วิทยาศาสตร์กับนิยายโคลน
                                                                                                                                                                                                         ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย
(ตีพิมพ์ในวารสารอัพเดท บริษัทซีเอ็ดยูเคชัน(มหาชน) ปีที่11  ฉบับที่ 130 เมษายน 2540)
 
" ทบทวนจินตนาการโคลนในรูปนิยายวิทยาศาสตร์
และหาความเป็นไปได้จากแง่มุมของความเป็นจริง "
     เรื่องราวของโคลนนิ่งเป็นข่าวฮือฮากันมากมายตลอดช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้บรรดาทีมงานอัพเดทต้องปวดหัว ต้องทบทวนทฤษฎีการโคลนกันใหม่อีกรอบ  บางคนกระอักเลือดออกมาเป็นโคลนไปแล้ว
     ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา ทั้ง ๆ ที่ทำโคลนกันมาตั้งนานแล้ว เมื่อสองปีก่อนตอนที่มีการทดลองโคลนตัวอ่อนมนุษย์ ข่าวยังไม่ดังเท่านี้เลย
     ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักและทดลองการโคลนกันเป็นว่าเล่นอยู่นี้ เรื่องของการโคลนก็เคยปรากฏในนิยายวิทยาศาสตร์มาบ้างแล้ว ก่อนจะเกิดคำว่าโคลนด้วยซ้ำไป  แต่การแพร่กระจายของนิยายโคลนก็ต้องเกิดขึ้นหลังการทดลองทางวิทยาศาสตร์อันเป็นที่มาของแนวคิดในการนำเซลล์ร่างกายมาสร้างขีวิตขึ้นใหม่อยู่ดี
     ลองไปแกะเส้นทางนิยายโคลนกันสักหน่อยดีกว่า
 
นิยายโคลน
     ถึงวินาทีนี้ หลายคนคงพอเข้าใจความหมายของคำว่าโคลนกันบ้างแล้ว พูดอีกนิดจะเป็นไรไป โคลนก็คือ การเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตต้นแบบ การเกิดขึ้นนี้ไม่อาศัยการสืบพันธุ์แบบมีเพศ แฝดแท้ก็ถือเป็นโคลน โดยเราไม่นับขั้นตอนการปฏิสนธิ แต่จะนับตั้งแต่ตัวอ่อนเริ่มแบ่งตัวเป็น 2 ชีวิต
     การโคลนนั้นพบอยู่แล้วกับสิ่งมีชีวิตจำพวกโปรโตซัว สัตว์ชั้นต่ำหลายชนิด หรือแม้แต่สัตว์มีกระดูกสันหลังบางพันธุ์ (หายากมาก  อาจจะพบว่าไข่ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบางชนิดที่ไม่ได้รับการผสมกับอสุจิ สามารถเจริญเป็นตนขึ้นมาได้เหมือนกัน ซึ่งก็จะมีลักษณะเหมือนกับตัวแม่)
     สำหรับการโคลนในนิยายเกือบทั้งหมดเป็นกระบวนการที่มนุษย์ทำขึ้นเอง และเป็นการโคลนมนุษย์ มักจะสอดคล้องกับวิทยาการปัจจุบันคือ มีการย้ายนิวเคลียสจากต้นแบบไปใส่ในไข่ที่ดึงเอานิวเคลียสออกไป  แล้วนำไปฝังเข้าในมดลูกอีกที

