นิยายวิทยาศาสตร์โดย ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย


หมายเหตุจากผู้จัดทำ - ผมได้ขออนุญาตคุณไพรัตน์ ในการนำเอาเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ บางเรื่องที่คุณไพรัตน์แต่งขึ้นมาลงไว้ ณ ที่นี้ ก่อนจัดทำเอกสารหน้านี้ขึ้น ซึ่งก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี นอกจากนี้ คุณไพรัตน์ยังได้กรุณาช่วยจัดทำโฮมเพจในส่วนของประวัติจันตรี ศิริบุญรอดด้วยการส่งอีเมล์ไฟล์เอกสารมาให้ ซึ่งในการนี้ผมต้องขอขอบพระคุณคุณไพรัตน์อย่างสูง มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
                                                                                                                                                                        DigiTaL-KRASH!!!


                            บิน
                                                                                                                                                                                               โดย ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย
 (ตีพิมพ์ในวารสารอัพเดท บริษัทซีเอ็ดยูเคชัน(มหาชน) ปีที่11  ฉบับที่ 130 เมษายน 2540)


     ขอบฟ้าเริ่มทอแสงแดงทอเรื่อ ๆ แล้ว ค่ำคืนผ่านพ้นไปอีกรอบหนึ่ง
            ปีกของฉันเริ่มอ่อนล้า ตาของฉันเริ่มหนัก คงเพราะฉันบินมานานกว่าทุกครั้งคืน เป็นคืนที่บินไปได้ไกล เลยขอบเหวพ้นทิวไม้ไปพอควร แต่คาบเวลาก็หมุนกลับมาดังเดิม
            ต้นไม้ที่เป็นรวงรังอยู่ตรงหน้านี่เอง ปีกของฉันตวัดสะบัดฝ่าอากาศบังคับให้ร่อนลงสู่รวงรัง เป็นยามที่ตัวอื่น ๆ เคลิ้มหลับไปเป็นเวลาหนึ่ง

     มันหายไปแล้ว ดวงดาวประหลาดดวงนั้นหายไปก่อนแสงเงินแสงทองเสียอีก

     "ไปถึงไหนมา?" ปุยเมฆเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่ยังมีแมลงสาบอยู่ในปาก
     "ไม่ได้ไปไหน จับแมลง เจาะผลไม้ ตามที่เป็นมา"
     "ไม่ได้หมายถึงคืนนี้ เมื่อคืนก่อน ไปถึงไหน?"
     "ไกลไปกว่าเดิม ซักประมาณชั่วสองพักมั้ง"
     "สองพักเชียว" ปุยเมฆแหงนหน้ามองฝ่าใบไม้เหนือหัว ดวงตากลมโตของเธอสะท้อนแสงจันทร์สีเงินเป็นประกาย
     "มันกำลังจะฟัก เธอควรจะอดใจรอ"
     "รอให้ตัวอื่นมาเห็นแล้วฉวยไข่ละมุนไปงั้นหรือ ไม่ดีกว่า" ปุยเมฆเผ่นแผล็บขึ้นไป ฉันเห็นเธอฉกจงอยปากเข้าใส่แมงมุมตัวนั้น ทั้งมัน ทั้งไข่ เข้าคอของเธอไป
     "หมอก ฉันเองก็รู้สึกอยากบินไปให้ไกลอย่างเธอเหมือนกัน"
     "ทำไมล่ะ เธอเข้าใจไหมว่าทำไมเธอถึงอยากไปไกลกว่าที่เคยไป"
     "ฉันไม่เข้าใจ ฉันหื่นกระหายอยากบิน"
     ฉันเงียบ เธอก็เงียบอยู่ข้างฉัน ที่นั่น ดาวประหลาดอยู่ตรงนั้น มันเคลื่อนตำแหน่งบนท้องฟ้าไปเพียงเล็กน้อยเทียบกับดาวดวงอื่น ๆ ทั้งหมดที่ตาของฉันจะมองเห็น
     มีพวกเราที่สีอ่อนลงเท่านั้นที่อยากบินไปให้ไกลไปกว่าที่เคยบิน
     แต่ไม่มีตัวใดรู้ว่า  ทำไม
     "มีอะไรบนนั้นหรือ เห็นเธอชอบมองท้องฟ้า"
     "ดาวดวงนั้นมันแปลกกว่าดวงอื่น"
     "แปลกกว่าดวงอื่น? มันก็ดาวเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?"
