แนะนำหลักการเขียนเรื่องสั้นโดยสังเขป
ข้อมูลสารคดีโดย DigiTaL-KRASH!!!   สิ่งต่างๆที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ผมสรุปได้จากการเข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ที่ชมรมนักเขียนและผู้จัดทำหนังสือวิทยาศาสตร์(นจวท.) จัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 24-25 ตุลาคม พ.ศ.2541 ที่ผ่านมา
    ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิและนักเขียนหลายๆท่านมาร่วมเป็นวิทยากร ผมจะสรุปหลักการเขียนคร่าวๆของวิทยากรแต่ละท่านให้ท่านผู้อ่าน ดังที่จะปรากฎต่อไปนี้  อนึ่ง ขอให้ท่านพึงระลึกไว้เสมอว่า ลีลาการเขียน หรือที่เรียกว่าสไตล์ นั้น เป็นสิ่งเฉพาะตัวของนักประพันธ์แต่ละคน ซึ่งไม่สามารถมีใครเลียนแบบใครได้ ดังนั้นสิ่งที่เป็นหลักการประพันธ์นั้นก็จะเป็นการนำทางท่านอย่างคร่าวๆ ว่าควรหลีกเลี่ยงการเขียนแบบใด หรือควรเขียนในลักษณะใดเท่านั้น มิได้หมายความว่า หลักการคิดโครงเรื่อง หลักการเขียน ฯลฯ ของแต่ละคนจะเหมือนกันเสมอไปครับ

การบรรยายในช่วงเช้า



สรุปใจความข้อบรรยายของศาสตราจารย์บุญถึง แน่นหนา
ตำแหน่ง ข้าราชการบำนาญ อดีตท่านเคยทำงานเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์ ประสานมิตร

- นักเขียนเปรียบเหมือนพ่อครัว การปรุงอาหารต้องทำให้ถูกปาก โดยต้องดูว่าใครเป็นผู้รับประทาน
โดยหากเขียนให้เด็กอ่าน อาจเขียนเป้นเรื่องนิยายสั้นๆได้ ขณะเดียวกันหากเขียนให้คนวัยรุ่น หรือหนุ่มสาว อายุ 18-25 ปี อ่านก็อาจต้องเน้นความจริงที่เป็นจริง
- นักเขียนในปัจจุบันควรมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ด้วย



สรุปใจความข้อบรรยายของคุณสาโรจน์ เกษมสุขโชติกุล
ตำแหน่ง ผู้ช่วยบรรณาธิการ วารสารอัพเดท บริษัทซีเอ็ดยูเคชัน

คุณสาโรจน์ตั้งข้อสังเกตว่านักเขียนเรื่องและสารคดีทางวิทยาศาสตร์ควรยึดถือและปฏิบัติในสิ่งเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์พึงกระทำ นั่นคือ
ควรยึดมั่นในเหตุและผล ในข้อมูลที่เป็นจริง และต้องคิดอย่างเป็นระบบ
     คุณสาโรจน์ทำงานประจำในการเขียนบทความสารคดีลงในวารสารอัพเดทเสมอ โดยได้เล่าถึงขั้นตอนการทำงานเขียนสารคดีและเรื่องทางวิทยาศาสตร์ของตนเองว่ามีการทำงานเป็นขั้นตอนดังนี้
1. คิดหัวเรื่อง ควรตั้งชื่อเรื่องให้น่าสนใจ
2. วางโครงเรื่อง หัวข้อ และความยาวของเรื่อง สำหรับสารคดีนั้นบทนำต้องขึ้นต้นให้ดี ชวนอ่าน อย่าเพิ่งขึ้นต้นด้วยศัพท์ทางเทคนิค ตัวเรื่องต้องกระชับ และการสรุป---หากเป็นเรื่องสำหรับเยาวชน---ต้องมีข้อเตือนใจและสอดแทรกความเห็นของผู้แต่งเข้าไปเพิ่มเติม
3. รวบรวมข้อมูล เป็นการออกหาข้อมูลและวัตถุดิบที่จำเป็นในงานเขียนที่กระทำอยู่
4. เริ่มลงมือเขียน ในขั้นนี้คุณสาโรจน์จะนำข้อมูลทั้งหมดมารวมกันแล้วเริ่มสังเคราะห์เรื่องออกมาจนสำเร็จ



