ปีที่ 3 ฉบับที่ 941 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 10 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 |
ทำอย่างไร ชาวพุทธทั่วโลก จึงจะร่วมใจกันได้เป็นหนึ่ง
ทุกครั้งที่ผมไปต่างประเทศ ครั้งใดที่ได้เจอชาวพุทธในต่างประเทศ แม้จะเป็นคนชาติอื่น ก็รู้สึกดีใจและอบอุ่น
เมื่อต้นปีที่แล้ว
ผมเองไปกรุงเฮก
ได้มีโอกาสคุยกับพระรัสเซีย
ซึ่งสวมจีวรสีเหลืองแบบพระบ้านเรา แม้จริยาวัตรจะเป็นแบบฝรั่ง แต่ใจเราก็น้อมรับความเป็นพระ ท่านแวะมาเยี่ยมซุ้มนิทรรศการของเรา และถามเรื่องพุทธศาสนาในเมืองไทย ด้วยความแปลกใจและสนใจ
แต่เผลอแผล็บเดียวตอนบ่าย ผมก็เห็นท่านปิดโปสเตอร์เรียกร้องอะไรไม่ทราบ พระสององค์ช่วยกันปิดตามประตู ตามเสา เชิญให้ไปฟัง ผมไปยืนอ่านก็ยังไม่เข้าใจ แต่เราดูแล้ว พระสงฆ์ของเราเรียบร้อยกว่าเยอะ ก็ไม่ว่ากันนะครับ ต่างวัฒนธรรม ต่างจิตต่างใจ
ที่ในอเมริกา หลวงพี่ทั้งหลายขับรถกันเปร๋อ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะที่นั่น พระต้องช่วยตัวเองทุกอย่าง คนอเมริกันเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครถือ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สวิตเซอร์แลนด์ ผมได้พบพระเยอรมันที่น่าทึ่ง ปรากฏว่า มีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาดีเยี่ยม เมื่อถามท่านว่า ทำไมท่านรู้สึกซึ้ง และรู้จริง ท่านก็บอกว่า
ที่เยอรมัน
เขาสนใจพุทธศาสนามาก และคนเยอรมัน ถ้าสนใจอะไรก็จะศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง
ตำราพุทธศาสนาเป็นภาษาเยอรมัน มีมากมาย เผลอๆ อาจจะมากกว่าของภาษาอังกฤษอีก แต่ท่านบอกว่า เสียดายวิธีการนำเสนอของพุทธศาสนายังโบราณมาก
และเก็บตัว มากเกินไป ทั้งที่หลักของพุทธศาสนานั้น น่าสนใจที่สุด ลึกซึ้งที่สุด เป็นเหตุเป็นผลที่สุด
ผมจำได้ว่า วันนั้น ท่านมาเข้าร่วมฟังการบรรยายเรื่องสมาธิของไทย ซึ่งมีคนฟังเต็มห้อง ฝรั่งมานั่งเต็มไปหมด ทุกคนให้ความสนใจมาก และได้มีการทดลองนั่งกันจริงๆ ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทุกคนนึกไม่ถึงว่า พระจากเมืองไทย ที่เขาเห็นเป็นชาวเอเชียตัวเล็กๆ จะสามารถสอนวิชาสมาธิ ได้อย่างน่าสนใจ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
จำได้ตอนนั้นผมไปประชุมที่เมืองโคซ์ขององค์การเอ็มอาร์เอ ที่สวิตเซอร์แลนด์ ผมหอบไปทั้งสไลด์และเทป ไปทำมัลติวิชั่น ประกอบการบรรยาย
ทันทีที่ทุกคนเห็นภาพคนไทย
นั่งสมาธิเป็นหมื่นเป็นแสน คนดูทั้งห้องอุทานออกมาเสียงกระหึ่ม ด้วยความตกตะลึง และทันทีที่บรรยายจบ ก็ปรบมือให้สนั่นหวั่นไหว และจากวันนั้น พระไทยก็เป็นพระเอกในงาน
วันรุ่งขึ้น มีคนมากราบพระไทยของเรา ไม่ขาดสาย มีอยู่คนหนึ่งจำได้ว่าเป็นชาวพม่า ท่าทางมีความรู้ ปรากฏว่า เป็นหมออยู่ออสเตรเลีย
มานั่งคุยด้วยความชื่นชมเมืองไทย
ไม่ขาดปาก เขาบอกว่า เขาเสียดายประเทศของเขามาก ที่เดี๋ยวนี้ ล้าหลังจนอายคนอื่น ยิ่งเขาเห็นพุทธศาสนาในเมืองไทย เจริญอย่างที่เขาไม่คาดคิด เขาบอกว่า
เราทำให้เขาภูมิใจมาก
ที่เป็นชาวพุทธ
ข้อคิดที่ทำให้ผมกลับมานั่งคิดตลอดคือ คำพูดของพระเยอรมันดังกล่าวที่บอกว่า ท่านเสียดายมาก เพราะที่ท่านมาบวชเป็นพระในพุทธศาสนา ก็ด้วยความรักอย่างจริงใจ แต่ชาวพุทธนั้น หัวโบราณอนุรักษ์นิยมติดรูปแบบเดิมมาก ทำให้พุทธศาสนาโตยาก เพราะติดยึดและหลงตัวเอง ไม่ยอมเปิดตาดูโลกภายนอก ทิฐิสูง นึกว่า