     "ปุยเมฆ เธอเคยสังเกตท้องฟ้าบ้างไหมล่ะ ตลอดคืน ดวงดาวต่าง ๆ ล้วนเปลี่ยนตำแหน่ง มันเคลื่อนย้ายจากขอบฟ้าด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง เป็นอย่างนั้นทุกคืน แล้วในคืนพรุ่ง มันบางทีก็อยู่สูงกว่าคืนก่อน บางทีก็อยู่ต่ำกว่าคืนก่อน บางดวงก็หายไป ไม่มีดาวดวงใดอยู่คงที่เลยแม้แต่ดวงเดียว มันเป็นเช่นนี้ตลอดปี และเป็นมาหลายปีแล้วตั้งแต่ฉันเริ่มมองดูพวกมัน"
     สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยคำถาม นั่นสินะ ฉันอาจจะบ้าที่มองดูดวงดาวขณะที่คนอื่นบินหาแมลงกิน ยิ่งพวกสีดำแก่ ๆ ยิ่งมองฉันด้วยแววตาหมิ่น ๆ ขนขาวของฉันทำให้กลายเป็นพวกแปลกประหลาด พี่น้องที่ฟักจากไข่รุ่นเดียวกันก็ไม่มีตัวใดมีสีขาวแซมแม้เล็กน้อย ฉันเป็นนกตัวแรกของฝูงที่มีสีขาวและหลังจากนั่นก็มีนกขาวเพิ่มขึ้น ร่วมทั้งเธอด้วย ปุยเมฆ
     "ฉันไม่ได้เฝ้าดูท้องฟ้าอย่างเธอ"
     "มีไม่กี่ตัวหรอกที่จะมองฟ้า อย่างเจ้าขนอ่อนนั่นไง ขนอ่อนก็มองฟ้าและหลงใหลดวงดาว  มันว่ามันเคยเห็นดาวเป็นฝ้าซึ่งฉันไม่เคยเห็น"
     "เธอได้อะไรจากดวงดาวบ้างล่ะ?"
     "มีดาวประหลาดอยู่ดวงหนึ่ง มันเปลี่ยนตำแหน่งน้อยมากในแต่ละคืน มันคือดวงนั้น"
     ฉันได้แต่ชี้จงอยปากตรงไปที่ดาวประหลาดและหวังว่าเธอจะมองมันได้ถูกต้อง
     "ฉันเห็นมันแล้ว"
     "เราหันหน้าเข้าหามัน เราจะเห็นดาวทั้งหลายเคลื่อนที่จากด้านขวาไปด้านซ้าย ดาวประหลาดก็เช่นกันจากขวาโค้งขึ้นบนวนไปทางซ้าย แต่มันเคลื่อนไปช้ามาก ๆ วงแคบมาก ๆ จนฉันสงสัว่าถ้าหากไม่มีลูกไฟขึ้นมาทำลายความมืด ฉันคงเห็นดาวประหลาดวนเป็นวงกลมได้เต็มวง"
     เธอเงียบไปพักหนึ่งเลยนะ ปุยเมฆ มันทำให้ฉันได้หยุดพิจารณาเธอ ภายใต้แสงจันทร์เช่นนี้ ขนขาวของเธอช่างสะอาดและงดงาม บัดนี้เราทั้งสองเติบโตพ้นอกพ่อแม่ แล้วสักวันฉันก็จะต้องสร้างรัง สงสัยเหลือเกินว่า เธอจะชอบรังที่ฉันสร้างขึ้นหรือไม่
     "ถ้ามันเคลื่อนที่แต่เพียงเล็กน้อย มันจะสำคัญอะไร?"
     "ฉันไม่รู้ แต่ฉันชอบ และมันมีผลให้ฉันอยากบินออกไปให้ไกลโพ้น"
     "ฉันต้องไปแล้วล่ะ ฉันหิวทีเดียว ไม่รู้เพราะอะไรถึงหิวเป็นพิเศษ"
     "ใกล้หนาวแล้ว"
     "ใช่ใกล้หนาวแล้ว"
     ฉันเกาะนิ่งมองเธอบินออกไป ไม่ได้คิดอะไรอยู่ตั้งนาน ก่อนจะรู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง ฉันต้องบิน บินไปหาแมลง และบางที บินเพื่อหาแมลงที่อยู่พ้นขอบเหวออกไปไกล


     "ไม่ ไม่เคยมีหรอก ดวงดาวที่เคลื่อนที่เพียงเล็กน้อยในแต่ละคืน"
     "ไม่เคยมีเลยหรือ ท่านผู้เฒ่า?"
