- (๖) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อกุสลได้แก่
อกุสลจิต ๑๒ เป็นอารัมมณ ปัจจัย อพยากตะ ได้แก่ ตทาลัมพนะ ๑๑,
กามกิริยาจิต ๑๐ (เว้นปัญจทวาราวัชชน จิต ๑) และ อภิญญากิริยาจิต ๑ เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
เช่น
- พระอรหันต์พิจารณากิเลสที่ละแล้วก็ดี
ที่เคยเกิดมาแต่ก่อน ๆ ก็ดี กิเลสเหล่า นั้นเป็นอารัมมณปัจจัย
กิริยาจิตที่พิจารณากิเลสนั้น ๆ เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- พระอรหันต์ พิจารณาอกุสลจิต ๑๒ ที่เป็นอดีต
อนาคต ปัจจุบัน ทั้งของตน และของผู้อื่นเป็นอารัมมณปัจจัย
อภิญญากิริยาจิตที่รู้อกุสลนั้น ๆ เป็นอารัมมณ ปัจจยุบบันน
- อกุสลจิต ๑๒ ที่เป็นอารมณ์ของอภิญญากิริยาจิตนั้น
เป็นอารัมมณปัจจัย อภิญญากิริยาจิต ๑ อาวัชชนจิต ๑
(คือมโนทวาราวัชชนจิต) ที่พิจารณาอกุสลจิต นั้น เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- (๗) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อพยากตะที่เป็นอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ วิบากจิต ๓๖, กิริยาจิต ๒๐, รูป ๒๘ และนิพพาน อพยากตะที่เป็นอารัมมณ ปัจจยุบบันนนั้นได้แก่
กามวิบาก ๒๓, กามกิริยา ๑๑, วิญญาณัญจายตนกิริยา ๑, เนวสัญญานาสัญญายตนกิริยา
๑, อภิญญากิริยา ๑ และ ผลจิต ๔ เช่น
- อรหัตตผลจิตก็ดี นิพพานก็ดี เป็นอารัมมณปัจจัย
มหากิริยาจิตที่พิจารณา อรหัตตผลจิต หรือพิจารณานิพพาน โดยปัจจเวกขณะ เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- นิพพานที่เป็นอารมณ์ของผลจิต เป็นอารัมมณปัจจัย
ผลจิต ๔ ดวง มโน ทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง เป็น
อารัมมณปัจจยุบบันน
- วัตถุรูปทั้ง ๖, อารมณ์ทั้ง ๖, โลกียวิบากจิต
๓๒, กิริยาจิต ๒๐ ทั้งของตน และของผู้อื่น เป็นอารัมมณปัจจัย
มหากิริยาจิตของพระอรหันต์ที่พิจารณาอารมณ์ เหล่านั้น โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- รูป เสียง วิบากจิต ๓๖ กิริยาจิต ๒๐
ที่เป็นอารมณ์ของอภิญญาจิต เป็น อารัมมณปัจจัย อภิญญากิริยา ๑ มีหูทิพย์
ตาทิพย์ เป็นต้น ของพระอรหันต์ที่รู้ อารมณ์เหล่านั้น เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- อากาสานัญจายตนกิริยา และอากิญจัญญายตนกิริยา
เป็นอารัมมณปัจจัย วิญญาณัญจายตนกิริยา และเนวสัญญานาสัญญายตนกิริยา เป็นอารัมมณปัจจยุบ
บันน (ตามลำดับ)
- ปัญจารมณ์ เป็นอารัมมณปัจจัย ทวิปัญจวิญญาณ
๑๐ เป็น อารัมมณปัจจยุบ บันน
- วิบากจิต ๓๖, กิริยาจิต ๒๐, รูป ๒๘ นี้เป็นไปในกาลทั้ง
๓ ทั้งของตนและ ของผู้อื่น เป็นอารัมมณปัจจัย มโนทวาราวัชชนจิต เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- (๘) อพยากตะ เป็นปัจจัยแก่ กุสล วิบากจิต
๓๕ (เว้นอรหัตตผล) กิริยาจิต ๒๐, รูป ๒๘, นิพพาน
เป็นอารัมมณปัจจัย มหากุสล ๘ มัคคจิต ๔ และอภิญญา กุสล ๑ เป็น อารัมมณปัจจยุบบันน
เช่น
- ผลเบื้องต่ำ ๓ ก็ดี นิพพาน ก็ดี เป็นอารัมมณปัจจัย
