Ying's home :: มุมหนังสือ :: เพชรพระอุมา

เกร็ดความรู้

  • เรื่องสัตว์ป่า
  • เรื่องลึกลับ
  • เรื่องของขลัง

  • เกร็ดความรู้เรื่องสัตว์ป่า

               ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้จนกระทั่งปัจจุบันได้ให้คำจำกัดความของสัตว์ป่า คือหมายถึงสัตว์ทุกชนิดไม่ว่าสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก แมลงหรือแมง ซึ่งโดยสภาพธรรมชาติย่อมเกิดและดำรงชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำ รวมถึงไข่ของสัตว์ป่าเหล่านั้นทุกชนิด ยกเว้นสัตว์พาหนะที่ได้จดทะเบียนทำตั๋วรูปพรรณตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะประเภทของสัตว์ป่าตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ได้แบ่งสัตว์ป่าออกเป็น 2 ประเภท คือ

    • สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าที่หายาก กำหนดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 จำนวน 9 ชนิด เป็นสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด ได้แก่ แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมัน เนื้อทราย เลียงผา และกวางผา สัตว์ป่าสงวนเหล่านี้หายาก หรือใกล้จะสูญพันธุ์หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเข้มงวดกวดขัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่สัตว์ป่าที่ยังมีชีวิตอยู่หรือซากสัตว์ป่า ซึ่งอาจจะตกไปอยู่ยังต่างประเทศด้วยการซื้อขาย ต่อมาเมื่อสถานการณ์ของสัตว์ป่าในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป สัตว์ป่าหลายชนิดมีแนวโน้มถูกคุกคามเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความร่วมมือระหว่างประเทศในการ ควบคุมดูแลการค้าหรือการลักลอบค้าสัตว์ป่าในรูปแบบต่างๆ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศว่าด้วยชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าหรือ CITES ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามรับรองอนุสัญญาในปี พ.ศ. 2518 และได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2526 นับเป็นสมาชิกลำดับที่ 80 จึงได้มีการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติฉบับเดิมและตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535
           สัตว์ป่าสงวนตามในพระราชบัญญัติฉบับใหม่ หมายถึงสัตว์ป่าที่หายากตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฉบับนี้และตามที่กำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงชนิดสัตว์ป่าสงวนได้โดยสะดวกโดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแก้ไขหรือเพิ่มเติมเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับต้องแก้ไขพระราชบัญญัติอย่างของเดิม ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มเติมชนิดสัตว์ป่าที่มีสภาพล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง 7 ชนิด และตัดสัตว์ป่าที่ไม่อยู่ในสถานะใกล้จะสูญพันธุ์ เนื่องจากการที่สามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้มาก 1 ชนิด คือ เนื้อทราย รวมกับสัตว์ป่าสงวนเดิม 8 ชนิด รวมเป็น 15 ชนิด ได้แก่
      1. นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (Pseudochelidon sirintarae)
      2. แรด (Rhinoceros sondaicus)
      3. กระซู่ (Didermocerus sumatraensis)
      4. กูปรีหรือโคไพร (Bos sauveli)
      5. ควายป่า (Bubalus bubalis)
      6. ละองหรือละมั่ง (Cervus eldi)
      7. สมันหรือเนื้อสมัน (Cervus schomburgki)
      8. เลียงผา หรือเยือง หรือ กูรา หรือโครำ (Capricornis sumatraensis)
      9. กวางผา (Naemorhedus grisens)
      10. นกแต้วแล้วท้องดำ (Pitta gurneyi)
      11. นกกระเรียน (Grus antigone)
      12. แมวลายหินอ่อน (Pardofelis marmorata)
      13. สมเสร็จ (Tapirus indicus)
      14. เก้งหม้อ (Muntiacus feai)
      15. พะยูนหรือหมูน้ำ (Dugong dugon)

    • สัตว์ป่าคุ้มครอง หมายถึง สัตว์ป่า ตามที่กฎกระทรวงกำหนดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองไม่แบ่งแยกเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 หรือสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 2 ดังเช่นพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 สำหรับบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครองใหม่นี้ แบ่งออกเป็น 7 พวก คือ
      1. สัตว์ป่าจำพวกเลี้ยงลูกด้วยนม จำนวน 189 ชนิด
      2. สัตว์ป่าจำพวกนก มี 181 ลำดับ จำนวน 771 ชนิด
      3. สัตว์ป่าจำพวกเลื้อยคลาน มี 64 ลำดับ จำนวน 91 ชนิด
      4. สัตว์ป่าจำพวกสะเทินน้ำสะเทินบก หรือกิจการสวนสัตว์สาธารณะ เป็นต้น จำนวน 12 ชนิด
      5. สัตว์ป่าจำพวกปลา จำนวน 4 ชนิด
      6. สัตว์ป่าจำพวกแมลง มี 13 ลำดับ
      7. สัตว์ป่าจำพวกไม่มีกระดูกสันหลังมี 13 ลำดับ



