ปีที่ 2 ฉบับที่ 621 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2542
วิวาทะ
ถามหาสปิริต "เจิมศักดิ์" ความเป็นกลางเส็งเคร็ง |
คุณวิทยา รักการปฏิบัติธรรม ส่งบทความมายังกองบก. "พิมพ์ไทย" มีเนื้อหาคิดถึง อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในมุมมองที่น่าสนใจยิ่ง ผมพิจารณา เนื้อหา ควรนำเผยแพร่ เพื่อความเข้าใจถูกต้อง เกี่ยวกับตัวของคุณเจิมศักดิ์ มีเนื้อหาดังนี้...
ผมเคยชื่นชม อ.เจิมศักดิ์ เมื่อสมัยแรก ๆ ที่จัดรายการมองต่างมุม ซึ่งจัดรายการทางทีวี โดยให้ประชาชน ที่เข้าชมรายการ ได้แสดงความ คิดเห็น ช่วงที่การเมืองมีบรรยากาศ ไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ มีการเปิดโอกาสให้ตั้งกระทู้ถาม แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ผมจึงรู้สึกชื่นชอบ รายการนี้อย่างจริงใจ
วันหนึ่ง ผมไปหาเพื่อนที่ อ.วิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง ได้คุยกับพรรคพวกถึง อ.เจิมศักดิ์ ผมชมผลงานและความสามารถของ อ.เจิมศักดิ์ ในฐานะคนวิเศษไชยชาญ ผมเคยเห็น อ.เจิมศักดิ์ พาคุณแม่นั่งรถเข็นออกมากซอยแคบๆ หลังตลาดอำเภอ ปรากฏว่า เพื่อนๆ ผมไม่ยินดียินร้าย กับคำสรรเสริญที่ผมมีต่อ อ.เจิมศักดิ์ แม้จะเป็นคนบ้านเดียวกัน ซ้ำยังเล่าถึงพฤติกรรม อ.เจิมศักดิ์หลายเรื่อง ตรงข้ามกับคำสรรเสริญของผม
ขณะเดียวกัน หลายคนตั้งแง่ พูดถึงความเป็นกลางในการจัดรายการของ อ.เจิมศักดิ์ โดยเฉพาะเรื่องการเมือง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำลาย ความชื่นชมที่ผมมีต่อ อ.เจิมศักดิ์
แต่ผมเริ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็ก ๆ เมื่อมีโอกาสไปร่วมชมรายการมองต่างมุม ณ โรงแรมอิมพีเรียลควีนสพาร์ค ครั้งนั้น ได้เชิญผู้ที่มีโอกาส ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาสนทนา ประกอบด้วย คุณชวน หลีกภัย คุณบรรหาร ศิลปอาชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
ผมเพิ่งรู้ว่า การจัดรายการของ อ.เจิมศักดิ์ มีการตระเตรียมคำถาม และวางตัวบุคคลไว้ก่อนบันทึกรายการ สรุปตรง (หน้าม้าล้วนๆ) พฤติกรรมเช่นนี้ ของ อ.เจิมศักดิ์ สร้างความเดือดดาลให้กับ คุณบรรหารเป็นอย่างมาก ถึงขั้นสั่งยุบรายการมองต่างมุม ในเวลาต่อมา ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีความเป็นกลาง
ช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ผมได้ดูและได้ฟังรายการของ อ.เจิมศักดิ์ เกี่ยวกับวัดพระธรรม ทำให้ผมไม่สบายใจมากทีเดียว ระยะแรกๆ ผมพยายามทำใจว่า เป็นเพียงความเห็นที่แตกต่าง แต่ต่อมาพบว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์วัดเสื่อมเสีย โดยปราศจากความเป็นกลาง และไม่ตรงกับ ความเป็นจริง ถึงขั้นจาบจ้วงพระเถระ