มหากุสลจิตของพระ เสกขบุคคล ที่พิจารณา(ปัจจเวกขณะ) อารมณ์เหล่านั้น เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- นิพพาน เป็นอารัมมณปัจจัย โคตรภู หรือโวทาน
คือ มหากุสลญาณ สัมปยุตตก็ดี มัคคจิต ๔ ทีกำลังเกิดขึ้นนั้นก็ดี เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- วัตถุ ๖, อารมณ์ ๖, โลกียวิบากจิต ๓๒,
กิริยาจิต ๒๐ ที่เกิดขึ้นแก่ตนเอง หรือของผู้อื่นในกาลทั้ง ๓ เป็น
อารัมมณปัจจัย มหากุสลที่พิจารณาอารมณ์นั้น ๆ เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- พระเสกขบุคคลและปุถุชนพิจารณารูป เสียง
วิบากจิต กิริยาจิต ด้วยอภิญญา กุสล อารมณ์เหล่านี้เป็น
อารัมมณปัจจัย อภิญญากุสลจิตที่รู้เห็นอารมณ์เหล่านั้นเป็น อารัมมณปัจจยุบบันน
- (๙) อพยากตะ เป็นปัจจัยแก่ อกุสล, วัตถุ
๖, อารมณ์ ๖, โลกียวิบากจิต ๓๒, กิริยาจิต ๒๐, รูป ๒๘ ของตนเอง
และของผู้อื่นในกาลทั้ง ๓ เหล่านี้เป็น อารมณ์เมื่อใด เมื่อนั้นก็เป็นอารัมมณปัจจัย
ทำให้อกุสลจิตมีโลภะเป็นต้น เกิดขึ้นได้ อกุสลจิตที่เกิดขึ้นเพราะอารมณ์เหล่านั้น
เป็นอารัมมณปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้
รวม ๘ ปัจจัย คือ
- ๑. อารัมมณปัจจัย ๒.
อารัมมณาธิปติปัจจัย
- ๓. วัตถารัมมณปุเรชาตนิสสยปัจจัย ๔.
อารัมมณูปนิสสยปัจจัย
- ๕. อารัมมณปุเรชาตปัจจัย ๖.
วัตถารัมมณปุเรชาตวิปปยุตตปัจจัย
- ๗. อารัมมณปุเรชาตัตถิปัจจัย ๘.
อารัมมณปุเรชาตอวิคตปัจจัย
๓. อธิปติปัจจัย
- อธิปติปัจจัยนี้ จำแนกออกได้เป็น ๒ คือ
- ก. อารมณ์ ๖ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่พึงกระทำให้เอาใจใส่เป็นพิเศษ
ช่วย อุปการะแก่นามนั้น ชื่อว่า
อารัมมณาธิปติปัจจัย
- ข. อธิบดีทั้ง ๔ มี ฉันทาธิปติ เป็นต้น
เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นามรูป ที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับตนนั้น ชื่อว่า สหชาตาธิปติปัจจัย
อารัมมณาธิปติปัจจัย
- ๑. อารมณ์ ต้องเป็นอารมณ์ ๖ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งเอาใจใส่เป็นพิเศษด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เอาใจใส่อย่างธรรมดา
- ๒. ประเภท นามรูป เป็นปัจจัย
นามรูปเป็นปัจจยุบบันน
- ๓. ชาติ เป็น อารัมมณชาติ หมายความว่า
ปัจจัยธรรมนั้นได้แก่ อารมณ์นั้น เอง (แต่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษด้วย)
- ๔. กาล เป็นได้ทั้ง อดีต อนาคต
ปัจจุบัน และ กาลวิมุตติ
- ๕. สัตติ มีทั้ง ชนกสัตติ และอุปถัมภกสัตติ
- ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่
นิปผันนรูป๑๘ ที่เป็นอิฏฐารมณ์, จิต ๘๔ (เว้นโทสจิต ๒ โมหจิต ๒
ทุกขกายวิญญาณ ๑), เจตสิก ๔๗ (เว้นโทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ วิจิกิจฉา) และ
นิพพาน
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันน ได้แก่ โลภมูลจิต
๘ ,มหากุสล ๘, มหากิริยา ญาณสัมปยุตต ๔, โลกุตตรจิต ๘,
เจตสิก ๔๕ (เว้น โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ วิจิกิจฉา อัปปมัญญา ๒)
- องค์ธรรมของปัจจนิก ได้แก่ โลกียจิต
