ปีที่ 2 ฉบับที่ 625 ประจำวันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2542
ปุจฉา
ยุบหนอ-พองหนอ
เรียน คุณ "ไอ้ทิด"
ผมติดตาม "พิมพ์ไทย" มาเป็นเวลา 2-3 เดือนแล้ว อยากถามปัญหาต่างๆ ดังนี้
1. หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านได้สั่งสมคุณความดีมาตลอดชีวิต จนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย อยากทราบว่า ลูกศิษย์ลูกหา ของหลวงพ่อ ที่ได้ไป ตั้งสำนักปฏิบัติธรรม ตามที่ต่างๆ มีที่ไหนบ้าง ตอบเฉพาะที่รู้ก็ได้ครับ มีโอกาสผมจะไปแวะเยี่ยมเยียนบ้าง
2. ผมได้เคยอ่านข้อเขียน "ราชบัณฑิต" ท่านมักจะอ้างอยู่เป็นประจำว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ ตอนบั้นปลายชีวิต พบว่าธรรมกายตีบตัน จึงไป เรียนวิปัสสนากับพระภิกษุรูปหนึ่ง เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ ประการใดครับ ถ้า "ไอ้ทิด" ทราบ ช่วยเล่าสู่กันฟังหน่อย
3. อ่านข้อเขียนของ อ.เจริญ รู้สึกชอบ แม้จะยากพอสมควร จึงอยากฝาก "ไอ้ทิด" เรียนถามหน่อยว่า ที่อาจารย์บอกว่า พระพุทธเจ้า ชำนาญ สมาธิไม่เหมือนกัน องค์ของเรา ชำนาญเรื่อง "ลม" เป็นหลัก อยากทราบว่า พระพุทธเจ้าในอดีต ที่ท่านชำนาญเรื่องอื่นๆ มีอยู่ในตำราที่ไหนบ้างครับ อยากอ่านบ้าง อ.ช่วยแนะหนังสือก็ได้ครับ
4. ชอบแนวคิดของ อ.เจริญ ที่มองการทำงานของวัดพระธรรมกายว่า เป็นสไตล์รื้อสัตว์ขนสัตว์ไปพระนิพพาน ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับ แนวทางที่ต้องรีบหลุดรีบพ้นโดยเร็ว เหมือนหลายๆ สำนัก ทำให้ทัศนคติมุมมองต่างกัน แต่ไม่ว่าแบบใด ก็จรรโลงพระพุทธศาสนาเหมือนกัน
5. อยากให้ "ไอ้ทิด" ช่วยนำคำพูดของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎก มาเล่าให้ฟังบ้างว่า การกล่าวเท็จ โดยเจตนาให้ร้ายผู้บริสุทธิ์ จะมีโทษ อย่างไรบ้าง และถ้าไม่มีเจตนาแต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะมีโทษหรือไม่อย่างไร จะได้เตือนใจตัวเองด้วย เพราะอาจจะเผลอพลาดพลั้งไป ล่วงเกิน พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบได้ จะได้ระวังตัวครับ
ขอแสดงความนับถือ
เกียรติคุณ เพิ่มอรุณ
1. มีเยอะนับร้อยๆ แห่งครับ เท่าที่ทราบก็มีที่ วัดเขาพระ จ.เพชรบุรี วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี และวัดเขาผา งาม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ครับ
2. เป็นเรื่องจริงครับ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านเรียนวิปัสสนาสายยุบหนอพองหนอ กับปรมาจารย์วัดมหาธาตุฯ และดูเหมือนจะเป็นพระ ที่มีพรรษาน้อยกว่าท่านด้วย
แต่ไม่ใช่เป็นเพราะวิชชาธรรมกายตีบตันหรอกครับ เพียงแต่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ท่านสงสัยในวิชายุบหนอ-พองหนอ ของวัดมหาธาตุฯ ที่นำเข้ามาจากประเทศพม่า เพราะผู้คนนั้นแตกตื่นกันเป็นโกลาหล โดยเฉพาะข่าวที่สามเณรฝึกยุบหนอ-พองหนอ เพียงไม่กี่วัน สามารถเข้า ผลสมาบัติได้ ซึ่งผู้ที่สามารถเข้าผลสมาบัติได้นั้น ต้องมีภูมิจิต ตั้งแต่ระดับพระโสดาบันขึ้นไป