ของตัวเองเก่งกว่า
ดีกว่าคนอื่นเสมอ ใจก็เลยปิด
เพราะแต่ละประเทศก็จะมีความแตกต่าง ต่างคนก็คิดว่า ของตัวเองดีที่สุด ไม่ยอมศึกษาของคนอื่น และดูถูกกันเอง
ผมว่าที่ท่านพูดนั้น น่าสนใจมาก เป็นความคิดจากคนภายนอกที่มองชาวพุทธที่เรียกตัวเองว่า เป็นพุทธแท้ ใครที่ไม่เหมือนตัวเอง ปฏิบัติไม่เหมือนตัวเอง ถือว่าเป็นพุทธเทียมบ้าง ไม่เคร่งบ้าง และความคิดของตัวเอง ถูกต้องที่สุด แปลตรงกับพระไตรปิฎกที่สุด ยิ่งเป็นหนอนหนังสือ ก็ยิ่งจะต่อสู้ขาดใจว่า ตนเองเก่งที่สุด มีภูมิมากที่สุด
จริงนะ พระไทยก็ดูถูกพระชาติอื่นว่า ไม่เคร่ง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพระกินข้าวมื้อเย็น จะไปนิพพานได้อย่างไร ต้องพระไทยเคร่งที่สุด ดีที่สุดในโลก
พระจีนก็ส่ายหัวบอกว่า ตราบใดที่พระไทยยังกินเนื้อสัตว์ แล้วจะมุ่งไปหานิพพานได้อย่างไร เพราะตัวเองก็ยังทำให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ต้องพระจีนถึงจะแน่ เพราะมังสวิรัติตลอดชีวิต
ส่วนพระมหายาน ก็จะดูถูกพระสายเถรวาทแบบไทยว่า เห็นแก่ตัว นั่งสมาธิเอาแต่ตัวรอดคนเดียว ใจแคบ ประเทศก็เลยจนทั้งประเทศ เพราะพุทธศาสนาทำให้คนถือสันโดษกันหมด ไม่เอาอะไรทั้งนั้น คิดช่วยแต่ตัวเอง ไม่ช่วยสังคม
ครับ ก็ว่ากันไปว่ากันมา ทั้งที่เป็นชาวพุทธด้วยกันแท้ๆ พ่อเดียวกัน แต่ลูกๆ ถือคัมภีร์คนละเล่ม ต่างคนต่างถือดี ก็เลยต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งกัน เพราะไม่รู้จะสังคายนากันได้อย่างไร ความแตกต่างนี้ ห่างกันไปไกลเกินไปเสียแล้ว
ในปี 1950 ได้มีความพยายามที่จะตั้งองค์กรประสานชาวพุทธทั่วโลกเกิดขึ้น ในนามขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก โดยความคิดของ ศาสตราจารย์ จี.พี.มาลาลาเซเกรา และที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ ครั้งแรกอยู่ที่กรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา ต่อมา ก็ย้ายไปอยู่ในพม่าอยู่พักหนึ่ง และสุดท้ายก็ย้ายมาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 1963
ถ้าจะนับถึงวันนี้ก็อายุ 49 ปี แล้วถือว่า เก่าแก่พอดู จากนั้น ก็มีการประชุมทุกระยะ เพื่อให้ชาวพุทธจากทั่วประเทศทั่วโลก ได้ประสานไมตรี เริ่มแลกเปลี่ยนทัศนะกัน เริ่มมีความพยายามที่จะ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" อะไรที่ร่วมกันได้ ก็ร่วมมือกัน อะไรที่แตกต่างกันมาก ก็ต่างคนต่างถือ ไม่ก้าวก่ายกัน
ในปี 1972 ได้มีการตั้งองค์กรยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกขึ้น เพื่อจูงใจให้คนรุ่งใหม่ และคนหนุ่มสาวชาวพุทธให้เข้ามาร่วมมือกัน สร้างสรรค์สามัคคีชาวพุทธ
และหาทาง ช่วยเหลือ
กันแลกเปลี่ยนความรู้กัน และพยายามช่วยกันจรรโลงและเผยแผ่พุทธศาสนา ให้กว้างไกลออกไป
และเมื่อวันที่ 1-7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้ บรรดาผู้นำเยาวชนชาวพุทธจากศูนย์ภาคีของยพสล. ก็มาร่วมการสัมมนา "ความเป็นผู้นำชาวพุทธ" จาก 12 ประเทศ จำนวน 60 คน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นการสัมมนาและบรรยายเป็นภาษาอังกฤษตลอด
ผมคิดว่า มีข้อคิดที่น่าสนใจจากสัมมนาครั้งนี้มาเล่าให้ฟัง พรุ่งนี้คุยต่อครับ
สิงห์ขาว
[หน้าหลัก][สหัสวรรษ] |