๘๑ เจตสิก ๕๒ และรูปทั้งหมดที่ ไม่เป็นอิฏฐารมณ์
- ๗. ความหมายโดยย่อ อารัมมณาธิปติปัจจัย
มี ๗ วาระ
- (๑) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสล กุสลที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว
อันได้แก่ กุสลจิต ๒๐ (เว้นอรหัตตมัคค) ซึ่งทำให้ซาบซึ้ง
ตรึงใจเป็นพิเศษก็ดี ฌานที่ได้ที่ถึงแล้ว อันได้แก่ มหัคคตกุสลจิต ๙ ก็ดี โคตรภูและโวทาน
อันได้แก่
มหากุสลญาณสัมปยุตตจิต ๔ ก็ดี และมัคคจิตเบื้องต่ำ ๓ อันเกิดขึ้นแล้วแก่พระเสกขบุคคลก็ดี
ธรรมเหล่านี้เป็น อารัมมณาธิปติปัจจัย มหากุสลจิตที่พิจารณาธรรมนั้น ๆ เป็น อารัมมณาธิปติปัจจยุบบัน
- (๒) กุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสล กุสลที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว
อันได้แก่ โลกียกุสล ๑๗ เมื่อนึกถึงกุสลเหล่านี้ โดยความ
เอาใจใส่เป็นพิเศษ ก็เป็น อารัมมณาธิปติปัจจัย อาจทำให้เกิด ราคะ ทิฏฐิได้ ราคะ
ทิฏฐิ คือ อกุสลจิตที่เกิดขึ้นโดย
อารมณ์เหล่านี้ เป็นอารัมมณาธิปติปัจจยุบบันน
- (๓) กุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ กุสล คือ
อรหัตตมัคค ๑ เป็นอารัมมณา ธิปติปัจจัย มหากิริยาจิต
(ในปัจจเวกขณวิถี) ที่พิจารณาอรหัตตมัคคนั้น เป็นอารัมม ณาธิปติปัจจยุบบันน
- (๔) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสล ผู้ที่เพลิดเพลินต่อราคะ
ต่อทิฏฐิ โดยความ เอาใจใส่เป็นพิเศษ อันได้แก่
โลภจิต ๘ ดวงนั้น เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย ทำให้ เกิด ราคะ ทิฏฐิขึ้นอีก ราคะ
ทิฏฐิ อันได้แก่ โลภมูลจิต ๘
ที่เกิดขึ้นอีกนี่แหละ เป็นอารัมมณาธิปติปัจจยุบบันน
- (๕) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อรหัตตผลจิตก็ดี
นิพพานก็ดี เป็น อารัมมณาธิปติปัจจัย มหากิริยาจิต (ในปัจจเวกขณวิถี) ที่พิจารณาอรหัตตผลจิต
ก็ดี พิจารณานิพพานก็ดี เป็นอารัมมณาธิปติปัจจยุบบันน
- (๖) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่กุสล ผลจิตเบื้องต่ำ
๓ ก็ดี นิพพานก็ดี เป็น อารัมมณาธิปติปัจจัย มหากุสลจิต
ของพระเสกขบุคคล ๓ ที่พิจารณา(ปัจจเวกขณะ) ผลจิตก็ดี นิพพานก็ดี เป็นอารัมมณาธิปติปัจจยุบบันน
- นิพพาน เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย โคตรภูของติเหตุกปุถุชน
โวทานของพระ เสกขบุคคล ๓ อันได้แก่ มหากุสลญาณสัมปยุตต ๔ และ มัคคจิต ๔ ของมัคค
บุคคล ๔ เป็นอารัมมณาธิปติปัจจยุบบันน
- (๗) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อกุสล เอาใจใส่เป็นพิเศษในวัตถุ
๖, กามอารมณ์ ๕, โลกียวิบาก ๓๑ (เว้นทุกขสหคตกายวิญญาณ ๑) และกิริยาจิต ๒๐ เป็น
อารัมมณาธิปติปัจจัย เกิดความเพลิดเพลิน มี ราคะ
ทิฏฐิ อันได้แก่ โลภจิต ๘ ขึ้น เป็นอารัมมณาธิปติปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้
รวม ๘ ปัจจัย คือ
- ๑. อารัมมณาธิปติปัจจัย ๒.
อารัมมณปัจจัย
- ๓. วัตถารัมมณปุเรชาตนิสสยปัจจัย ๔.
อารัมมณูปนิสสยปัจจัย
- ๕. อารัมมณปุเรชาตปัจจัย ๖.
