หน้า 1

บิ๊ก ศธ.เบี้ยวศาล ส่งทนายฟังแทน

บิ๊กกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ไม่กล้าไปศาล ส่งทีมทนายฟังเบิกความในคดีพระธัมมชโย เป็นโจทก์ฟ้องร้อง วีระศักดิ์ ฮาดดา เบิกความชัดเจน พระธัมมชโยตั้งใจ เผยแผ่พระศาสนาถึงขนาดพอจบจากม.เกษตรฯ ก็บวชพระทันที ส่วนสิ่งก่อสร้างใหญ่โต เป็นเพราะว่า มีคนมาปฏิบัติธรรมมาก จึงต้องสร้างเพื่อรองรับ ประกอบกับทางวัด มีเจตนา เผยแพร่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก จึงต้องเตรียมการดังกล่าว ด้านพระมหาเดวิทย์ เสนอแนะให้เปลี่ยนตัวคณะผู้พิจารณาชั้นต้นใหม่ เพื่อความบริสุทธิ์ยุติธรรมของทุกฝ่าย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 เม.ย.2543 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 302 ชั้น 3 ศาลแพ่งคดีปกครอง ถนนรัชดาฯ กรุงเทพฯ ศาลได้ขึ้นบัลลังค์พิจารณาการสืบพยานโจทย์ คดีละเมิด สิทธิ์ตามพระราชบัญญัติสงฆ์ ฉบับที่ 1 และที่ 2 เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยมี พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระธัมมชโย เป็นโจทย์

ทั้งนี้ ได้มอบอำนาจให้ นายวีระศักดิ์ ฮาดดา เป็นผู้ได้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องต่อจำเลย ทั้ง 6 คน คือ นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะรัฐมนตรี และในฐานะ ส่วนตัว นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ในฐานะอธิบดีและในฐานะส่วนตัว นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา นายสำรวย สารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการ มหาเถรสมาคม นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา นายเชลียง เทียมสนิท และนายสมพร เทพสิทธา โดยมีทนายความฝ่ายจำเลย จำนวน 7 คน เข้ามาร่วมไต่สวนพยานโจทก์ และมีข้าราชการจากกรมการศาสนา มาร่วมรับฟังด้วย 3 คน

นายวีระศักดิ์ ฮาดดา ได้ขึ้นเป็นพยานฝ่ายโจทก์ ได้ให้การต่อศาล ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดี เริ่มตั้งแต่พระธัมมชโย เรียนอยู่ที่ ม.เกษตรศาสตร์ จนถึงได้เข้ามาบวชอุทิศตน เพื่อ เผยแพร่งานพระพุทธศาสนา และต่อมาก็ได้รับถวายที่ดินเป็นส่วนตัว โดยมีหลักฐานจากผู้นำมาถวายให้ การก่อสร้างสภาธรรมกายสากล ที่สร้างโดยความจำเป็น ไม่ได้สร้างโดย ความเห็นส่วนตัว หรือเพื่ออวดอ้างแต่อย่างใด 

ที่สร้างก็เพื่อให้ประชาชน หรือพุทธศาสนิกชน ได้ในการทำบุญ และปฏิบัติธรรม การก่อสร้างก็สร้างโดยประหยัด และให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งสภาธรรมกายหลังคาจาก หลังเดิม ที่สามารถจุคนได้เพียงประมาณ 2 หมื่นคน ไม่สามารถจะรองรับคนจำนวนนับแสนในเวลาต่อมาได้ จากจำนวนที่มีผู้มาปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนการสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ ก็สร้างขึ้นเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปยังสาธุชนทั่วโลก และเพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยกลางแจ้ง เหมือนเมื่อสมัยก่อน วัดพระธรรมกายได้ส่งเสริม ด้านการศึกษาธรรมะให้กับพระภิกษุ และอุบาสกอุบาสิกา มาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากการที่มีพระภิกษุได้สอบผ่านชั้น ปธ.9 ได้มากที่สุด ถึง 6 รูป และอุบาสิกาการสอบผ่าน ปธ.9 ได้อีก 1 คน อีกทั้งทางวัดยังต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ ในการส่งเสริมการศึกษาธรรม ปีละหลายล้านบาท

การสืบพยานโจทก์ได้ดำเนินต่อไป จนถึงเวลาประมาณ 12.30 น. จึงจบการสืบพยานสำหรับนัดนี้ หลังจากศาลได้อ่านคำให้การของพยานจบแล้ว จึงได้มีคำสั่งให้ มีการพิจารณา สืบพยานโจทก์อีกครั้ง ในวันที่ 21 สิงหาคม 2543 เวลา 9.00 น.

ส่วนทางด้าน พระมหาเดวิทย์ ยสสีภิกขุ ประธานองค์การยุวสงฆ์แห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยว่า มีความรู้สึกเป็นห่วงต่อการดำเนินกฎนิคหกรรมต่อพระธัมมชโย ที่มีอันต้องหยุด ชะงักลง เนื่องจากยังไม่สามารถจะหาพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าคณะจังหวัดมาร่วมคณะพิจารณา ให้ครบตามจำนวนได้ หลังจากที่พระเทพสุธีได้ติดต่อไปถึง เจ้าคณะจังหวัด ต่างๆ ที่อยู่ในเขตรับผิดชอบแล้ว แต่ก็ยังไม่มีพระสังฆาธิการรูปใดตอบรับเข้ามา

หากจะมีการแต่งตั้งใหม่ให้ครบองค์พิจารณา ก็ยังถือได้ว่า เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่อยู่ดี ท่ามกลางพระภิกษุ และพระสังฆาธิการระดับต่างๆ ทั่วประเทศที่เฝ้าจับตาติดตาม การดำเนินกฎนิคหกรรมนี้อย่างใกล้ชิด ด้วยความสนใจว่า ผลการพิจารณาตามกฎจะลงเอยไปได้ในรูปแบบใด

พระมหาเดวิทย์ ได้กล่าวต่อไปว่า หากการพิจารณาได้ให้มีอันสิ้นสุดลงแบบเดิม ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถึงจะเป็นไปได้ ผลที่ออกมาก็คือความไม่ยอมรับของพระสงฆ์ทั่วไป จากการเฝ้า ติดตามสถานการณ์ขององค์การยุวสงฆ์ อย่างใกล้ชิดตลอดมา จึงได้ทราบถึงปัญหา จึงอยากจะเสนอให้มีการเปลี่ยนคณะพระสังฆาธิการ ที่มีหน้าที่เป็นผู้พิจารณาชั้นต้น เสียใหม่ ทั้งหมด เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ และยุติธรรมในการพิจารณา และจะเป็นที่ยอมรับแก่คณะสงฆ์ทั่วประเทศ

"การจะแต่งตั้งคณะผู้พิจารณาชั้นต้นชุดใหม่ขึ้นมาได้นั้น มหาเถรสมาคม จะต้องมีการประชุมลงมติให้มีการแก้กฎนิคหกรรมเสียก่อนจึงจะทำได้ เพราะในกฎนิคหกรรม ยังไม่มีระบุ ไว้ว่า ให้มีการแต่งตั้งคณะผู้พิจารณาชุดใหม่แทนชุดที่มีอำนาจหน้าที่เดิมได้ นี่คือทางออกอีกทางหนึ่ง อาตมาขอเสนอแนวทางเลือกมาด้วยความห่วงใยใน พระเทพสุธี" พระมหาเดวิทย์ กล่าวในที่สุด