    แรด (Rhinoceros sondaicus) : เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
    ความสูงที่ไหล่ 1.60 - 1.75 เมตร
    น้ำหนัก 1,500 - 2,000 ก.ก.
    ชอบนอนในปลักโคลนตมหนองน้ำ เพื่อไม่ให้หนังแตกและถูกแมลงรบกวน มีสายตาไม่ค่อยดีนัก แต่มีประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นดีมาก แรดมีหนังหนาและมีขนแข็งขึ้นห่างๆสีพื้นเป็นสีเทาออกดำ ส่วนหลังมีส่วนพับของหนัง 3 รอย บริเวณหัวไหล่ด้านหลังของขาคู่หน้าและด้านหน้าของขาคู่หลัง แรดตัวผู้มีนอเดียวยาวไม่เกิน 25 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียจะเห็นเป็นเพียงปุ่มนูนขึ้นมา ชอบกินยอดไม้ ใบไม้ และผลไม้ ออกลูกครั้งล ะ 1 ตัว ตั้งท้องนานประมาณ 16 เดือน มีอายุยืนประมาณ 50 ปี
    สถานภาพ : ปัจจุบันแรดจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย และจัดอยู่ใน Appendix 1 ของอนุสัญญา CITES ทั้งยังเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S.Endanger Species
    สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เช่นเดียวกับแรดที่พบบริเวณอื่นๆ ที่พบในประเทศไทยถูกล่าและทำลายอย่างหนัก เพื่อต้องการนอหรือส่วนอื่นๆ เช่น กระดูก เลือด ฯลฯ ซึ่งมีคุณค่าสูงยิ่ง เพื่อใช้ในการบำรุงและยาอื่นๆ นอกจากนี้บริเวณป่าที่ราบที่แรดชอบอาศัยอยู่ก็หมดไป กลายเป็นบ้านเรือนและเกษตรกรรมจนหมด



    กระซู่ (Dicerorhinus sumatrensis ) : กระซู่เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับแรด แต่มีลักษณะลำตัวเล็กกว่า
    ความสูงที่ไหล่ 1-1.5 เมตร
    น้ำหนักประมาณ 1,000 กิโลกรัม
    มีหนังหนาและมีขนขึ้นปกคลุมทั้งตัว โดยเฉพาะในตัวที่มีอายุน้อย ซึ่งขนจะลดน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น สีลำตัวโดยทั่วไปออกเป็นสีเทาคล้ายสีขี้เถ้า ด้านหลังลำตัวจะปรากฏรอยพับของหนังเพียงพับเดียวตรงบริเวณด้านหลังของขาคู่หน้า กระซู่ทั้งสองเพศมีนอ 2 นอ นอหน้ามีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ส่วนนอหลังมีความยาวไม่เกิน 10 เซนติเมตร หรือเป็นเพียงตุ่มนูนขึ้นมาในตัวเมีย
    สถานภาพ : ปัจจุบันกระซู่จัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย อนุสัญญา CITES จัดไว้ใน Appendix I และ U.S. Endanger Species Act จัดไว้ในพวกที่ใกล้จะสูญพันธุ์
    สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : กระซู่ปัจจุบันใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากโลก เนื่องจากถูกล่าเพื่อเอานอ และอวัยวะทุกส่วนของตัว ซึ่งมีฤทธิ์ในทางเป็นยา กระซู่จึงถูกล่าอยู่เนืองๆ ประกอบกับกระซู่มีอยู่ในธรรมชาติน้อย และประชากรแต่ละกลุ่มและแม้แต่กลุ่มเดียวกันก็อยู่ห่างกันมากไม่มีโอกาสจับคู่ขยายพันธุ์ได้