อารัมมณปุเรชาตวิปปยุตตปัจจัย
- ๗. อารัมมณปุเรชาตัตถิปัจจัย ๘.
อารัมมณปุเรชาตอวิคตปัจจัย
สหชาตาธิปติปัจจัย
- ๑. อธิปติ ได้แก่ ฉันทาธิปติ
วิริยาธิปติ จิตตาธิปติ และวิมังสาธิปติ
- ๒. ประเภท นามเป็นปัจจัย นามรูปเป็นปัจจยุบบันน
- ๓. ชาติ เป็นสหชาตชาติ หมายความว่า
ปัจจัยธรรมและปัจจยุบบันนธรรม เกิดร่วมในจิตดวงเดียวกัน
- ๔. กาล เป็นได้เฉพาะในกาลที่เป็นปัจจุบัน
- ๕. สัตติ มีทั้ง ชนกสัตติ และ
อุปถัมภกสัตติ
- ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่
ฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก ปัญญาเจตสิกที่ใน สาธิปติชวน ๕๒ (คือ ชวนจิต ๕๕
เว้น หสิตุปปาทจิต ๑ โมหมูลจิต ๒ จึงเหลือ ๕๒) และจิตเฉพาะสาธิปติชวนจิต ๕๒
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันน ได้แก่ สาธิปติชวนจิต
๕๒, เจตสิก ๕๐ (เว้นวิจิ กิจฉาเจตสิก ๑ และเว้นฉันทะ วิริยะ
ปัญญา ในขณะที่เป็นอธิบดี ๑) จิตตชรูปที่ เกิดด้วยสาธิปติชวนจิต ๕๒ นั้น
- องค์ธรรมของปัจจนิก ได้แก่ กามจิต ๕๔
ที่ไม่ได้เกิดร่วมกับอธิบดี, องค์ ธรรมของอธิบดี เฉพาะองค์ที่กำลัง
เป็นอธิบดี, มหัคคตวิบาก ๙, จิตตชรูปที่ไม่ได้ เกิดร่วมกับอธิบดี, กัมมชรูป,
อุตุชรูป, อาหารชรูป
- ๗. ความหมายโดยย่อ สหชาตาธิปติปัจจัย
มี ๗ วาระ
- (๑) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสล กุสลอธิบดี
๔ องค์ใดองค์หนึ่งในมหากุสล ๘ มหัคคตกุสล ๙ มัคคจิต ๔ เป็น
สหชาตาธิปติปัจจัย นามขันธ์ทั้งหลายที่สัมปยุตต ด้วยกุสลอธิบดีนั้น อันได้แก่
กุสลจิต ๒๑ เป็นสหชาตาธิปติปัจจยุบบันน
- (๒) กุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ กุสลอธิบดี
๔ องค์ใดองค์หนึ่งในกุสลจิต ๒๑ เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย
กุสลสาธิปติจิตตชรูป เป็นสหชาตาธิปติปัจจยุบบันน
- (๓) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสลด้วยแก่อพยากตะด้วย
กุสลอธิบดี ๔ องค์ใดองค์ หนึ่งในกุสลจิต ๒๑ เป็น
สหชาตาธิปติปัจจัย กุสลจิต ๒๑ ด้วย และกุสลสาธิปติ จิตตชรูปด้วย เป็นสหชาตาธิปติปัจจยุบบันน
- (๔) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสล อธิบดี
๓ (เว้นวิมังสาธิปติ) องค์ใดองค์หนึ่ง ในโลภมูล ๘ โทสมูล ๒ เป็น
สหชาตาธิปติปัจจัย นามขันธ์ทั้งหลายที่สัมปยุตต ด้วยอกุสลอธิบดีนั้น อันได้แก่
โลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒
เป็นสหชาตาธิปติ ปัจจยุบบันน
- (๕) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อกุสลอธิบดี
๓ องค์ใดองค์หนึ่งในอกุสล จิต ๑๐ เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย จิตตชรูปที่เกิดร่วมด้วยอกุสลจิต
๑๐ ดวงนั้น เป็น สหชาตาธิปติปัจจยุบบันน
- (๖) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสลด้วยแก่อพยากตะด้วย
อกุสลอธิบดี ๓ องค์ใด องค์หนึ่งในอกุสลจิต ๑๐ เป็น
สหชาตาธิปติปัจจัย อกุสลจิต ๑๐ คือ โลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ และอกุสลสาธิปติจิตตชรูปด้วย
เป็น
สหชาตาธิปติปัจจยุบบันน
- (๗) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อธิบดี
๔ องค์ใดองค์หนึ่งที่ในสเหตุก กิริยาจิต ๑๗, ที่ในผลจิต ๔ เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย
สเหตุกกิริยาจิต ๑๗ ผลจิต ๔ และ อพยากตสาธิปติจิตตชรูป เป็นสหชาตาธิปติปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ รวม
๑๓ ปัจจัย คือ
- ๑. สหชาตาธิปติปัจจัย ๒.