สรุปใจความข้อบรรยายของรศ.ดร.ธีระชัย ปูรณโชติ
ตำแหน่ง อาจารย์ประจำภาควิชามัธยมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานชมรมนจวท. ประจำปี 2541

    อาจารย์ธีระชัยท่านได้กล่าวโดยเน้นไปในประเด็นของการเขียนเรื่องให้เด็กและเยาวชนอ่านเป็นหลัก มีใจความสำคัญว่า
"เด็กชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่ชอบให้สอนตรงๆ" ดังนั้นการเขียนเรื่องทางวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนต้องอย่าให้ดูเป็นหนังสือเรียน อย่าให้เด็กจับได้ว่าตั้งใจสอน วิธีการเขียนเรื่องสำหรับเด็กของอาจารย์คือใช้วิธีสมมติตัวละครที่ไม่มีอยู่ในความเป็นจริง เช่น นายแสง คุณไฟฟ้า หรืออื่นๆ ให้พูดประหนึ่งว่าเป็นบุคคลๆหนึ่งจริงในเรื่อง โดยอาจารย์มีขั้นตอนการเขียนเรื่องคือ
1. วางแผนการเขียน อาจารย์กล่าวว่าส่วนนี้อาจสำคัญที่สุด โดยอาจกินเวลาถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของเวลาที่เราใช้ในการผลิตงานเขียนชิ้นหนึ่งๆ
2. หาแกนของเรื่อง(theme) ซึ่งต้องอาศัยการอ่านเพิ่มเติมเพื่อประกอบการเขียนเรื่องนั้นๆ
3. หาพล็อตเรื่อง ฉาก และตัวละคร
อาจารย์ยังได้กล่าวเตือนผู้ที่อยากทำงานเขียนว่าต้นฉบับที่เขียนค้างไว้ หรือต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์แล้วชิ้นต่างๆ อย่าทิ้ง ให้เก็บไว้ในแฟ้ม
โดยอาจจะทิ้งก็ต่อเมื่อเรื่องนั้นๆได้รับการตีพิมพ์แล้ว

[หมายเหตุจาก DigiTaL-KRASH!!! สำหรับกรณีของผม ผมเก็บเป็นแฟ้มข้อมูล Ms-Word 97 เอาไว้ในฮาร์ดดิสก์เสมอและไม่เคยลบทิ้ง ซึ่งมาถึงขณะนี้ก็นำไปจ้างเขาอัดลงไปในแผ่นซีดีรอมแล้วเรียบร้อย ซึ่งผมว่าเป็นวิธีการเก็บที่ปลอดภัยและประหยัดเนื้อที่กว่ามาก]



สรุปใจความข้อบรรยายของรศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุปตระกุล (นามปากกา "ชัยคุปต์" หรือ "เตคีออน" หรือ "วัฒนชัย")
ตำแหน่ง เป็นอาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ มศว.ประสานมิตร เป็นที่ปรึกษาวารสารอัพเดท เป็นพิธีกร รายการชีวิตและจักรวาล รายการทันโลก ทันชีวิตซึ่งออกอากาศทุกวันพุธ เวลา21.30น. ทางITV เป็นนักเขียนบทความและนิยายวิทยาศาสตร์ (และอื่นๆอีกมากมาย)

ท่านกล่าวว่า ปัญหาของนักเขียนใหม่คือพยายาม ให้ กับคนอ่านมากเกินไปจนคนจับใจความไม่ถูก การเขียน ต้องดูว่าเขียนอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพเช่นด้านเนื้อหาสาระจะต้องให้อะไรกับคนอ่าน-ให้เกิดความคิดใหม่ๆหรือไปกระตุ้นบางอย่างในใจ หรือเช่นในด้านเทคนิคการเขียนซึ่งต้องพัฒนาให้น่าติดตาม
    ผู้ที่มีอาชีพเป็นนักวิชาการ และนักวิทยาศาสตร์ เป็นผู้ที่ยืนเป็นเสาหลักอีกหนึ่ง ในสังคมไทยนอกเหนือไปจากอาชีพครู จะเห็นว่าสื่อต่างๆในสังคมอาจเป้นปัญหาได้ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ ควรจะต้อง พูด เขียน และแสดง สิ่งที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (ถึงตอนนี้ท่านกล่าวถึงเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้อย่างเช่นเรื่องยูเอฟโอ ว่านักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการควรให้ข้อมูลที่มีเหตุผลพิสูจน์ได้เท่านั้น)