ท่านจึงลองขอฝึกดูบ้าง
โดยหลวงพ่อท่านได้มอบหมายให้
พระทิพย์ปริญญา มาติดต่อกับ
พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม
ขอให้ พระอุดมวิชาญาณเถระ (พระมหาโชดก
ญาณสิทฺธิ ป.ธ.9)
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน
แก่ท่านที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
เนื่องจากท่านได้อธิษฐานไว้ว่า
ท่านจะไม่ไปค้างคืนที่วัดอื่น
ดังนั้นท่านจึงร้องขอให้ไปสอนที่วัด
หลวงพ่อท่านก็ได้จัดแจกันใหญ่ไว้
1 คู่ ปูอาสนะ ไว้ 2 ที่
เมื่อไหวพระประธานเสร็จแล้ว
ท่านได้ถวายสักการะบูชา
แด่พระอุดมวิชาญาณเถระ
ครั้นแล้วท่านก็กราบ 3 ครั้ง ถึงจะห้ามไม่ให้กราบท่านก็ไม่ฟัง ตกลงก็ต่างฝ่ายต่างกราบซึ่งกันและกัน
ข้อนี้เป็นวิสัยของนักปราชญ์ คือท่านผู้ฉลาดรู้ในหลักธรรม ย่อมจะไม่มีทิฏฐิมานะ การที่จะเรียนเอาวิชาความรู้จากผู้อื่น ถึงแม้ว่า จะเด็กกว่า ก็ตาม ก็ต้องให้ความเคารพ ถือเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องแท้ในทางพระพุทธศาสนา
หลังจากหลวงพ่อได้เรียนจนจบกระบวนความ ตามสายยุบหนอ-พองหนอแล้ว หลวงพ่อได้รับรองว่า วิชาของวัดมหาธาตุฯ ถูกต้อง ตามหลัก สติปัฏฐาน 4 ทุกประการ และได้ยืนยันโดยถวายรูป พร้อมถ้อยคำยืนยัน ส่งไปยังวัดมหาธาตุฯ ซึ่งเชื่อว่า รูปดังกล่าว ยังคงอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ครับ
3. ใช่ครับที่พระพุทธเจ้าของเราท่านทรงเจริญอานาปานสติ เป็นหลักใหญ่ มาตั้งแต่สมัยเป็นพระโพธิสัตว์ เรื่องนี้มีปรากฏ ในมหาสติปัฏฐาน สูตร ส่วนองค์อื่นๆ นั้น "ไอ้ทิด" ไม่มั่นใจว่า ทรงเจริญกองไหนเป็นหลัก อาจจะเจริญกรรมฐานกองอื่นก็เป็นได้ครับ เพราะพระโพธิสัตว์ ทุกพระองค์อาจจะเริ่มทำกรรมฐานไม่เหมือนกัน สมถกรรมฐานมีถึง 40 บท แต่ละพระองค์ทรงเจริญแต่ละบทมากน้อยไม่เท่ากันเป็นแน่
แต่มีอยู่ เรื่องหนึ่งในพระสุตตันตปิฎก ทุททกนิกาย สรภังคเถรคาถา ข้อ 365 พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง พ.ศ. 2514 เล่มที่ 26 หน้า 334 ความว่า
เมื่อก่อนเราผู้ชื่อว่า สรภังคะ ไม่เคยได้เห็นโรค คืออุปาทานขันธ์ 5 ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้น โรคนั้นอันเราผู้ทำตามพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ได้เห็นแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันโธ พระโกนาคมน์ พระกัสสป ได้เสด็จไปแล้วโดยทางใดแล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า โคดม ก็ได้เสด็จไปแล้วโดยทางนั้น
พระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์นี้ ทรงปราศจากตัณหา ไม่ทรงถือมั่น ทรงหยั่งถึงความสิ้นกิเลส เสด็จอุบัติแท้โดยธรรมกายผู้คงที่ ทรงเอ็นดู อนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย ได้ทรงแสดงธรรม คือ อริยสัจ 4 อันได้แก่ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางเป็นที่สิ้นทุกข์ เป็นทางไม่เป็นไปแห่งทุกข์ อันไม่มีที่สุดในสงสาร เพราะกายนี้แตก และเพราะความสิ้นชีวิตนี้ การเกิดในภพใหม่อย่างอื่นมิได้มี เราเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว จากสรรพกิเลสและภพทั้งปวง
4. ท่านอาจารย์เจริญ ท่านดูจากวิธีการบำเพ็ญบารมีของหลวงพ่อธัมมชโยมากกว่า ท่านคงเห็นอะไรดีๆ จึงตีความไปอย่างนั้น
5. ผมไม่อยากพูดถึงบทลงโทษ แต่อยากจะบอกว่า การกล่าวหาผู้บริสุทธิ์ตั้งแต่ผู้ทรงฌานขึ้นไป ไม่ต้องถึงขนาดพระอริยเจ้าหรอกครับ ผู้ที่กระทำกรรมเช่นนั้น มีโทษลงนรกสถานเดียว
สมองฝ่อ
เรียนบรรณาธิการ พิมพ์ไทย
ผมดูข่าวหมอประเวศ วสี เมื่อค่ำวันที่ 9 มี.ค.42 กล่าวถึงพระในวัดพระธรรมกายว่า อยู่ในสัตวภูมิ เพราะชอบเรี่ยไรเงิน ก็คงจะแบกบาป จมลึกลงไป เรื่อยๆ เพราะการกล่าวตู่ของท่านอันเต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิตลอดมา
จริงอยู่ท่านอาจจะมีความรู้แขนงอื่น หรืออาจรู้ธรรมะในระดับหนึ่ง แต่การพูดจากเหมือนไม่มีธรรมะที่จะเอาชนะใจตน ซึ่งถ้าพูดอีก จะมากความ เพราะโลกนี้ย่อมมีสรรเสริญนินทาว่าร้าย ดังนั้น ใครจะด่าว่าร้ายอย่างไร ให้ถือขันติอดทน อดกลั้น กันนะครับ พี่น้องกัลยาณมิตร ทั้งหลาย
ลองคิดดูเถิด พระพุทธรูปที่เพิ่งออกจากเบ้าหลอม ถูกทั้งตะไบกระดาษทรายเซาะแต่งขัดถูอย่างสุดแรง แต่พระพุทธรูปนั้น กลับงดงาม มีคุณค่าสูงส่ง ควรแก่การกราบไหว้บูชา ดังเช่นที่วัดพระธรรมกาย กำลังหล่อพระเพื่อประดิษฐาน ณ มหาธรรมเกายเจดีย์ อยู่ทุกวันนี้ ซึ่งต่างกับ ตะไบกระดาษทรายที่ใช้แล้ว ย่อมจะถูกโยนทิ้งอย่างไร้ค่า เฉกเช่นผู้รู้ธรรมะ แต่จ้องจะเอาชนะผู้อื่น
คำด่าว่านั้น แสดงสันดานดิบของคนเหล่านั้นในบางสื่อ ถ้าเราไม่รับ มันจะอยู่ที่ปาก มือ หู ตา และบันทึกอยู่ในใจของเขา ซึ่งจะเกิดความ ทุกข์ระทมไปเอง ด้วยความขุ่นมัวนี่แหละ คือกรรมแห่งวัฏฏสงสาร
ขอแสดงความนับถือ
นายชิด พุ่มเข็ม
"ไอ้ทิด" เบื่อคนประเภทนี้จริงๆ คนที่ชอบฉกฉวยสถานการณ์มาสร้างโอกาส เรียกว่า ขอให้มีส่วนร่วมกับเขาบ้างสักนิดนึง พ่นน้ำลาย สักหน่อย โดยไม่ได้ไตร่ตรองว่า สิ่งที่พูดไปนั้น จะเป็นสิ่งควรหรือไม่ หรือคิดว่า เป็นพลเมืองอาวุโส พูดจาอะไรออกไปแล้ว ทุกคนจะต้องรับฟัง หมดกระนั้นหรือ? สงสัยจะสำคัญตัวเองผิดแล้วกระมั้งครับ
การที่พ่อหมอ เปรียบพระสงฆ์ ผู้ซึ่งถือศีลบริสุทธิ์ว่าเป็น สัตวภูมิ เราชาวพุทธบอกตรงๆ ว่า รับไม่ได้ เพราะสงฆ์นั้นเป็น 1 ในพระรัตนตรัย เป็นผู้เผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่นับถือและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชน การพูดจาจาบจ้วงเช่นนี้ ถือเป็น โทษมหันต์นัก คำสรรเสริญเยินยอที่ท่านหมอได้รับมาแต่อดีต อาจจะลบเลือนหายไปเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้
ไอ้ทิด