เหตุปัจจัย
- ๓. สหชาตปัจจัย ๔.
อัญญมัญญปัจจัย
- ๕. สหชาตนิสสยปัจจัย ๖.
วิปากปัจจัย
- ๗. นามอาหารปัจจัย ๘.
สหชาตินทริยปัจจัย
- ๙. มัคคปัจจัย ๑๐.
สัมปยุตตปัจจัย
- ๑๑. สหชาตวิปปยุตตปัจจัย ๑๒.
สหชาตัตถิปัจจัย
- ๑๓. สหชาตอวิคตปัจจัย
๔. อนันตรปัจจัย
- ๑. อนันตร หมายถึงว่า ไม่มีระหว่างคั่น
- ๒. ประเภท นามเป็นปัจจัย นามเป็นปัจจยุบบันน
- ๓. ชาติ เป็นอนันตรชาติ หมายความว่า
ปัจจัยธรรมนั้นช่วยอุปการะให้ปัจจ ยุบบันนธรรมเกิดโดยไม่มี
ระหว่างคั่น
- ๔. กาล เป็นอดีตกาล หมายความว่า
ปัจจัยธรรมนั้นต้องดับไปเสียก่อน จึง จะช่วยอุปการะให้ปัจจยุบบันนธรรม
เกิดได้
- ๕. สัตติ เป็นชนกสัตติ แต่อย่างเดียว
- ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่
จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ ที่เกิดก่อน (เว้นจุติจิต ของพระอรหันต์)
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันน ได้แก่ จิต ๘๙
เจตสิก ๕๒ ที่เกิดทีหลัง รวมทั้ง จุติจิตของพระอรหันต์ด้วย
- องค์ธรรมของปัจจนิก ได้แก่ รูปทั้งหมด
- ๗. ความหมายโดยย่อ อนันตรปัจจัยนี้เกี่ยวแก่วิถีจิตเป็นอย่างมาก
ถ้าได้ นึกถึงวิถีจิตมาพิจารณาร่วมพร้อมกับปัจจัยนี้ด้วย ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจได้เป็น
อย่างดี ปัจจัยนี้มี ๗ วาระ คือ
- (๑) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสล โลกียกุสลชวนะ
๑๗ ดวงที่เกิดก่อน (เว้นชวนะ ดวงสุดท้าย)เป็นอนันตรปัจจัย กุสลชวนะที่เกิดทีหลัง(เว้นชวนะดวงแรก)
อันได้แก่ กุสลชวนะ ๒๑ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน มีรายละเอียด เช่น
- มหากุสล ๘ เป็นอนันตรปัจจัย มหากุสล
๘ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- มหากุสล ๔ เป็นอนันตรปัจจัย มัคคจิต
๔ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- มหากุสล ๔ เป็นอนันตรปัจจัย มหัคคตกุสล
๙ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- มหัคคตกุสล ๙ เป็นอนันตรปัจจัย มหัคคตกุสล
๙ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- (๒) กุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ กุสลชวนะ
๒๑ ดวงสุดท้ายเป็นอนันตร ปัจจัย ตทาลัมพนะ ๑๑, มหัคคตวิบาก ๙
, ผลจิต ๔ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน มีรายละเอียด เช่น
- มหากุสล ๘ เป็นอนันตรปัจจัย ตทาลัมพนะ
๑๑ ภวังคจิต ๑๙ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- มหัคคตกุสล ๙ เป็นอนันตรปัจจัย ติเหตุกภวังคจิต
๑๓ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- มัคคจิต ๔ เป็นอนันตรปัจจัย ผลจิต ๔
เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- อนุโลมญาณ ๓ เป็นอนันตรปัจจัย ผลสมาบัติ
๓ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- เนวสัญญาฯกุสล ๑ เป็นอนันตรปัจจัย อนาคามิผล
๑ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- (๓) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสล อกุสลชวนะ
๑๒ ที่เกิดก่อน(เว้นดวงสุดท้าย) เป็นอนันตรปัจจัย อกุสลชวนะ ๑๒
ที่เกิดทีหลัง (เว้นดวงแรก) เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- (๔) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อกุสลชวนะ
๑๒ ดวงสุดท้าย เป็น อนันตรปัจจัย ตทาลัมพนะ ๑๑,
มหัคคตวิบาก ๙, ภวังคจิต ๑๙ เป็น อนันตรปัจจ ยุบบันน
- (๕) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ วิบากจิต
๓๖ (เว้นจุติจิตของพระ อรหันต์) กิริยาจิต ๒๐ ที่เกิดก่อน ๆ เป็นอนันตรปัจจัย
วิบากจิต ๓๖, กิริยาจิต ๒๐ ที่เกิดทีหลังนั้นเป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- (๖) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่กุสล มโนทวาราวัชชนจิต
๑ เป็นอนันตรปัจจัย ชวนะดวงที่ ๑ ของมหากุสลจิต ๘ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- (๗) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อกุสล มโนทวาราวัชชนจิต
๑ เป็นอนันตรปัจจัย ชวนะดวงที่ ๑ ของอกุสลจิต ๑๒ เป็นอนันตรปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้
รวม ๗ ปัจจัย คือ
- ๑. อนันตรปัจจัย ๒.