 กลับมาที่ประเด็นของการเขียน

 ชัยคุปต์กล่าวต่อว่างานเขียนมีทั้งในรูปแบบของ fact และ fiction การเป็นนักเขียนที่ดีคุณจะต้องเป็นนักอ่านที่ดีด้วย การเป็นนักเขียนต้องอย่ารีรอที่จะนำเอาเรื่องที่เขียนไปเสนอต่อบรรณาธิการ มิใช่รอให้ตนเองเขียนเรื่องไปหลายๆเรื่องจนได้เรื่องที่ดีที่สุด แล้วค่อยเอาไปนำเสนอ มิฉะนั้นก็จะไม่ได้เสนอสักที.....สำหรับมารยาทของนักเขียนนั้น หากส่งไปแล้วบรรณาธิการไม่ลงตีพิมพ์ให้ หรือไม่ตอบ ควรจะต้องมั่นใจว่าไม่ลงแน่ๆแล้ว จึงค่อยส่งไปเสนอให้ลงตีพิมพ์ที่อื่น หากว่าแน่ใจว่าเรื่องของเราดีจริง และหากได้ลงเพียงไม่กี่เรื่องก็อย่าเพิ่งดีใจ เพราะไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าเราดีจริง



สรุปใจความข้อบรรยายของอาจารย์วิริยะ ศิริสิงห์
ตำแหน่งอาจารย์ มศว.ประสานมิตร ผู้อำนวยการ สำนักพิมพ์ชมรมเด็ก อดีตบรรณาธิการวารสารชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์

    อาจารย์วิริยะ ได้เริ่มการบรรยายโดยกล่าวถึงลักษณะของหนังสือที่อ่านแล้วสนุก ท่านกล่าวว่า"ความสนุก" เกิดจากลักษณะ 4 อย่าง คือ
- เรื่องที่เขียน จะต้อง ตลกขบขัน (ซึ่งมุขตลกที่อ่านแล้วตลกนั้นอาจนิยามได้ยากนิดหนึ่ง เพราะจะขึ้นกับวัย ภูมิภาค และเชื้อชาติ)
- เรื่องที่เขียน จะต้อง ลึกลับตื่นเต้น อาจารย์ยกตัวอย่างว่าเด็กเล็กมักกลัวผีที่สุด แต่....หนังสือที่ขายดีที่สุดคือหนังสือเรื่องผี วิญญาณ สยองขวัญ
- เรื่องที่เขียน ภาษาที่ใช้นั้นจะต้องเหมาะกับวัยผู้อ่าน
- เรื่องที่เขียน จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์
    เมื่อเขียนเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้วให้อ่านแล้วถามตนเองว่าเรื่องของเราสนุกไหม ถ้าสนุกก็ค่อยนำมาพิจารณาต่อ ถ้าไม่สนุก แม้จะมีข้อมูลที่ถูกต้องก็ให้ละมันไปเสีย เพราะ "เรื่องที่ดี" กับ "เรื่องที่สนุก" มักเป็นคนละอย่างกัน (ตัวอย่าง "เรื่องที่ดี" ในที่นี้กินความถึงแนวๆ พวกวรรณกรรมอมตะ พงศาวดาร และอื่นๆที่แม้อ่านได้ยากหรือใช้ภาาายาก แต่มีคุณค่าในทางวรรณกรรม)

    หนังสือที่จัดว่าเป็น "หนังสือดี" ประกอบด้วย 6 ข้อคือ
1.ต้องสนุก
2.ต้องมีแก่นของเรื่อง(theme) ที่ดี
3.โครงเรื่องซาบซึ้งกินใจ
4.มีความเย้ายวนชวนอ่าน(โดยอาศัยเค้าโครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก กลเม็ดในการประพันธ์ บทเจรจา...ที่น่าติดตาม...เป็นต้น) 5.ตัวละครมีการพัฒนาไปพร้อมกับการเดินเรื่อง(ส่วนมากจะเป็นการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น เช่นกลับตัวเป็นคนดีเป็นต้น)
6.ภาษาที่ใช้จะต้องอ่านเข้าใจง่าย (อาจารย์ยกตัวอย่างงานของอาจารย์เทพศิริ สุขโสภา (ศิลปิน จิตรกร นักเล่านิทาน และนักเขียนเรื่องชื่อดัง)
หรือของอาจารย์มัลลิกา(คนแปลเรื่อง "แมงมุมเพื่อนรัก" [เชื่อว่าคนที่อายุอานามใกล้เคียงกับผม(25ปี)คงเคยอ่านครับ---จาก DigiTaL-KRASH!!!]  )

