่านไม่ทราบหรือว่า คนส่วนใหญ่ไม่รู้พระไตรปิฎก ไม่ทราบหรือว่า คนเหล่านี้จะเข้าใจผิดว่า หลังสือเล่มนี้อ้างอิงแต่พระไตรปิฎกเท่านั้น

นอกจากนี้ ท่านไม่ทราบหรือว่า ในพระไตรปิฎกแท้ๆ ของเถรวาท ไม่มีแห่งใดที่ระบุว่า นิพพานเป็นอนัตตา หนังสือเล่มนี้ จึงหลุดออกมา จากท่าน และนักวิชาการบางท่านก็เคยในสัมภาษณ์ว่า เป็นบทความทางวิชาการที่ไม่ถือว่า "ดี"

3. การใช้ตรรกศาสตร์ของท่าน ที่ยกตัวเองประโยคว่า "ชีวิตใดเคลื่อนไหว ย้ายที่เองได้ ชีวิตนั้นเป็นสัตว์ ชีวิตที่เป็นสัตว์ทั้งปวงต้องตาย" มาเทียบกับตรรกเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น ไม่ทราบว่า ท่านแน่นในวิชาตรรกศาสตร์เพียงใด

ผมจะอธิบาย แต่ไม่ทราบว่า จะเข้ากันได้หรือไม่ การยกประโยคเป็นโจทย์ในวิชาตรรกศาสตร์ พาอาจารย์ "ตกม้าตาย" กันมาเยอะแล้ว เพราะไม่แน่นจริง

กรณีข้างต้น พูดสั้นๆ ว่า ประโยคที่ท่านยกมา ไม่สมนัยกับประเด็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เป็น 3 สิ่ง ที่เป็นอิสระ 3 เซ็ต แต่ประโยคของท่าน สัตว์ (และพืช) เป็น "สับเซ็ต" ของ "สิ่งมีชีวิต" ซึ่งไม่ใช่เซ็ตที่อิสระกัน

แค่นี้คงพอเข้าใจได้นะครับ ตรรกศาสตร์เป็นวิชาที่เรียนกันสั้นๆ ก็จบ แต่จบเฉพาะหลัก ที่เหลือคือความสามารถในการพิจารณา (หรือ วิจารณญาณที่เที่ยงตรง และเป็นอิสระครับ)

ผมคงพอแค่นี้ก่อน หากพิมพ์ไทยกล้าลง และผมมีเวลา ก็จะพูดถึงประเด็นอื่นๆ ในหนังสือ "กรณีธรรมกาย" นี้มาอีก

ขอแสดงความนับถือ

ผู้อ่อนด้อย

ดูจากภูมิรู้ในการเขียนหนังสือของคุณ "ผู้อ่อนด้อย" แล้ว ชื่อที่ตั้งมา ไม่น่าจะเหมาะสม เพราะแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีปัญญา วัดพระธรรมกายนั้น ได้รับการพิสูจน์ชัดมาเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมาแล้วว่า "ยิ่งตียิ่งโต" ภาษานักมวยเขาเรียกว่า "ตีไม่ยุบ" ครับ

เห็นพระเณรเป็น 100,000 รูป ตั้งใจปฏิบัติศาสนกิจ "ไอ้ทิด" ก็ปลื้มใจ ส่วนข้อหาที่ตั้งกันมาเป็นสิบๆ ข้อหานั้น จนบัดนี้ ยังไม่มีข้อหาไหน เข้าเค้าความจริงแม้แต่น้อย ตอนนี้กำลังดูว่า เขาจะมีข้อหาอะไรออกมาอีก สนุกดีออก

1. เรื่องที่ดินนั้น ไม่ต้องซีเรียสหรอกครับ เพราะถ้าจะบังคับกันจริงๆว่า "ห้ามพระถือครองที่ดินในนามตนเอง" โดนกันทั้งประเทศครับ ไม่ใช่เฉพาะวัดพระธรรมกายเพียงวัดเดียว มีหวังได้โกลาหลกันแทบทุกวัด ไม่รู้ ใครเป็นต้นคิดในเรื่องนี้ ทำให้ยุ่งกันไปหมด

2. เรื่องคำสอนใน "วิชชาธรรมกาย" นั้น เป็นของสูง เพราะเป็นวิชชาที่ทำให้ผู้ปฏิบัติ พบกับพระพุทธเจ้าได้ ซึ่งก็ตรงกับพระไตรปิฎกที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต" ดังนั้น เมื่อคนปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงธรรมแล้ว ย่อมต้องพบกับพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน เพราะพระพุทธเจ้า สอนสิ่งใดสิ่งนั้น เป็นสัจจธรรมเป็นความจริงเสมอครับ

"ไอ้ทิด" ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมผู้ที่อ้างตนว่า เป็นผู้ปกป้องพระพุทธศาสนา ถึงไม่เชื่อพระไตรปิฎก กล่าวหา "คนที่เห็นพระพุทธเจ้า" ว่า ทำให้พระวินัยวิปริตผิดเพี้ยน ใครกันแน่ที่เพี้ยน?

