นิยายโคลนรุ่นแรก ๆ น่าจะเป็นเรื่อง Brave
New World (พ.ศ. 2475) ของ Aldous Huxley และ The
World of A ของ A.E.Van Vogt เขียนในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งก็ไม่ได้ให้รายละเอียดวิธีการโคลนที่ชัดเจนนัก
โคลนที่ไม่ได้อาศัยกระบวนการดังกล่าวก็มีในนิยายวิทยาศาสตร์
อาจจะอาศัยการทำสำเนามวลสารขึ้นมา เช่น นิยายของ William F. Temple เรื่อง
Four-Sided Triangle (ปี พ.ศ. 2492) และ
Double Jeopardy ของ Fletcher Pratt (ปี พ.ศ. 2495) การโคลนด้วยกระบวนการนี้อาศัยทฤษฎีของเครื่องย้ายมวลสาร
(อย่างในเรื่อง Star Trek) ก่อนจะย้ายมวลสารก็ต้องมีข้อมูลของสสารต้นทาง ซึ่งน่าจะใช้เป็นข้อมูลในการสังเคราะห์สสารอย่างเดียวกันขึ้นมาได้อีกชุดหนึ่ง
นิยายของ Robert Heinlein เรื่อง By
His Bootstraps เป็นนิยายเกี่ยวกับการเดินทางไปกับเวลา เมื่อตัวละครของเรื่องผ่านไปที่เวลาต่าง
ๆ ก็จะเจอร่าง "โคลน" ของตัวเอง
นี่ก็จัดเป็นนิยายโคลนได้เช่นกัน เช่นเดียวกับเรื่อง The
Man Who Folded Himself ของ David Gerrold
นอกจากนีก็มีนิยายโคลนที่เกิดจากสังคมที่มีแต่ผู้หญิง
ซึ่งมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่นเรื่อง Virgin
Planet (พ.ศ. 2502) ของ Poul Anderson, World
Without Men (พ.ศ. 2501) ของ Charles Eric
นิยายที่พูดมาทั้งหมดนี้ ยังไม่มีการใช้คำว่า
โคลนเลย คำว่าโคลนเริ่มแพร่หลายเมื่อ Gordon Rattray Taylor ได้เขียนหนังสือ
Biological Time-Bomb ขึ้นในปี พ.ศ. 2511 เขาได้กล่าวถึงการทดลองของ
F.C.Steward ที่ได้กระตุ้นเซลล์บริเวณรากของแครอทให้สามารถเจริญเป็นต้นแครอทต้นใหม่ได้
ต่อมา J.B.S.Haldane ได้เสนอว่า น่าจะเป็นไปได้ที่เราจะเอาเซลล์ใด ๆ
ของร่างกายมนุษย์ก็ได้มาสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่โดยมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกัน
ก่อนที่คำว่าโคลนจะแพร่หลาย นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ได้คิดถึงกระบวนการเช่นเดียวกันนี้มาบ้างแล้ว ดังเช่น เรื่องสั้นของ Poul Anderson เรื่อง UN-Man แต่เขาใช้คำว่า "exogenesis" แทน นอกจากนี้ก็มีเรื่อง The Multi-Man ของ John Russell Fearn และ When You Care, When You Love ของ Theodore Sturgenn ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ ตัวเอกของเรื่องซึ่งรวยมาก พยายามจะโคลนชายที่เธอรักขึ้นมาโดยใช้เซลล์ระเร็งของชายคนนั้น
มีสิ่งหนึ่งที่เกิดเป็นคำถามในเรื่องโคลนโดยปรากฏอยู่ในงานเขียนของ Taylor นั่นคือการตั้งคำถามว่า บรรดาสมาชิกที่เกิดจากการโคลนจะมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันหรือไม่ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้มีระบบประสาทหรือการสื่อสารที่เชื่อมโยงถึงกันโดยตรงก็ตาม คำถามทำนองนี้มาปรากฏเป็นแนวของงานเขียนหลายชิ้น อาทิ เรื่องสั้นเรื่อง Nine Lives (พ.ศ. 2512) ของ Ursula K.LeGuin, Cloned Lives (พ.ศ. 2519) ของ Pamela Sargent, Where Late the Sweet Birds Sang (พ.ศ. 2519) ของ Kate Wilhelm
งานเขียนเหล่านี้อาจจะเป็นตาน้ำในการกระตุ้นให้เกิดความสนใจในเรื่องจิตวิทยา ความผูกพันของสมาชิกที่เป็นโคลน แต่ถึงกระนั้น ในความเป็นจริง แม้จะโคลนมาจากเซลล์เดียวกัน สมาชิกกลุ่มโคลนก็น่าจะมีความเหมือนกัน สัมพันธ์กันเฉพาะทางด้านพันธุกรรม และเหมือนกันจนถึงเวลาคลอดเท่านั้น ทั้งนี้สมาชิกโคลนทั้งหลายอาจจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
ความจริงข้อนี้ปรากฏในนิยายเรื่อง The Boys from Brazil (พ.ศ. 2519) ของ Ira Levin เมื่อ นีโอ-นาซี พยายามจะโคลนฮิตเลอร์ขึ้นมาใหม่โดยให้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมและประสบการณ์เฉกเช่นที่ฮิตเลอร์เคยผ่านมา แนวคิดทั้งหลายเหล่านี้เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจสำหรับการค้นหาความเป็นเอกเทศ ความสัมพันธ์ ของมนุษย์ทั้งที่เป็นมนุษย์ธรรมดาและมนุษย์โคลน
นิยายโคลนเรื่องอื่น ๆ อีกก็มีเช่น
- Solution Three (พ.ศ.