     นิยายโคลนรุ่นแรก ๆ น่าจะเป็นเรื่อง Brave New World (พ.ศ. 2475) ของ Aldous Huxley และ The World of A ของ A.E.Van Vogt เขียนในปี พ.ศ. 2488  ซึ่งก็ไม่ได้ให้รายละเอียดวิธีการโคลนที่ชัดเจนนัก
     โคลนที่ไม่ได้อาศัยกระบวนการดังกล่าวก็มีในนิยายวิทยาศาสตร์ อาจจะอาศัยการทำสำเนามวลสารขึ้นมา เช่น นิยายของ William F. Temple เรื่อง Four-Sided  Triangle (ปี พ.ศ. 2492) และ Double Jeopardy ของ Fletcher Pratt (ปี พ.ศ. 2495) การโคลนด้วยกระบวนการนี้อาศัยทฤษฎีของเครื่องย้ายมวลสาร  (อย่างในเรื่อง Star Trek) ก่อนจะย้ายมวลสารก็ต้องมีข้อมูลของสสารต้นทาง ซึ่งน่าจะใช้เป็นข้อมูลในการสังเคราะห์สสารอย่างเดียวกันขึ้นมาได้อีกชุดหนึ่ง

     นิยายของ Robert Heinlein เรื่อง By His Bootstraps เป็นนิยายเกี่ยวกับการเดินทางไปกับเวลา เมื่อตัวละครของเรื่องผ่านไปที่เวลาต่าง ๆ ก็จะเจอร่าง "โคลน"  ของตัวเอง  นี่ก็จัดเป็นนิยายโคลนได้เช่นกัน เช่นเดียวกับเรื่อง The Man Who  Folded Himself ของ David Gerrold
     นอกจากนีก็มีนิยายโคลนที่เกิดจากสังคมที่มีแต่ผู้หญิง ซึ่งมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่นเรื่อง Virgin Planet (พ.ศ. 2502) ของ Poul Anderson, World Without Men (พ.ศ. 2501) ของ Charles Eric
     นิยายที่พูดมาทั้งหมดนี้ ยังไม่มีการใช้คำว่า โคลนเลย คำว่าโคลนเริ่มแพร่หลายเมื่อ Gordon Rattray Taylor ได้เขียนหนังสือ Biological Time-Bomb ขึ้นในปี พ.ศ. 2511  เขาได้กล่าวถึงการทดลองของ F.C.Steward ที่ได้กระตุ้นเซลล์บริเวณรากของแครอทให้สามารถเจริญเป็นต้นแครอทต้นใหม่ได้ ต่อมา  J.B.S.Haldane ได้เสนอว่า น่าจะเป็นไปได้ที่เราจะเอาเซลล์ใด ๆ ของร่างกายมนุษย์ก็ได้มาสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่โดยมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกัน

     ก่อนที่คำว่าโคลนจะแพร่หลาย นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ได้คิดถึงกระบวนการเช่นเดียวกันนี้มาบ้างแล้ว ดังเช่น  เรื่องสั้นของ Poul Anderson เรื่อง  UN-Man แต่เขาใช้คำว่า "exogenesis" แทน นอกจากนี้ก็มีเรื่อง The Multi-Man ของ John Russell  Fearn  และ When You Care, When You Love ของ Theodore Sturgenn ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ ตัวเอกของเรื่องซึ่งรวยมาก พยายามจะโคลนชายที่เธอรักขึ้นมาโดยใช้เซลล์ระเร็งของชายคนนั้น

     มีสิ่งหนึ่งที่เกิดเป็นคำถามในเรื่องโคลนโดยปรากฏอยู่ในงานเขียนของ Taylor นั่นคือการตั้งคำถามว่า บรรดาสมาชิกที่เกิดจากการโคลนจะมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันหรือไม่ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้มีระบบประสาทหรือการสื่อสารที่เชื่อมโยงถึงกันโดยตรงก็ตาม คำถามทำนองนี้มาปรากฏเป็นแนวของงานเขียนหลายชิ้น อาทิ เรื่องสั้นเรื่อง Nine Lives (พ.ศ. 2512) ของ Ursula K.LeGuin, Cloned Lives (พ.ศ. 2519) ของ Pamela Sargent, Where Late the Sweet Birds Sang (พ.ศ. 2519) ของ Kate Wilhelm