พระนักเรียนปริยัติโดยมาก มักจะรู้เกินธง ตีความไปเองว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นการเปรียบเทียบ แต่ "ไอ้ทิด" เชื่ออยู่เสมอว่า เมื่อเรา ปฏิบัติตนได้ถึงธรรมแล้ว จะได้พบพระพุทธเจ้าจริงๆ ไม่ใช่เรื่องการสอนเปรียบเทียบแต่ประการใด

สำหรับหนังสือเรื่อง "กรณีวัดพระธรรมกาย" นั้น อย่างที่ "ไอ้ทด" ว่าไว้เมื่อวันก่อนนั้น "มันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว" เพราะพระธรรมปิฎก ไปเข้าใจเอาเองว่า "พระนิพพานเป็นอนัตตา" ซึ่งขัดกับพระไตรปิฎก อย่างเป็นตรงกันข้ามเลยทีเดียว

ฉายหนังให้ดูอีกรอบก็ได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา พระนิพพานจึงย่อมไม่เป็น อนัตตาไปได้อย่างแน่นอน เพราะ พระนิพพาน เที่ยงแท้ และเป็นสุขอย่างยิ่ง ในพระนิพพานไม่มีความทุกขื เพราะเป็นความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง

พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสชัดเจนอยู่แล้วว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง" คือพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง แล้วจะเป็นอนัตตา เป็นทุกข์ได้อย่างไร เมื่อหนังสือนี้ผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว เราก็ไม่ควรให้าความสนใจครับ ปวดหัวเปล่าๆ

อย่างที่ "คุณคนอ่อนด้อย" บอกว่า หนังสือกรณีธรรมกาย เป็นหนังสือแสดงตนของท่านว่า ไม่มีความเป็นกลางนั้น น่าจะตรงประเด็น เลยทีเดียว เพราะท่านตีความตามความเข้าใจของตนเอง

ถ้า "คุณคนอ่อนด้อย" มีข้อคิดเห็นในเรื่องนี้ จะเขียนมาแสดงความคิดเห็น "ไอ้ทิด" ยินดีนำมาตีพิมพ์โดยไม่ตัดทอนข้อความครับ ส่วนเรื่อง การสอนแบบมหายานนั้น ตามที่ "คุณคนอ่อนด้อย" เขียนมานั้น เป็นความจริงทั้งหมด

พระในมหายานก็มีทั้งดีทั้งไม่ดีปะปนกันไป เหมือนต้นไม้ใหญ่ ก็ย่อมจะต้องมีใบเน่า พระอรหันต์ก็มี พระโพธิสัตว์ก็มี ผู้ที่มีพฤติกรรม แบบพระเทวทัต ก็ย่อมจะต้องมีเช่นเดียวกัน

อย่าไปตีความเหมาว่า "มหายานไม่ดี" เลยครับ พระสูตรดีๆ ของมหายานก็มีอยู่มาก ในเมืองไทยก็เห็นสอนกันแพร่หลาย ไม่มีอะไรผิด หรอกครับ ถ้าเรารู้จักเลือกใช้

สำหรับเรื่องพระไตรปิฎกนั้น "ไอ้ทิด" มีความรู้ในเรื่องนี้น้อยมาก เพราะไม่ถนัดในเรื่องแปลบาลี ได้แต่อ่านภาคภาษาไทย ก็เห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว และก็เชื่อตามนั้น เพราะเป็นเหตุเป็นผลในตัวเอง ไม่ต้องตีความอะไรให้เลอะเทอะ "ไอ้ทิด" ชอบอ่านแบบดุ้นๆ เข้าใจง่ายดีตรงดี

ส่วนใครจะตีความพระไตรปิฎกนั้น มั่นใจแค่ไหนว่า ตนเองไม่มีความเห็นผิดบางอย่างอยู่ในใจ?

เรื่องตรรกศาสตร์นั้น คงไม่ออกความคิดเห็นครับ เพราะเคยเรียนมาตั้งแต่สมัยอยู่ ม.ศ.5 ประมาณ ปี 2522 ผ่านมา 20 ปีแล้ว ความรู้คืน ครูไปหมด จำไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้า "คุณคนอ่อนด้อย" เก่งในเรื่องนี้ ก็ช่วยบอกท่านพระธรรมปิฎกด้วยก็ดี

เรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล "พิมพ์ไทย" กล้าลงเสมอ แต่มีบางเรื่องที่ผู้อ่านส่งมา แรงเหลือเกิน กลัวเกิดสงครามศาสนาขึ้นในประเทศไทย เราไม่อยากเห็นใคร ต้องฆ่ากันตายเพราะความเชื่อที่แตกต่างกัน เหมือนในประเทศอื่น ก็เลยไม่นำมาลงครับ ต้องขออภัยด้วย

ไอ้ทิด

[หน้าหลัก] [ปุจฉา] [สหัสวรรษ]

1