กระทู้คำถามเป็นของ อ.เจิมศักดิ์ ส่วนคนตอบ อ.เจิมศักดิ์ก็เลือกมาเอง
มาถึงวันนี้ ผมจึงไม่สามารถจะรักษาความชื่นชมที่ผมเคยมีต่อ อ.เจิมศักดิ์ ได้อีกต่อไป และยังมีคำถามถึง อ.เจิมศักดิ์ ดังนี้
1) อ.เจิมศักดิ์ มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านศาสนาเพียงใด ... จึงมาทำหน้าที่ตรวจสอบวัดพระธรรมกาย โดยใช้สื่อวิทยุ ทีวี ที่มีอยู่ในมือ มีผล ทำให้ประชาชน เชื่อในสิ่งที่ผิดจากความเป็นจริง เรื่องศาสนาและธรรมะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่อาจอาศัยหลักเหตุผล LOGIC ที่ได้จาก การเรียนรู้ อ่าน ฟัง และการคิดที่เรียกว่า จินตมยปัญญาเท่านั้น แต่ความรู้ทางธรรมะ ต้องอาศัยภาวนามยปัญญา อย่างที่พระสายปฏิบัติ ท่านทำกัน
ผมทราบว่า อ.เจิมศักดิ์เชี่ยวชาญวิชาการทางโลก โดยเฉพาะการตรวจสอบสาธารณะ (Public Accountability) เช่น รายการมองต่างมุม ที่เคยทำเรื่อง การเมืองและการบริหาร ราชการแผ่นดิน ที่ไม่โปร่งใส ชอบธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ อ.เจิมศักดิ์ สามารถทำประโยชน์ให้แก่ประชาชน และบ้านเมืองได้มากกว่า เพียงแต่ปรับปรุง เรื่องความเป็นกลางเท่านั้น
การเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองไม่มีความรู้เพียงพอ นอกจากจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ดีแล้ว ยังอาจให้โทษอย่างมหันต์ ไม่ทราบว่า อ.เจิมศักดิ์ จะเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่ หรือเชื่อเพียงสวรรค์ในอก นรกในใจเท่านั้น?
2) อ.เจิมศักดิ์ มีอำนาจที่จะตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์วัดหรือไม่ การใช้สื่อวินิจฉัยว่า วัดมีหลักคำสอนผิด ด้วยถ้อยคำ ดูหมิ่น ลบหลู่ อย่างรุนแรงกว่า 4 เดือนมานี้ ทั้งเรื่อง วัด พระ และผู้ปฏิบัติธรรม มิใช่อำนาจของมหาเถรสมาคมและพระเถระ ผู้ปกครองสถาบันสงฆ์ วางระเบียบ วางระบบไว้หรือ
3) อ.เจิมศักดิ์
มีความชอบธรรม
ที่จะตรวจสอบและวิพากษ์วัด
และพระสงฆ์หรือไม่
วัดและพระท่าน
ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจรัฐ
ที่จะมีผล
กระทบต่อผลประโยชน์หรือ
สิทธิของประชาชนแต่อย่างใด
กิจกรรมของวัด และพระ
ขึ้นอยู่กับความศรัทธา
และความเชื่อของประชาชนมิใช่หรือ
การใช้หลักการ ตรวจสอบสาธารณะ (Public
Accountability) ควรใช้กับรัฐบาล หรือ
สถาบัน หรือ บุคคล
ที่มีการใช้อำนาจรัฐมิใช่หรือ