     งานเขียนเหล่านี้อาจจะเป็นตาน้ำในการกระตุ้นให้เกิดความสนใจในเรื่องจิตวิทยา ความผูกพันของสมาชิกที่เป็นโคลน แต่ถึงกระนั้น ในความเป็นจริง แม้จะโคลนมาจากเซลล์เดียวกัน สมาชิกกลุ่มโคลนก็น่าจะมีความเหมือนกัน สัมพันธ์กันเฉพาะทางด้านพันธุกรรม และเหมือนกันจนถึงเวลาคลอดเท่านั้น ทั้งนี้สมาชิกโคลนทั้งหลายอาจจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน

     ความจริงข้อนี้ปรากฏในนิยายเรื่อง The Boys from Brazil (พ.ศ. 2519) ของ Ira Levin เมื่อ นีโอ-นาซี พยายามจะโคลนฮิตเลอร์ขึ้นมาใหม่โดยให้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมและประสบการณ์เฉกเช่นที่ฮิตเลอร์เคยผ่านมา แนวคิดทั้งหลายเหล่านี้เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจสำหรับการค้นหาความเป็นเอกเทศ ความสัมพันธ์ ของมนุษย์ทั้งที่เป็นมนุษย์ธรรมดาและมนุษย์โคลน

     นิยายโคลนเรื่องอื่น ๆ อีกก็มีเช่น
     - Solution Three (พ.ศ. 2518) ของ Naomi Mitchison กล่าวถึงสภาพสังคมแบบดิสโทเปีย
     - Joshua, Son of None (พ.ศ. 2516) ของ Nancy Freedman ซึ่งมีการพยายามโคลน จอห์น เอฟ เคนเนดี้
     - Clone (พ.ศ. 2515) ของ Richard Cowper เมื่อเด็กที่เกิดจากการโคลนมีอำนาจเหนือมนุษย์ เด็กเหล่านี้จึงถูกลบความทรงจำและแยกกันอยู่แต่เด็กคนหนึ่งกลับจดจำบางสิ่งบางอย่างได้
     - The Iron dream (พ.ศ. 2515) ของ Norman Spinrad
     - Imperial Earth (พ.ศ. 2518) ของ Arthur C.Clarke
     - The Multiple Man (พ.ศ. 2519) ของ Ben Bova
     - The Ophiuchi Hotline (พ.ศ. 2520) ของ John Varley
     - The Fifth Head of Cerberus (พ.ศ. 2515) ของ Gene Wolf

     และนิยายวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลฮูโก, เนบิวลาและดิทมาร์เรื่อง The Forever War (พ.ศ. 2518) ของ Joe Haldeman เมื่อมนุษย์ไม่อาจสื่อสารกับชีวิตต่างดาว (ซึ่งเกิดจากการโคลน) ได้รู้เรื่อง ความไม่เข้าใจถึงความแตกต่างของชีวิตเอกเทศและชีวิตที่เป็นหนึ่งก่อให้เกิดสงครามเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งมนุษย์เริ่มที่จะโคลนมนุษย์ด้วยกันเอง ความเข้าใจจึงเกิดขึ้น  สงครามจึงยุติ ประโยคแรกที่ชีวิต 2 กลุ่มต่างก็ถามซึ่งกันและกัน (เมื่อคุยกันรู้เรื่อง) ก็คือ "ทำไมคุณถึงเริ่มสงครามกับเรา?"
     The Forever War อาจเป็นนิยายที่มีนัยถึงสงครามเวียดนาม แต่แนวคิดของเรื่องก็ยังกลับไปสู่คำถามเชิงจิตวิทยาว่า สมาชิกกลุ่มโคลนมีความเป็นปัจเจกหรือร่วมหมู่กันเพียงใด
 