2518) ของ Naomi Mitchison กล่าวถึงสภาพสังคมแบบดิสโทเปีย
- Joshua, Son of None
(พ.ศ. 2516) ของ Nancy Freedman ซึ่งมีการพยายามโคลน จอห์น เอฟ เคนเนดี้
- Clone (พ.ศ.
2515) ของ Richard Cowper เมื่อเด็กที่เกิดจากการโคลนมีอำนาจเหนือมนุษย์ เด็กเหล่านี้จึงถูกลบความทรงจำและแยกกันอยู่แต่เด็กคนหนึ่งกลับจดจำบางสิ่งบางอย่างได้
- The Iron dream
(พ.ศ. 2515) ของ Norman Spinrad
- Imperial Earth (พ.ศ.
2518) ของ Arthur C.Clarke
- The Multiple Man
(พ.ศ. 2519) ของ Ben Bova
- The Ophiuchi Hotline
(พ.ศ. 2520) ของ John Varley
- The Fifth Head of
Cerberus (พ.ศ. 2515) ของ Gene Wolf
และนิยายวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลฮูโก, เนบิวลาและดิทมาร์เรื่อง
The Forever War (พ.ศ. 2518) ของ Joe
Haldeman เมื่อมนุษย์ไม่อาจสื่อสารกับชีวิตต่างดาว (ซึ่งเกิดจากการโคลน) ได้รู้เรื่อง
ความไม่เข้าใจถึงความแตกต่างของชีวิตเอกเทศและชีวิตที่เป็นหนึ่งก่อให้เกิดสงครามเป็นเวลายาวนาน
จนกระทั่งมนุษย์เริ่มที่จะโคลนมนุษย์ด้วยกันเอง ความเข้าใจจึงเกิดขึ้น
สงครามจึงยุติ ประโยคแรกที่ชีวิต 2 กลุ่มต่างก็ถามซึ่งกันและกัน (เมื่อคุยกันรู้เรื่อง)
ก็คือ "ทำไมคุณถึงเริ่มสงครามกับเรา?"
The Forever War อาจเป็นนิยายที่มีนัยถึงสงครามเวียดนาม
แต่แนวคิดของเรื่องก็ยังกลับไปสู่คำถามเชิงจิตวิทยาว่า สมาชิกกลุ่มโคลนมีความเป็นปัจเจกหรือร่วมหมู่กันเพียงใด
ความเป็นจริงของโคลนนิ่ง
ในนิยาย ทฤษฎีเพียงเล็กน้อยก็สามารถขยายออกเป็นเรื่องราวที่จริงจังขึ้นมาได้
โคลนนิ่งก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น กระบวนการที่ใช้ในการโคลนจึงมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปได้หลายอย่าง
ในนิยายอาจจะโคลนมนุษย์โดยการให้มนุษย์ต้นแบบเข้าไปอยู่ในตู้พิเศษแล้วก็เกิดกระบวนการพิเศษ
อาจมีรังสีประหลาด ทำให้ผลิตมนุษย์โคลนออกมาได้และมักจะได้มนุษย์โคลนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเหมือนกับร่างต้นแบบ
อีกกระบวนการหนึ่งก็ใช้กระบวนการทางชีววิทยาจริง
ๆ อย่างที่เราเห็นและอ่านข่าวการโคลนนิ่งทั้งหลาย นั่นคือใช้นิวเคลียสจากเซลล์ต้นแบบไปใส่ในไข่ที่เอานิวเคลียสออกไปแล้ว
แล้วนำไปฝังตัวในมดลูก อาจจะเป็นมดลูกเทียมก็ได้ มนุษย์โคลนจากระบวนการนี้จะค่อย
ๆ โต จากเด็กเป็นผู้ใหญ่
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในนิยายอีกอย่างก็คือจะมีร่างโคลนเป็นจำนวนมาก อาจเป็นร้อย เป็นพัน ซึ่งก็มีจุดประสงค์เฉพาะ และร่างโคลนมักจะมีความคิดอ่านเหมือนกัน ถ้าเป็นคนดีก็ดีเหมือนกัน ถ้าร้ายก็ร้ายด้วยกัน มีบ้างเหมือนกันที่คู่โคลนมีอุปนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถ้ามาดูในแง่ความเป็นไปได้จริงในเชิงวิทยาศาสตร์ เราจะเห็นว่า กระบวนการสร้างมนุษย์โคลนจนถึงเวลานี้ ยังไม่มีความเป็นไปได้ของตู้พิเศษหรือรังสีลึกลับใด ๆ ทั้งสิ้น (และไม่น่าจะเป็นไปได้) การสร้างมนุษย์โคลนด้วยกระบวนการชีววิทยามีความเป็นไปได้สูงกว่า โดยเฉพาะหลังการทดลองสร้างแกะดอลลี่จากเซลล์เต้านม ถึงแม้เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จยังต่ำ แต่ก็พอจะเห็นวี่แววว่าเป็นไปได้จริง