 อาจารย์แบ่งผู้อ่านออกเป็น 6 กลุ่มใหญ่ๆตามอายุสมอง ทางด้านจิตวิทยา มิใช่อายุทางร่างกาย
(เพราะคนเรามีการพัฒนาทางสติปัญญาและอารมณ์ไม่เท่ากัน---เด็กอาจจะแก่แดด---ผู้ใหญ่อาจจะยังไม่โต)
โดยแต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะคือ
1.ผู้อ่านที่มีอายุสมอง 2-7 ปีี ลักษณะเด่นคือไม่ชอบถูกลงโทษ และมักชอบแนวคิดที่ว่า "ตัวเล็กชนะตัวโต" ต้องอย่าลงโทษตัวเอกในเรื่อง
2.ผู้อ่านที่มีอายุสมอง 7-10 ปี มักนิยมชมชอบในการให้รางวัล ทำดีต้องได้ดี และ....ยังคงแนวคิดที่ว่า "เด็กต้องชนะผู้ใหญ่" หรือ "ตัวเล็กชนะตัวโต" อยู่
3.ผู้อ่านที่มีอายุสมอง 11-13 ปี มักชอบคนเด่นคนดัง บ้าดารา และติดความเท่ โฉบเฉี่ยว ฯลฯ
4.ผู้อ่านที่มีอายุสมอง 13-16 ปี เรียกว่าพวก "ก่อนวัยรุ่น" มักชอบทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวม รักหมู่คณะ ซึ่งเรื่องที่แต่งให้อ่านควรต้องเน้นเรื่องการเสียสละ
5.ผู้อ่านที่มีอายุสมอง 16-25 ปี "พวกวัยรุ่น" วัยนี้มักมีความฝัน สร้างความหวัง รอความหวัง ซึ่งผู้อ่านในท้องตลาดประมาณร้อยละ 48 ตกอยู่ในคนกลุ่มนี้ คนกลุ่มนี้มักชอบเรื่องโรมานซ์ โรแมนติก พาฝัน หรือที่เรียกว่า"นิยายน้ำเน่า" [อา.....เราอยู่ในคนกลุ่มนี้หรือนี่ มิน่าดูไททานิกแล้วสนุก---จาก DigiTaL-KRASH!!!]
6.ผู้อ่านที่มีอายุสมองเกิน 25 ปีขึ้นไป "พวกผู้ใหญ่" มักเอาใจลำบากที่สุด มีเหตุมีผล ยึดถืออะไรตามคติสากล ชอบสารคดี ปรัชญา ธรรมะ

    อาจารย์วิริยะได้แนะนำแนวเรื่องที่น่าสนใจเอาไว้คืออาจเขียนให้อยู่ในรูปแบบการเขียนโต้ตอบจดหมายระหว่างคนสองคนก็น่าสนใจ แต่อย่าให้เป็น"การพูดคุยกัน" ระหว่างตัวละครสองตัวเป็นอันขาด จะทำให้น่าเบื่อได้โดยง่าย สำหรับเรื่องสั้นควรใช้ตัวละครไม่น้อยกว่า 5 ตัวแต่อย่าให้มากจนเกินไป ควรใช้ลีลาทางภาษาประกอบเช่นการใช้คำซ้อน เช่น "อดหลับอดนอน" เป็นต้น

    จากนั้นอาจารย์ชัยวัฒน์ คุประตกุล ได้เสริมขึ้นโดยยกตัวอย่างบางพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ เช่นเรื่องที่ประกอบด้วย 2 เรื่องซ้อนกัน เดินเรื่องแยกกัน เหมือนจะดำเนินเรื่องแยกกันเป็นคนละเหตุการณ์ ตัวละครคนละชุด แต่สุดท้ายแล้วก็นำไปสู่จุดเดียวกัน เป็นต้น


การบรรยายในช่วงบ่าย
1