     "มีเรื่องเล่าถ่ายทอดกันมาเหมือนกัน เรื่องดาวประหลาด"
     ฉันใจจดจ่อกับเรื่องดาวประหลาดและการบินอันยาวนานจนต้องมาถามท่านผู้เฒ่า ขนของท่านดำสนิทก็จริง แต่มิได้มันยาวเหมือนนกผู้ใหญ่เต็มที่ นั่นแสดงถึงความชราและสุขภาพที่ร่วงโรย
     "มันเล่ามาจากนกพันธุ์อื่น จนมาถึงพวกเรา ว่ากันว่า บนฟากฟ้ามีดาวนิ่งอยู่ดวงหนึ่ง ดาวดวงอื่นล้วนหมุนเวียนรอบมัน แต่แล้วบาปมหันต์ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อย่างชัดเจนได้ผลักดาวดวงนั้นให้หลุดออกไปจากที่ ๆ มันเคยอยู่ หมื่นกว่าปีผ่านมา เป็นเรื่องเล่าที่ไร้แก่นสาร"
     "ทำไมถึงว่าไร้แก่นสารล่ะ ท่านผู้เฒ่า?"
     "เพราะในเรื่องเล่ากล่าวว่าผู้นำฝูงนกต้นตระกูลก่อนจะมาเป็นพวกเราคือผู้ก่อบาปมหันต์ โดยการตักตวงความมั่นคงในการหาแมลงของฝูงให้แก่นกพวกพ้อง ผู้นำฝูงรวมนกเลว ๆ ไว้ด้วยกันเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจพอจะเป็นผู้นำฝูง ไร้แก่นสารเพราะความเชื่อกล่าวว่า บาปมหันต์ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อย่างชัดเจน แล้วเรื่องผู้นำฝูงย่อมเชื่อถือไม่ได้ ความขัดแย้งในเรื่องเล่า ใครจะเชื่อได้อย่างไร"
     ฉันนิ่งคิด นึกถึงผู้นำฝูงของเราในขณะนี้ เป็นผู้นำที่ค่อนข้างจะขาดเขลาอยู่บ้าง และจะว่าไปแล้ว ไม่เคยมองเลยว่า  อาหารของฝูงเราทำท่าจะน้อยลงเกินไปด้วย
     "ท่านเคยมองดูดาวบ้างไหม ดวงประหลาดนั่นเคลื่อนที่น้อยมากทุกเดือน และจะน้อยลงไปอีกแน่ ๆ มันอาจเป็นดาวนิ่งดวงเดิมย้อนกลับมาใหม่ก็ได้ ถ้าใช่แล้วจะเกิดอะไรกับนกอย่างเรา?"
     "ไม่มีใครรู้หรอก แต่มันอาจเป็นลางร้าย เรื่องร้ายเกิดขึ้นตั้งแต่เจ้าแล้ว เจ้าเกิดมาด้วยขนสีขาวทั้งตัวปีกของเจ้าก็ดูจะแข็งแกร่งกว่านกอื่น ๆ แล้วนกขาวก็เกิดขึ้นมากถัดมา เจ้าไม่ใช่พวกเราอย่างแท้จริงเจ้าเป็นตัวใหม่ ซึ่งฉันไม่รู้ว่าจะมีผลอย่างไรกับนกฝูงเรา แต่มันคือความตื่นกลัว"
     ความตื่นกลัวงั้นหรือ นกอื่นกลัวพวกเราเช่นนั้นหรือ สีขาวของฉันและพวกพ้องรุ่นใหม่เป็นเรื่องประหลาด พวกใหม่มีกันมากแล้ว และมันอาจจะมากขึ้นเรื่อย ๆ
     กลัว ใช่แน่ละ พวกเราไม่เหมือนเดิม หัวใจที่หาญกล้า สายตาที่เฉียบคม ปีกที่ทรงพลัง ฉันเคยคุยกับนกขาวอีกหลายตัว พวกนั้นล้วนแตกต่างจากพวกเก่าอย่างแท้จริง พวกเราล้วนอยากบินให้ไกลผิดกับนกสีดำ

     "ท่านผู้เฒ่าเคยคิดจะบินไปให้ไกลแสนไกลบ้างไหม?"
     "บินหรือ? เจ้าจะไปไหน ไปอย่างไร ท้องฟ้าที่มืดมิดอาจทำให้หลงทางได้ แม้พวกเราจะตาโตกว่านกที่หากินเวลากลางวัน แต่นั่นไม่ใช่เครื่องมือให้เราจำทางกลับรังได้ ถ้าเจ้าบินอยู่เหนือท้องทะเล เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะบินไปทางไหน อะไรจะนำทางให้เจ้า"
     "ความกล้าที่จะฝ่าออกไป ท่านผู้เฒ่าถ้าเรากล้าบินฝ่าออกจากที่นี่ เราอาจไปสู่ถิ่นที่ดีกว่า"
     "ที่นี่มีสิ่งใดไม่ดีที่เจ้าไม่ชอบใจ?"