ความเป็นจริงของโคลนนิ่ง
     ในนิยาย  ทฤษฎีเพียงเล็กน้อยก็สามารถขยายออกเป็นเรื่องราวที่จริงจังขึ้นมาได้ โคลนนิ่งก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น กระบวนการที่ใช้ในการโคลนจึงมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปได้หลายอย่าง
     ในนิยายอาจจะโคลนมนุษย์โดยการให้มนุษย์ต้นแบบเข้าไปอยู่ในตู้พิเศษแล้วก็เกิดกระบวนการพิเศษ อาจมีรังสีประหลาด ทำให้ผลิตมนุษย์โคลนออกมาได้และมักจะได้มนุษย์โคลนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเหมือนกับร่างต้นแบบ
     อีกกระบวนการหนึ่งก็ใช้กระบวนการทางชีววิทยาจริง ๆ อย่างที่เราเห็นและอ่านข่าวการโคลนนิ่งทั้งหลาย นั่นคือใช้นิวเคลียสจากเซลล์ต้นแบบไปใส่ในไข่ที่เอานิวเคลียสออกไปแล้ว แล้วนำไปฝังตัวในมดลูก  อาจจะเป็นมดลูกเทียมก็ได้ มนุษย์โคลนจากระบวนการนี้จะค่อย ๆ โต จากเด็กเป็นผู้ใหญ่

     สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในนิยายอีกอย่างก็คือจะมีร่างโคลนเป็นจำนวนมาก อาจเป็นร้อย เป็นพัน ซึ่งก็มีจุดประสงค์เฉพาะ และร่างโคลนมักจะมีความคิดอ่านเหมือนกัน ถ้าเป็นคนดีก็ดีเหมือนกัน ถ้าร้ายก็ร้ายด้วยกัน มีบ้างเหมือนกันที่คู่โคลนมีอุปนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง

     ถ้ามาดูในแง่ความเป็นไปได้จริงในเชิงวิทยาศาสตร์ เราจะเห็นว่า กระบวนการสร้างมนุษย์โคลนจนถึงเวลานี้ ยังไม่มีความเป็นไปได้ของตู้พิเศษหรือรังสีลึกลับใด ๆ ทั้งสิ้น (และไม่น่าจะเป็นไปได้) การสร้างมนุษย์โคลนด้วยกระบวนการชีววิทยามีความเป็นไปได้สูงกว่า โดยเฉพาะหลังการทดลองสร้างแกะดอลลี่จากเซลล์เต้านม ถึงแม้เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จยังต่ำ แต่ก็พอจะเห็นวี่แววว่าเป็นไปได้จริง

     ในกรณีของจำนวนของร่างโคลนจำนวนมากก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด  (อ่านรายละเอียดในบทความเรื่องโคลนโดยตรง) เพราะเราสามารถแยกเซลล์ของตัวอ่อนที่กำลังแบ่งตัวออกมาได้หลายตัว เราจึงสามารถสร้างร่างโคลนได้เป็นร้อย เป็นพันได้ แต่ถึงกระนั้น ร่างโคลนจำนวนมากก็มีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้มาก ประเด็นนี้นักวิทยาศาสตร์คงต้องศึกษากันต่อไป
     มนุษย์โคลนที่เกิดขึ้นมาจะมีขนาดโตเหมือนต้นแบบเลยหรือไม่ น่าจะเป็นไปได้ยากกระบวนการโคลนต้องผ่านขั้นตอนการเจริญเติบโตเหมือนมนุษย์จริงทั่วไป ดังนั้น ร่างโคลนที่เกิดขึ้นก็ต้องพัฒนาจากทารก เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และกว่าที่ร่างโคลนจะโตได้เท่าต้นแบบ บางทีต้นแบบอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้
     เว้นไว้แต่ว่า วิทยาศาสตร์ได้ก้าวล้ำไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือ มีวิทยาการของมดลูกเทียมที่ดี และเข้าใจกลไกของชีวิตอย่างลึกซึ้งเพียงพอที่จะเร่งกระบวนการเจริญเติบโตของตัวอ่อนจากการโคลนให้เร็วพอที่จะทำให้ร่างโคลนมีพัฒนาการด้านร่างกายอย่างรวดเร็ว และโตทันร่างต้นแบบในเวลาไม่นาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากและอาจเกิดปัญหาตามมาก็ได้ ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับด้านความคิดอ่านของร่างโคลน