    ควายป่า (Bubalus bubalis) : รูปร่างปราดเปรียวและขนาดลำตัวใหญ่กว่าควายบ้าน
    ความสูงที่ไหล่ 1.6 - 1.9 เมตร
    หนักประมาณ 800 - 1,200 ก.ก.
    สีลำตัวโดยทั่วไปเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลดำ ขาทั้ง 4 สีขาวแก่หรือสีเทาคล้ายใส่ถุงเท้าสีขาว ด้านล่างของลำตัวเป็นลายสีขาวรูปตัววี ( V )ควายป่ามีเขาทั้ง 2 เพศ เขามีขนาดใหญ่กว่าควายเลี้ยง วงเขากางออกกว้างโค้งไปทางด้านหลัง ด้านตัดขวางเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายเขาเรียวแหลม
    ชอบนอนแช่ปลักให้ดินโคลนพอกลำตัว เพื่อป้องกันแมลงรบกวน มีนิสัยชอบอยู่เป็นฝูง จะดุร้ายมากถ้าบาดเจ็บ กินใบไม้ หญ้า และหน่อไม้ ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องประมาณ 10 เดือน อายุยืน 20-25 ปี
    สถานภาพ : ปัจจุบันควายป่าที่เหลืออยู่ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมาก จนน่ากลัวว่าอีกไม่นานจะหมดไปจากประเทศ ควายป่าจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดควายป่าไว้ใน Appendix III
    สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนื่องจากการถูกล่าเพื่อเอาเนื้อและเอาเขาที่สวยงาม และการสูญเชื้อพันธุ์ เนื่องจากไปผสมกับควายบ้านที่มีผู้เอาไปเลี้ยงปล่อยเป็นควายปละในป่า ในกรณีหลังนี้บางครั้งควายป่าจะติดโรคต่างๆจากควายบ้าน ทำให้จำนวนลดลงมากยิ่งขึ้น



    ละองหรือละมั่ง เป็นกวางที่มีขนาดโตกว่าเนื้อทรายแต่เล็กกว่ากวางป่า
    ความสูงที่ไหล่ 1.2 - 1.3 เมตร
    หนักประมาณ 95 - 150 ก.ก.
    ขนตามตัวทั่วไปมีสีน้ำตาลแดง ตัวอายุน้อยจะมีจุดสีขาวตามตัว ซึ่งจะเลือนกลายเป็นจุดจางๆเมื่อโตเต็มที่ในตัวเมีย แต่จุดขาวเหล่านี้จะหายไปจนหมดในตัวผู้ตัวผู้จะมีขนที่บริเวณคอยาวและมีเขาและเขาของละอง จะมีลักษณะต่างจากเขากวางชนิดอื่นๆในประเทศไทย ซึ่งที่กิ่งรับหมาที่ยื่นออกมาทางด้านหน้า จะทำมุมโค่งต่อไปทางด้านหลังและลำเขาไม่ทำมุมหักเช่นที่พบในกวางชนิดอื่นๆ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง เล็ก ๆ ออกหากินทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน กินใบหญ้าใบไม้และผลไม้เป็นอาหาร ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนานประมาณ 7 - 8 เดือน
    สถานภาพ : มีรายงานพบเพียง 3 ตัว ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ละอง ละมั่งจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดอยู่ใน Appendix
    สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบัน ละอง ละมั่งกำลังใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากประเทศไทย เนื่องจากสภาพป่าโปร่งซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยถูกบุกรุกทำลายเป็นไร่นาและที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ทั้งยังถูกล่าอย่างหนักนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา



    กวางผา (Naemorhedus griseus) กวางผาเป็นสัตว์จำพวกแพะแกะเช่นเดียวกับเลียงผา แต่มีขนาดเล็กกว่า
    ความสูงที่ไหล่ 50 - 70 ซ.ม.
    หนักประมาณ 22 - 32 ก.ก.
    ขนบนลำตัวสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลปนเทา มีแนวสีดำตามสันหลงไปจนจดหาง ด้านใต้ท้องสีจางกว่าด้านหลัง หางสั้นสีดำ เขาสีดำมีลักษณะเป็นวงแหวนรอบโคนเขา และปลายเรียวโค้งไปทางด้านหลัง มีขาที่แข็งแรง สามารถกระโดดตามชะง่อนผาได้อย่างว่องไว พบตามยอดเขาสูงชันจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปี อาหารได้แก่ พืชตามสันเขาและหน้าผาหิน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 6 - 8 เดือน มีอายุประมาณ 8 - 10 ปี
    สถานภาพ : กวางผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทยและอนุสัญญา CITES จัดไว้ใน Appendix I
    สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนื่องจากการบุกรุกถางป่าที่ทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขาในระยะเริ่มแรกและชาวบ้านในระยะหลัง ทำให้ที่อาศัยของกวางผาลดน้อยลง เหลืออยู่เพียงตามยอดเขาที่สูงชัน ประกอบกับการล่ากวางผาเพื่อเอาน้ำมันมาใช้ในการสมานกระดูกที่หักเช่นเดียวกับเลียงผา จำนวนกวางผาในธรรมชาติจึงลดลงเหลืออยู่น้อยมาก