และในช่วงเวลานี้ ก็มีประเด็น (Issuse) ทางการเมืองและทางราชการ เรื่องการทุจริต คอรัปชั่น และพฤติกรรมมิชอบ เกิดขึ้นในบ้านเมือง มากมาย แต่ อ.เจิมศักดิ์กลับไม่สนใจปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่อง "อูริค วูล์ฟกัง" ที่เคยเปิดประเด็นไว้ ไม่ทราบมีอำนาจอะไรมาขัดขวาง หวังว่า คงไม่ใช่อำนาจแห่งความลำเอียง
ที่ผ่านมา ผมเชื่อว่า อ.เจิมศักดิ์ ไม่มีหลักฐาน พยานที่จะชี้ผิดวัดและพระเถระท่านได้ จึงได้มีความพยายามหาโจทย์ หาพยาน ทางสื่อสาธารณะ
พระนักเทศน์อย่างพระพยอม ที่ อ.เจิมศักดิ์ ชอบนิมนต์มาออกรายการด่าวัดพระธรรมกาย การบอกบุญ ขายตรง (Direct Sale) สร้างวัตถุ ใหญ่โต เป็นเรื่องผิดหลักศาสนา ล้วนแต่เป็นความเห็นของพระพยอมทั้งสิ้น ซ้ำยังใช้คำพูดว่ากล่าวพระสงฆ์วัดอื่นเสียๆ หายๆ จะผิดกฎหมาย และ พระธรรมวินัยหรือไม่
โดยส่วนตัว การบอกบุญไม่ใช่การขายสินค้าอย่างที่ว่า เพราะบุญมิใช่สินค้าที่ผู้บอกบุญจะมอบให้ผู้ทำบุญได้ แต่บุญนั้นเกิดขึ้นที่ใจ ของ ผู้ทำบุญเอง ส่วนการสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ และสภาธรรมกายสากล ก็สร้างขึ้นเพื่อการประพฤติปฏิบัติธรรม สำหรับชาวไทย และชาวโลก จำนวนนับล้านๆ คน เป้าหมายจึงมุ่งที่การพัฒนาจิตใจ มิได้มุ่งพัฒนาทางวัตถุตามที่ออกมากล่าวหากัน
การที่พระพยอมฝึกอาชีพให้ประชาชน ผลิตข้าวของเครื่องใช้สินค้าต่างๆ นั่นแหละเป็นการมุ่งสร้างวัตถุ แล้วพระพยอม ก็นำไปเสนอขาย ตามที่ต่างๆ ที่ท่านไปเทศน์ ก็คือการขายตรง (Direct Sale) ผมก็ไม่เห็นว่า ท่านผิดตรงไหน กลับมองว่า เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างหนึ่ง แม้จะ ไม่ใช่ หน้าที่สงฆ์ก็ตาม
กรณีความเห็นของพระธรรมปิฎกก็เช่นกัน ก็เป็นเรื่องของความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ข้อความในหนังสือกรณีธรรมกาย ของพระคุณเจ้า อ่านแล้วกลับเป็นเรื่องการตั้งข้อกล่าวหาวัดพระธรรมกาย
ที่ผมมองเป็นเรื่องของความเห็นแตกต่าง ก็เพราะท่านอ้างถึงพระนิพพานเป็นอนัตตา ส่วนวัดพระธรรมกายเห็นว่า พระนิพพานเป็นอัตตา ปัญหาเรื่องนี้ มีการถกเถียงกันมานานแล้ว แล้วคนที่ออกมาพูด ก็ไม่มีวันรู้ว่า นิพพานคืออะไร แค่พุทโธก็เคยกำหนดถึง
อ.เจิมศักดิ์ครับ ผมชอบวัดนี้ ส่วนอีกคนชอบวัดนั้น ก็ควรปล่อยให้เป็นอิสระตามจริตของแต่ละคน ถ้าเราไม่ก้าวก่ายกัน ไม่กล่าวร้ายกัน โดยถือว่า ตนเองถูก ของคนอื่นผิด จะดีกว่าไหมครับ เพื่อเราจะได้เป็นชาวพุทธที่รัก และสามัคคีกันตลอดไป
คงยากครับ เพราะคนอย่างคุณเจิมศักดิ์ "อัตตา" ท่านใหญ่โตเหลือเกินครับ คุณวิทยา อย่าไปคาดหวังอะไรกับคนจำพวกนี้...
โซตัส