     "ท่านสังเกตไหมว่าเรามีจำนวนมากนัก สักวันเราอาจต้องแย่งกันกิน นี่ก็ใกล้หนาวอีกครา ถึงเวลาที่เราจะต้องจับคู่ แล้วนกรุ่นใหม่ก็จะเกิดมา ฉันไม่ยอมให้ลูกต้องอดอยากหรือต้องลำบากมากเพื่อที่จะหาแมลงสาบตัวหนึ่ง"
     "เราไม่อาจบินไปไกลที่ไหนได้หรอก"
     ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหนได้ และมันก็จริงที่ว่าเราจะรู้ทิศทางได้อย่างไรเหนือท้องทะเลที่ว่างเปล่า
     ฤดูหนาวกำลังมาเยือน ภารกิจอื่นสำคัญกว่า ฉันต้องสร้างรังและต้องสวยงาม แข็งแรง อบอุ่น ฉันหวังให้รังของฉันดีที่สุด ดีจนปุยเมฆเลือกที่จะใช้มัน
     ฤดูหนาวกำลังมาเยือน บางที วันใหม่กำลังมาเยือนด้วยเช่นกัน
     ไม่รู้ทำไม ฉันคิดว่า วันใหม่นั้นเกี่ยวพันกับดาวประหลาดที่ลอยอยู่ที่นั่น
     "บางทีนั่นคือคำตอบ"
     นกทุกตัวมองไปยังดาวประหลาด
     "อย่างไร?"
     "มันเคลื่อนที่น้อยมาก มันเกือบ ๆ จะอยู่ที่ตำแหน่งเดิมตลอดคืน ฉันเฝ้าสังเกตมันมานานแล้ว เราอาจใช้มันเป็นเครื่องหมายได้ มันจะอยู่ที่เดิมไม่ว่าเราจะบินไปทางไหนก็ตาม"
     ฉันเฝ้าจับตาพวกนกสีอ่อนทุกตัว นกสีขาวบางตัวก็จับคู่กับนกสีดำ แต่โดยส่วนใหญ่จับคู่กับนกสีขาวด้วยกัน ลูกนกรุ่นใหม่มีสีขาวทุกตัวรวมทั้งลูกของฉันกับปุยเมฆ นั่นทำให้นกสีขาวมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกมาก แล้วพวกเราก็คิดถึงการแย่งอาหารที่อาจเกิดขึ้น
     "มันไม่ได้อยู่ที่เดิม มันแค่เกือบอยู่ในที่เดิมเท่านั้น" เจ้าขนอ่อนแย้ง
     "ลองจับตาดูมันคืนนี้ แล้วดูมันพรุ่งนี้ และดูมันในคืนถัดไป แล้วจะเห็นว่ามันเปลี่ยนตำแหน่งน้อยลงทุกค่ำคืน แล้วในที่สุดมันจะต้องหยุดอยู่ที่เดียว"

     "เมื่อไรล่ะ?"
     เป็นคำถามที่ฉันเองก็ไม่อาจรู้ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาเรื่องเราจะบินไปไหน นานเท่าไหร ถ้าเราอยู่เหนือทะเลแล้วเหนื่อย เราจะมีที่เกาะพักหรือเปล่า นั่นเป็นสิ่งที่ต้องขบคิดอีกมาก บางทีต้องรอรุ่นลูกถัดไปอีกหลายรุ่นก็ได้
     "ลูกของเราผ่านฤดูหนาวมาได้ดี พวกเขาแข็งแรง มีปีกที่ทรงพลัง รอดตายมาก บางทีพวกเขาจะบินไปจากเราได้ก่อนพวกเราเสียอีก"
     "ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันต่อการบินไปจากที่นี่ เราไม่น่าจะเสี่ยง บางทีปัญหาเรื่องแมลงจะหมดไปเมื่อพวกเรามีมากขึ้น ส่วนหนึ่งจะตาย"
     เสียงหวีดร้องเซ็งแซ่ เสียงกระพือปีก ฉันได้แต่เฝ้าฟัง  ไม่มีทาง ฉันจะอยู่รอให้เกิดการต่อสู้จนตายไม่ได้ ฉันรู้สึกเป็นภาระที่ต้องพานกฝูงนี้ไปให้ไกลจากที่นี่สู่ดินแดนใหม่
     "ฟังก่อนพวกเรา ทุกคืนเราบินกันนานแค่ไหนจึงจะหาแมลงได้พอเพียง เราลำบากขึ้นทุกทีไม่ใช่หรือเราสมควรจะรวมความกล้า บินสู่ทิศทางใหม่ แหล่งอาศัยแห่งใหม่"
     "เรายังไม่พร้อมหรอกหมอก เรายังต้องเตรียมตัว เราต้องคิด ดาวประหลาดนั่นก็ไม่รู้จะหยุดนิ่งเมื่อใด ฉันเสนอให้พวกเราพยายามบินอยู่อากาศให้นาน ให้ไกลออกไปเรื่อย ๆ เป็นการฝึกฝนร่างกาย ถ้าเราไม่แข็งแกร่งพอ เราจะบินไปได้ไม่ไกล"
     "ปุยเมฆพูดถูก เรายังต้องรอและเตรียมการไปด้วย"