    เลียงผา เป็นสัตว์กีบคู่มีเขาจำพวกแพะ
    ความสูงที่ไหล่ 85 - 94 ซ.ม.
    หนักประมาณ 85 - 140 ก.ก.
    ขายาวและแข็งแรง ใบหูยาวคล้ายใบหูลา ขนตามลำตัวค่อนข้างยาว หยาบและมีสีดำ ด้านท้องขนสีจางกว่า มีขนเป็นแผงยาวบนสันคอและสันหลัง มีเขาทั้งในตัวผู้และตัวเมีย เขามีลักษณะตอนโคนกลม หยักเป็นวงแหวนโดยรอบค่อยๆเรียวไปทางปลายเขาโค้งไปทางด้านหลังเล็กน้อย อาศัยอยู่ตามภูเขาที่มีหน้าผา หรือถ้ำตื้น ว่องไวและปราดเปรียวมาก สามารถว่ายน้ำข้ามระหว่างเกาะ และแผ่นดินได้ มีประสาทตา หู และรับกลิ่นได้ดีมาก ชอบกินพืชต่างๆ ออ กลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 7 - 8 เดือน
    สถานภาพ : เลียงผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดเรียงผาไว้ใน Appendix I
    สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ในระยะหลังเลียงผามีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการล่าอย่างหนักเพื่อเอาเขา กระดูก และน้ำมันมาใช้ทำยาสมานกระดูก และพื้นที่หากินของเลียงผาลดลงอย่างรวดเร็วจากการทำการเกษตรตามลาดเขา และบนพื้นที่ที่ไม่ชันจนเกินไป



    สมเสร็จ (Tapirus indicus ) สมเสร็จเป็นสัตว์กีบคี่ เท้าหน้ามี 4 เล็บ และเท้าหลังมี 3 เล็บ จมูกและริมฝีปากบนยื่นออกมาคล้ายงวง ตามีขนาดเล็ก ใบหูรูปไข่ หางสั้น
    น้ำหนัก 250-300 กิโลกรัม
    ส่วนหัวและลำตัวเป็นสีขาวสลับดำ ตั้งแต่ปลายจมูกตลอดท่อนหัวจนถึงลำตัวบริเวณระดับหลังของขาคู่หน้ามีสีดำ ท่อนกลางตัวเป็นแผ่นขาว ส่วนบริเวณโคนหางลงไปตลอดขาคู่หลังจะเป็นสีดำ ขอบปลายหูและริมฝีปากขาว ลูกสมเสร็จลำตัวมีลายเป็นแถบ ดูลายพร้อยคล้ายลูกแตงไทย มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นและเสียงดีมาก ชอบออกหากินในเวลากลางคืน มักมุดหากินตามที่รกทึบ ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 13 เดือน
    สถานภาพ : ปัจจุบันสมเสร็จจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย และจัดโดยอนุสัญญา CITES ไว้ใน Appendix I และจัดเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S. Endanger Species Act.
    สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : การล่าสมเสร็จเพื่อเอาหนังและเนื้อ การทำลายป่าดงดิบที่อยู่อาศัยและหากิน โดยการตัดไม้ การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำและถนน ทำให้จำนวนสมเสร็จลดปริมาณลงจนหาได้ยาก



    สมันหรือเนื้อสมัน (Cervus schomburki) : เป็นกวางขนาดกลาง และได้ชื่อว่ามีเขาสวยงามที่สุดในประเทศไทย
    ความสูงที่ไหล่ 1 เมตร
    สีขนบนลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มและเรียบเป็นมัน หางค่อนข้างสั้นและมีสีขางทางตอนล่างสมันมีเขาเฉพาะตัวผู้ลักษณะเขาของสมันมีขนาดใหญ่และแตกกิ่งก้านออกหลายแขนง การแตกแขนงของเขา แขนงทั้ง 2 จะทำมุมแยกออกไปเท่ากับลำกิ่งเดิม คล้ายสุ่ม ชาวบ้านจึงเรียกว่า "กวางเขาสุ่ม" ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ และอยู่เฉพาะในทุ่งโล่ง ไม่อยู่ตามป่าทึบ เพราะเขาจะเกี่ยวพันเถาวัลย์ได้ง่าย ชอบกินยอดหญ้าอ่อน ผลไม้และใบไม้
    สถานภาพ : สมันได้สูญพันธุ์ไปจากโลกและจากประเทศไทยเมื่อเกือบ 60 ปีที่แล้ว สมันยังจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาของสมันไม่ให้มีการส่งออกนอกราชอาณาจักร
    สาเหตุของการสูญพันธุ์ : เนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยได้ถูกเปลี่ยนเป็นนาข้าวเกือบทั้งหมด และสมันที่เหลืออยู่ตามที่ห่างไกลจะถูกล่าอย่างหนักในฤดูน้ำหลากท่วมท้องทุ่ง ในเวลานั้นสมันจะหนีน้ำขึ้นไปอยู่รวมกันบนที่ดอนทำให้พวกพรานล้อมไล่ฆ่าอย่างง่ายดาย



    ที่มาของข้อมูล :
       http://www.thaiwildlife.com
       
    http://www.geocities.com/SouthBeach/Sandbar/2376/index.html






    Ying's home :: มุมหนังสือ :: เพชรพระอุมา

    1