  ร่างโคลนจะมีความคิดอ่าน ความสามารถ เหมือนกับร่างต้นแบบหรือไม่ เมื่อเรานำเซลล์ของฮิตเลอร์มาโคลน เราจะได้ฮิตเลอร์คนที่สองหรือไม่ เราสามารถโคลนกวีอย่างสุนทรภู่ขึ้นมาได้หรือเปล่า เราจะโคลนคนเพื่อเป็นทหารโดยเฉพาะได้หรือ

     ถึงแม้ว่าเราจะใช้เซลล์จากร่างต้นแบบก็ไม่ได้หมายความว่าร่างโคลนจะเหมือนกับต้นแบบไปทั้งหมด  ฝาแฝดที่เป็นแฝดแท้โดยธรรมชาติซึ่งถือว่าเป็นโคลนด้วยก็มีลายมือที่แตกต่างกัน แม้จะมีลายพิมพ์ดีเอ็นเอเหมือนกันก็ตาม
     ข้อสำคัญ ในด้านความคิดอ่านและความสามารถนั้น เป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์อย่างมาก นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า เป็นอิทธิพลจากพันธุกรรมเพียง 15 เปอร์เซ็นต์และอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมถึง 85 เปอร์เซ็นต์ จึงพอจะพูดได้ว่าร่างโคลนจะมีความสามารถเหมือนร่างต้นแบบนั้นน่าจะเป็นไปได้น้อย
     เพราะฉะนั้น ความกลัวที่ว่าจะโคลนคนเลวเพื่อมาเป็นคนเลว ก็อาจจะไม่น่ากลัว ในขณะที่การโคลนคนดีเพื่อให้ได้คนดีอาจจะน่ากลัวกว่าก็เป็นได้

     จากที่พูดนี้ หลายคนอาจจะเห็นปัญหาของการโคลนให้ได้มนุษย์โคลนที่โตเป็นผู้ใหญ่โดยผ่านกระบวนการเร่งการเติบโตก็ได้ว่า ร่างโคลนจะโตขึ้นมาโดยไม่ได้รับประสบการณ์ที่มากพอ เป็นร่างโคลนที่มีสมองว่างเปล่า ร่างโคลนนั้นอาจมีระดับสติปัญญาเทียบเท่ากับทารกก็เป็นได้


รูป
     1. Aldous Huxley ผู้เขียนเรื่อง Brave New World นิยายต้นตำรับโคลน
     2. A.E.Van Vogt เป็นอีกคนที่เขียนเรื่องประเภทโคลนไว้ในนิยายเรื่อง The World of A
     3. สังคมที่มีแต่เพศหญิงและสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศรวมทั้งใช้วิธีโคลนนิ่ง ปรากฏในนิยายเช่น Virgin Planet
     4.Arther C.Clarke เป็นอีกคนที่เขียนถึงการโคลนใน Imperial Earth เขาพูดถึงความพยายามรักษาราชวงศ์ไม่ให้สูญสิ้นด้วยการโคลน
     5. คำถาม คำอธิบาย ในประเด็นของความรู้สึกเป็นหนึ่งของสมาชิกโคลนก่อให้เกิดความขัดแย้งกับสังคมปกติปรากฏอยู่ในงาน Forever War ของ Joe Haldeman
     6. เราอาจจะโคลน ดาราให้มีจำนวนมากได้ แต่สมาชิกทั้งหมดไม่จำเป็นต้องแสดงหนังเป็น
หมายเหตุจากผู้จัดทำโฮมเพจ --- ยังไม่ได้สแกนรูปมาลงให้ครับ --- DigiTaL-KRASH!!!

กลับสู่เมนูหลัก
1