     เสียงนกในฝูงร้องรับกันจนฉันคิดว่าต้องปลุกให้นกรุ่นเก่าผวาตื่นขึ้นมาแน่ ๆ ทีเดียว พวกเขาตื่นกลัวพวกเรา ท่านผู้เฒ่าพูดเช่นนั้น แต่มันจริงหรือเปล่า สำหรับการเตรียมการ ฉันคงต้องบินออกไปให้ไกลยิ่งขึ้น

ดาวประหลาดดวงนั้น มันอยู่ที่นั่น ดาวอื่น ๆ เวียนวนจากขวาไปซ้าย


     ลูกของเรา นกขาวรุ่นใหม่ที่เกิดมาบินได้คล่องขึ้นมาก มันทำให้ฟ้าค่ำคืนมีนกสีขาวบินโฉบไปโฉบมากว่าปีก่อน เป็นความจริงที่สังเกตได้แล้วว่า นกดำกับนกขาวแยกกลุ่มกัน แม้ไม่มีเส้นขีดคั่นเขตแดน แต่ดูเหมือนนกทั้งหลายจะรู้กันเอาเอง
     มีบางสิ่งเกิดขึ้นในตัวฉัน ในบางเวลาฉันรู้สึกสงสัยในทิศทางที่ฉันบิน เหมือนมีกระแสพลังบางอย่างบอกให้ฉันปรับทิศปรับทางในวิถีบิน และฉันก็ทำให้ตามนั้น ฉันสังเกตดูว่าฉันพอใจที่จะบินอยู่ในแนวที่ทำให้ตำแหน่งลูกไฟใหญ่ยามมันขึ้นหรือลับขอบฟ้าตรงกับปลายปีกเมื่อกางออกเต็มที่ ในขณะที่เมื่อก่อนโดยเฉพาะช่วงเดียวกันนี้เมื่อปีก่อน ฉันไม่ได้รักษาทิศทางแบบนี้
     ฉันยังคงเฝ้าจับตาสังเกตดวงประหลาดนั่น มันแทบจะคงที่ในจุดเดิมอยู่แล้ว ทำให้ฉันเกือบจะมั่นใจได้ว่า เราจะได้บินไกลในไม่นานนี้ บางทีเมื่อลูกนกรุ่นต่อไปอีกหนึ่งรุ่นจะเป็นรุ่นที่บอกให้เราไป
     มีเรื่องที่ทำให้พวกพ้องนกในกลุ่มของเราร้อนใจเกิดขึ้นพร้อมกันสองเรื่อง
     เรื่องแรกเกิดขึ้นกับฉันเอง เมื่อฉันหลงบินในค่ำคืนนานเกินกว่าที่ควร ฉันบินโดยหันหน้าเข้าหาดาวประหลาด จับตาเฝ้ามัน แต่จู่ ๆ ดาวก็หายไปหลังก้อนเมฆ ดาวไม่โผล่ออกมาอีกเลย ตอนนั้นฉันตกใจและกังวลว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันรู้เพียงว่าต้องหันหลังกลับให้ดาวอยู่ข้างหลัง ฉันทำ
     ด้วยเหตุที่บินออกมาไกลเกินไป ท้องฟ้าสว่างจนไม่เห็นดวงดาวอีก มันสว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันชักจะแสบตา เหนืออื่นใดตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน
     ฉันตีปีกบินวนเป็นวงอยู่เช่นนั้นเหนือพื้นน้ำเบื้องล่าง ทะเลสะท้อนแสงระยิบ  หัวใจฉันเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ นี่ฉันจะกลับอย่างไรกัน ฉันหลงทางกลางฟ้า ไม่รู้ทิศทางหนแห่งตำแหน่งใด ๆ ทิ้งสิ้น ความหวาดหวั่นโหมเข้าใส่จิตใจอย่างรุนแรง
     พลังลึกลับยื่นมือเข้ามาช่วยฉันเป็นอันดับแรก จู่ ๆ ฉันก็หันปลายปีกให้ตรงกับดวงไฟอีก ให้มันอยู่ด้านซ้าย ฉันไม่ผละจากแนวบินนี้เด็ดขาด ฉันคิดเช่นนั้น ฉันต้องรักษาวิถีนี้ไว้ให้มั่นคง ฉันบินโดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำเช่นนี้
     กลิ่น กลิ่นนั่น กลิ่นแผ่นดินของฉัน กลิ่นรวงรัง ฉันจำกลิ่นนี้ได้ เป็นกลิ่นที่ฉันสูดดมอยู่ตั้งแต่ฉันเกิด  บ้าน ฉันหาทางกลับบ้านได้แล้ว ฉันรู้แล้วว่า รังฉันอยู่ที่ไหน
     และนี่เองเป็นเครื่องตอกย้ำฉันว่า ฉันไม่มีวันหลงทางอีกแน่นอน นกอย่างเราต้องบินไปได้ตลอดด้วยดาวนั่น พลังลึกลับ และกลิ่น เราจะจดจำและบอกทิศทางตำแหน่งของเราได้ เราจะบินข้ามทะเลได้ ทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือก็เพียงรอให้ได้เวลาที่ถูกต้อง
     เมื่อฉันกลับถึงรังก็รู้ว่า เวลาที่รอนั้น ไม่นานแน่นอน
     "เกิดอะไรขึ้น?"
