ปีที่ 3 ฉบับที่ 939 ประจำวันอังคารที่ 8 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543

บทนำ

ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช กับบทบาทของรัฐบาลชวน หลีกภัย

สมเด็จพระสังฆราช ในพระพุทธศาสนา เป็นพระอิสริยยศและอิสริยศักดิ์ ที่มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พระภิกษุผู้เพียบพร้อมด้วยศีลาจารวัตร อายุ พรรษา ขั้นดำรงตำแหน่ง เพื่อทรงเป็นประมุขสงฆ์ และทรงบัญชาการงานฝ่ายพุทธจักร ต่างพระเนตรพระกรรณ

สมเด็จพระสังฆราชในอดีตเมื่อ 9 ปีที่แล้ว แม้จะมีพระภิกษุสงฆ์ที่ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่ง ถือว่า เป็นเพียงตำแหน่งเกียรติยศ แบบยศช้างขุนนางพระ เท่านั้น จึงปรากฏให้เห็นว่า เกิดมีผู้ไม่หวังดี จ้วงจาบพระบารมี ผ่านสื่อมวลชนมาแล้ว ทั้งที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนี้ จัดเป็นสถาบันอันสูงยิ่ง ควรที่คนในแผ่นดินจะต้องเทิดทูน สักการะ จะล่วงเกินไม่ได้ แต่เนื่องด้วยในระยะนั้น คือ ก่อนปี พ.ศ.2535 ไม่มีกฎหมายคุ้มครองพระบารมี กรณีที่มีผู้ล่วงเกิน ผู้กระทำผิด จึงลอยนวล ไม่มีการนำตัวมาลงโทษทัณฑ์ แต่ประการใด

เมื่อปีพุทธศักราช 2535 หลังจากที่เกิดมีมารมาผจญาบารมีแล้ว สภาผู้แทนราษฎรจึงได้ตรากฎหมายออกมาคุ้มครอง เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2535 (ฉบับที่ 2) จากฉบับเดิม พ.ศ.2505 ที่ให้ไว้ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535 ความว่า มาตรา 44 ทวิ ผู้ใดหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระสังฆราช ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกิดสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาถึงวันนี้ แม้จะมีตัวบทกฎหมายที่ตราออกมาเพื่อคุ้มครองพระบารมี แต่ก็ยังมีมนุษย์ใจบาปหยาบช้า จงใจจะล่วงเกินให้เห็นในที่สาธารณะ มีสื่อเป็นประจักษ์พยานก็มี พวกมาร ซึ่งจัดเป็นผู้ไม่หวังดี ที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืดก็มี เราเห็นว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ผู้รักษากฎหมาย ไม่จำเป็นต้องได้รับคำสั่งตรงจากรัฐบาล ให้จัดการกับผู้มุ่งจะทำลายพระบารมี ตำรวจควร ที่จะทำหน้าที่ของผู้รักษากฎหมาย ให้เด็ดขาด โดยไม่ต้องรอการกล่าวโทษจากบุคคลใดๆ เนื่องจากองค์สมเด็จพระสังฆราชนั้น ไม่ทรงอยู่ในฐานะเจ้าทุกข์ แต่เจ้าทุกข์คือพุทธ ศาสนิกชน ชาวไทยทั่วทั้งประเทศนั่นเอง นี่คือผลงานอันอ่อนด้อยของรัฐบาล แม้แต่พระบารมีของสมเด็จพระสังฆราช ก็ไม่มีปัญญาจะถวายความคุ้มครอง


[หน้าหลัก][บทนำ]

1