ในกรณีของจำนวนของร่างโคลนจำนวนมากก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
(อ่านรายละเอียดในบทความเรื่องโคลนโดยตรง) เพราะเราสามารถแยกเซลล์ของตัวอ่อนที่กำลังแบ่งตัวออกมาได้หลายตัว
เราจึงสามารถสร้างร่างโคลนได้เป็นร้อย เป็นพันได้ แต่ถึงกระนั้น ร่างโคลนจำนวนมากก็มีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้มาก
ประเด็นนี้นักวิทยาศาสตร์คงต้องศึกษากันต่อไป
มนุษย์โคลนที่เกิดขึ้นมาจะมีขนาดโตเหมือนต้นแบบเลยหรือไม่
น่าจะเป็นไปได้ยากกระบวนการโคลนต้องผ่านขั้นตอนการเจริญเติบโตเหมือนมนุษย์จริงทั่วไป
ดังนั้น ร่างโคลนที่เกิดขึ้นก็ต้องพัฒนาจากทารก เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และกว่าที่ร่างโคลนจะโตได้เท่าต้นแบบ
บางทีต้นแบบอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้
เว้นไว้แต่ว่า วิทยาศาสตร์ได้ก้าวล้ำไปอีกขั้นหนึ่ง
นั่นคือ มีวิทยาการของมดลูกเทียมที่ดี และเข้าใจกลไกของชีวิตอย่างลึกซึ้งเพียงพอที่จะเร่งกระบวนการเจริญเติบโตของตัวอ่อนจากการโคลนให้เร็วพอที่จะทำให้ร่างโคลนมีพัฒนาการด้านร่างกายอย่างรวดเร็ว
และโตทันร่างต้นแบบในเวลาไม่นาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากและอาจเกิดปัญหาตามมาก็ได้
ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับด้านความคิดอ่านของร่างโคลน
ร่างโคลนจะมีความคิดอ่าน ความสามารถ เหมือนกับร่างต้นแบบหรือไม่ เมื่อเรานำเซลล์ของฮิตเลอร์มาโคลน เราจะได้ฮิตเลอร์คนที่สองหรือไม่ เราสามารถโคลนกวีอย่างสุนทรภู่ขึ้นมาได้หรือเปล่า เราจะโคลนคนเพื่อเป็นทหารโดยเฉพาะได้หรือ
ถึงแม้ว่าเราจะใช้เซลล์จากร่างต้นแบบก็ไม่ได้หมายความว่าร่างโคลนจะเหมือนกับต้นแบบไปทั้งหมด
ฝาแฝดที่เป็นแฝดแท้โดยธรรมชาติซึ่งถือว่าเป็นโคลนด้วยก็มีลายมือที่แตกต่างกัน
แม้จะมีลายพิมพ์ดีเอ็นเอเหมือนกันก็ตาม
ข้อสำคัญ ในด้านความคิดอ่านและความสามารถนั้น
เป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์อย่างมาก นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า
เป็นอิทธิพลจากพันธุกรรมเพียง 15 เปอร์เซ็นต์และอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมถึง
85 เปอร์เซ็นต์ จึงพอจะพูดได้ว่าร่างโคลนจะมีความสามารถเหมือนร่างต้นแบบนั้นน่าจะเป็นไปได้น้อย
เพราะฉะนั้น ความกลัวที่ว่าจะโคลนคนเลวเพื่อมาเป็นคนเลว
ก็อาจจะไม่น่ากลัว ในขณะที่การโคลนคนดีเพื่อให้ได้คนดีอาจจะน่ากลัวกว่าก็เป็นได้
จากที่พูดนี้ หลายคนอาจจะเห็นปัญหาของการโคลนให้ได้มนุษย์โคลนที่โตเป็นผู้ใหญ่โดยผ่านกระบวนการเร่งการเติบโตก็ได้ว่า
ร่างโคลนจะโตขึ้นมาโดยไม่ได้รับประสบการณ์ที่มากพอ เป็นร่างโคลนที่มีสมองว่างเปล่า
ร่างโคลนนั้นอาจมีระดับสติปัญญาเทียบเท่ากับทารกก็เป็นได้