     "ลูกนกสองตัวถูกนกสีดำจิกเอา"
     เป็นลูกนกขาวรุ่นใหม่ มันเปื้อนเลือด  ขนขาดกระจุย ตัวสั่นงันงกคราวอย่างระทดระทวย
     "ทำไม?" ฉันถาม
     "ข้ามเขต ลูกนกบินล้ำอาณาบริเวณที่พวกนั้นหากิน มันถือว่าบุกรุก"
     "นกสีดำทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือนี่" ฉันไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่า นกที่นี่แยกกันเด็ดขาดกระนั้นหรือ ความหวาดกลัวของนกดำที่มีต่อนกขาว ทำให้เราเป็นนกสองเผ่าพันธุ์ไปแล้ว
     "ฉันจะไปพูดกับนกดำ"
     "นายอาจถูกพวกเขารุมตีเอาก็ได้นะ" เป็นเจ้าขนอ่อนที่ท้วงทัก นกขาวอื่น ๆ ก็สนับสนุนโดยการร้องครางในคอ
     "ต้องมีข้อสรุปในเรื่องนี้ เราต้องกล้าที่จะเผชิญกับผู้ที่เคยเรืองอำนาจ ดูว่าเขาจะเอายังไง"
     "จ่าฝูงเป็นพ่อของหมอก บางทีเขาอาจยอมพูดด้วย"
     ใช่แล้ว พ่อของฉัน เราไม่ได้พบกันมานานแล้ว เราต้องตกลงกัน
     "นกขาว ไปอยู่ส่วนนกขาวเถอะ เราไม่ใช่พวกเดียวกันอีกแล้ว"
     "เพราะเหตุใด พ่อฉัน บอกที นกขาวทุกตัวล้วนสืบสายมาจากนกดำ เราเป็นนกเดียวกัน"
     "เจ้าและพวกของเจ้ามันแปลกใหม่ ปีกกล้า แข็งแรง แตกต่าง พวกเจ้าเปลี่ยนรูปเปลี่ยนพันธุ์ไปแล้ว"
     ฉันหยุด นกดำที่นี่ไม่ยอมรับนกขาวอีกต่อไป พวกเขากลัวของใหม่ หวาดหวั่นในการเปลี่ยนแปลง พวกเขากลัวความอ่อนแอของตัวเอง ห่วงว่าต่อไปอำนาจในการนำฝูงจะตกอยู่ในหมู่นกขาว
     "หมอกเอ๋ย เจ้ากล้าแกร่ง แต่ไม่ใช่พวกเรา อย่าล้ำมาในถิ่นของเราอีก"
     "แต่ถิ่นตรงนี้ อาหารอุดมกว่า"
     "เป็นเรื่องที่เจ้าต้องหาทางเอาเอง ถ้าเจ้าฝ่าฝืน เราคงต้องแตกหักรุนแรง"
     ถ้าแม้นนกขาวจะรวมกำลังขึ้นต่อต้านก็น่าจะพอทำได้ ฉันเข้าใจแล้วที่ท่านผู้เฒ่าบอกว่าพวกนกดำกลัวพวกเรา อำนาจที่เริ่มจะเปลี่ยนมือ พวกเขาพยายามจะยื้อยุด
     "พ่อฉัน เราจะไม่ล่วงล้ำถิ่นอีก เหนืออื่นใด เราจะเปลี่ยนวิถีใหม่ เราจะไปยังที่ใหม่ในเร็ววัน ที่นี้เก่าไปแล้ว มันมีแต่สิ่งเดิม ๆ เราจะไปสู่สิ่งที่ดีกว่า"
     ฉันจากมาจากนกดำผู้พ่อซึ่งเป็นจ่าฝูง บัดนี้เราคืออีกเผ่าพันธุ์ ฉันเล่าข้อตกลงให้นกขาวฟังฉันเล่าถึงพลังลึกลับ ฉันเล่าถึงการจำกลิ่นที่อยู่ ฉันบอกว่า พวกเราแข็งแกร่ง เราจะบินไกลข้ามทะเลไปหาแผ่นดินใหม่ และฉันเชื่อว่าฤดูหนาวถัดไปคือวันของเรา วันที่เราจะฝ่าความเยียบเย็นไปสู่ชีวิตใหม่
     ฤดูร้อนหฤโหดผ่านพ้นไป ฝนตกเข้ามาแทนที่ ใบไม้แตกยอด แมลงชุกชุม แต่มันไม่เพียงพอกับนกสองฝูงนี้ ฉันรอที่จะบิน ทุกตัวรอที่จะบิน
     หลังจากวันที่ฉันหลงทาง นกขาวตัวอื่นก็สังเกตพบสิ่งเดียวกับที่ฉันพบ อำนาจที่มาปรับความรับรู้เรื่องทิศทางของเรา มันดุจดังแม่เหล็กที่มาชักจูงให้เรารู้ว่าควรจะชี้หัวหางไปไหน ประสาทรับกลิ่นที่เยี่ยมยอดโดยเฉพาะรุ่นใหม่ แต่ดวงดาวนั่น มันกลับซ่อนตัวมิดชิดหลังเมฆฝนเทาทมึน
     "เราจะบินได้ไหมถ้าไม่มีดาวนิ่งดวงนั้น"
     "ดาวนิ่ง เป็นชื่อที่ดีกว่าดาวประหลาด แต่ฉันว่ามันน่าจะมีชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น"
     ฉันกับปุยเมฆเกาะกิ่งไม้หนาวสั่นรับสายฝนที่เทลงมา นกหลายตัวกลัวเช่นเดียวกับปุยเมฆ  เรามีเพียงดาวประหลาดเป็นจุดสังเกตเดียวที่ดีที่สุดบนฟ้ายามมืด
     ฝนซาลงในขณะที่ปุยเมฆเผลอหลับ ไม่นานนักฝนก็หยุด ฉันมองหาดาวนั่นอีก เมฆเปิดช่อง  มันปรากฏหน้ามาให้เห็น ฉันสบตากับมันอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่ฉันจะหลับไปเมื่อดวงไฟพ้นผิวดิน ฉันไม่เห็นดาวเปลี่ยนตำแหน่ง
    นกขาวล้วนรุ่นที่สองเริ่มบินในคืนนี้เอง
     ปีนี้เรามีลูกเร็วกว่าปีที่แล้ว ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ฉันรู้แต่ว่าพวกเราคึกคัก ตื่นเต้น พวกเราพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ต้องมีการทบทวนสิ่งที่ฉันพูดไว้เมื่อคราวทำข้อตกลงกับนกดำ ทุกตัวรู้ด้วยตัวเองว่า เราคงจะได้ไปกันแล้ว
     พวกเราซ้อมจับหมู่บินเป็นกลุ่ม บินตามกันไป เลี้ยวซ้าย  เลี้ยวขวา พวกเราจับฝูงบินกันอย่างพร้อมเพรียง บางทีมีนกดำบินสวนมาก็ต้องตกใจบินเตลิดไป ไม่ผิดแล้ว เราพร้อมที่จะอพยพกันจริง ๆ
     "หมอก เราจะไปกันเมื่อไร"
     "ขนอ่อน พวกเรายังพอมีเวลาให้ลูกนกแข็งกว่านี้ถึงคืนนี้พวกเราควรกินเราต้องสะสมพลังงานให้เต็มที่ กินแมลงทุกตัวในเขตของเราอย่าให้เหลือ เราต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อจะบินไปสู่ถิ่นใหม่ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไกลเท่าใด เพราะฉะนั้นเราต้องสะสมพลังงานให้เต็มที่"
     "ดีละ ฉันจะกระจายคำพูดไปให้นกทุกตัว"
     "หมอก ดาวนั่น"
     "ทำไมหรือปุยเมฆ"
     "มันนิ่ง"
     "อะไรนะ?"
     ขนอ่อนผวามองดาวประหลาดทันที ฉันระงับใจไว้นานแล้ว ฉันจับตาดูมันตลอดคืนที่ผ่านมา ฉันจึงเข้าใจว่านกขาวตัวใดก็ตามที่บังเอิญแหงนหน้ามองดาวซักพักก็ต้องเข้าใจว่ามันนิ่ง แท้ที่จริงมันยังเคลื่อนที่อยู่
     "ถ้าจับตาดูมันทั้งคืน มันจะเปลี่ยนตำแหน่ง เชื่อฉันเถอะ บางทีอีกซักเจ็ดคืน มันอาจจะนิ่ง"
     คำพูดถ่ายทอดไปทั่ว เจ็ดคืน นกทุกตัวคิดว่าเจ็ดคืนแน่ ๆ ฉันไม่อาจหยุดความเชื่อนี้ได้อีกแล้ว
     เพราะฉะนั้นนกทุกตัวจึงจับแมลงกันเป็นบ้าเป็นหลัง บางตัวก็แอบข้ามเขตไปยังถิ่นนกดำเนื่องจากที่นั่นสมบูรณ์กว่า ฉันได้ออกคำสั่งห้ามไปทั้งฝูง ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่อง
     แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้ในคืนที่เจ็ดนั่นเอง
     "เสียงอะไรน่ะ"
     "มีนกตีกัน หมอก มีนกตีกันในเขตโน้น นกขาวคงล้ำเขตแล้วล่ะ"
     "ใช่ ไปดูกันเถอะ"
     ฉันบินเต็มที่ไปยังต้นเสียง รู้สึกมีนกขาวบินตามไปอีกหลายตัวอย่างพร้อมเพรียง เสียงนกเจี๊ยวจ๊าวลั่น  เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงมาก พวกนั้นอยู่ที่นั่น นกดำฝูงใหญ่รุมจิกตีนกขาวเพียงตัวเดียว
     "หยุดเถอะ พวกท่านหยุดเถอะ"
     "มันล้ำเข้ามา เราต้องลงโทษ"
     ทุกสิ่งสงบลง ฉันมองดูนกขาว มันไม่ขาวทีเดียว แม้ขนจะกระจุยกระจาย เลือดจะสาด ปีห้อยดูเกือบไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ฉันจำได้ดี เจ้าขนอ่อน มันเกาะนั่งบนกิ่งไม้ ทรงตัวแทบไม่อยู่ โงนเงนโซเซ อ่อนล้า ขนอ่อนหมุนตัวมาอย่างเหงาหงอย พยายามอ้าปาก แต่เสียงนั้นไม่หลุดออกมา
     "เราช่วยไม่ได้ หมอก มันเข้ามาเอง มันสมควรได้รับผลนี้"
     ฉันรับรู้กระแสกราดเกรี้ยวของนกขาวได้ พวกนั้นเต็มไปด้วยความเครียดแค้น ทะยอยกันบินมาเกาะไม้ทีละตัว ทีละตัว จนขาวโพลนไปหมด นกขาวทุกตัวมารวมกัน คำรามในลำคอเสียงชวนขนลุก ฉันมองดูนกดำ พวกนั้นกระโดดบ้าง บินบ้าง รวมตัวกัน มันกลัว
     เจ้าขนอ่อนหอบหายใจ เลือดออกทั่วตัว มันกำลังจะตาย ชะตากรรมนี้เสี่ยงไม่ได้แล้ว แววตาของมันเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ เจ้าขนอ่อนคงอยากพูดว่า เสียใจที่ไปด้วยไม่ได้
     นกขาวเริ่มสงบลง นิ่งเงียบจนทำให้เกิดความหวาดกลัวต่อพวกนกดำมากขึ้นไปอีก
     และแล้ว เจ้าขนอ่อนก็หมดแรง มันโงนเงนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ร่วงละลิ่วลงจากต้นไม้ ลงสู่พื้นเบื้องล่าง ฉันจดจำภาพไว้อย่างแม่นยำ เสียงแหวกอากาศของร่างเจ้าขนอ่อนคล้ายจะแปลเป็นคำได้ว่า
     บิน
     ทันที่ที่ขนอ่อนสงบนิ่งบนพื้นดิน ฉันและพวกพ้องก็กรีดร้อง ตีปีกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกเราบินวนรอบใหญ่หนึ่งรอบแล้วก็บ่ายหน้าเข้าหาเป้าหมาย ดาวประหลาดหยุดนิ่งแล้ว มันไม่เคลื่อนที่แล้วมันลอยสว่างอยู่ที่เดิมตลอดคืน นั่นคือทิศทางที่เราบ่ายหน้าไป เราออกจากแดนดินเดิมไปเริ่มชีวิตใหม่ มีดาวดวงเดียวลอยเหนือพวกเราเป็นเครื่องชี้ทาง และมันจะอยู่ที่เดิมไปอีกนานเป็นพันเป็นหมื่นปี นกขาวทุกตัวเข้ากลุ่มบินอย่างพร้อมเพรียง ทิ้งป่าไม้เก่าที่เคยอยู่ไว้เบื้องหลัง ตรงไปข้างหน้าสู่การเริ่มต้นใหม่ เสียงแหวกอากาศของร่างขนอ่อนก้องอยู่ในหูฉันชัดเจน
     บิน



ติดตามอ่านผลงานเรื่องต่อไป....คลิกที่นี่
กลับสู่เมนูหลัก
1