สมนันตรปัจจัย
- ๓. อนันตรรูปนิสสยปัจจัย ๔.
อาเสวนปัจจัย
- ๕. นานักขณิกกัมมปัจจัย ๖.
นัตถิปัจจัย
- ๗. วิคตปัจจัย
๕. สมนันตรปัจจัย
- สมนันตรปัจจัยนี้กับอนันตรปัจจัยที่กล่าวมาแล้วนั้น
ต่างกันที่พยัญชนะ คือ ตัวอักษรเท่านั้น ส่วนอรรถ คือเนื้อความหรือความหมายของปัจจัยทั้ง
๒ นี้เหมือน กันทุกประการ ไม่มีผิดแผกแตกต่างกันเลย ดังที่ใน
ปัฏฐานอรรถกถา แสดงไว้ว่า
- ธรรมใดเรียกว่า อนันตรปัจจัย ธรรมนั้นแลเรียกว่า
สมนันตรปัจจัย คือ ในที่นี้ว่าโดยแท้จริงแล้ว ต่างกันแต่เพียงพยัญชนะเท่านั้น
เช่นเดียวกับคำว่า อุปจยะ สันตติ และคำว่า อธิวจนทุกะ นิรุตติทุกะ เป็นต้น ซึ่งว่าโดยเนื้อความแล้วไม่มี
แตกต่างกันเลย
- ที่แสดง อนันตรปัจจัยแล้ว ยังแสดงสมนันตรปัจจัยอีก
ก็เพื่อจะย้ำให้หนัก แน่นว่า จิตที่เกิดก่อนต้องดับไปเสีย
ก่อน แล้วจึงจะเกิดจิตดวงทีหลังได้ เป็นดังนี้ติด ต่อกันไปโดยไม่ขาดสาย จะได้ตระหนักแน่ว่าจิตนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ตลอด
ไปจนถึงเวลาตาย จึงจะดับไปครั้งหนึ่ง ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว จิตเกิดดับอยู่ไม่วาย
ถึงแม้เวลาตาย คือ จุติจิตเกิดขึ้นและดับไปแล้ว ก็ยังมีปฏิสนธิจิตมาสืบต่อไม่ขาดสายลงไปได้เลย
ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจแห่ง อนันตรปัจจัย
สมนันตรปัจจัย นี้เอง
- เมื่อ สมนันตรปัจจัย มีความหมายเช่นเดียวกับอนันตรปัจจัยทุกประการ
ก็ไม่ จำเป็นที่จะต้องกล่าวข้อความ หรืออรรถาธิบายซ้ำในที่นี้อีก
๖. สหชาตปัจจัย
- ๑. สหชาต หมายความว่า เกิดพร้อมกัน
- ๒. ประเภท นามรูปเป็นปัจจัย นามรูปเป็นปัจจยุบบันน
- ๓. ชาติ เป็นสหชาตชาติ หมายความว่า
ปัจจัยธรรมเกิดพร้อมกับปัจจยุบบันนธรรม และช่วยอุดหนุน
ปัจจยุบบันนธรรมนั้นด้วย
- ๔. กาล เป็นปัจจุบันกาล หมายความว่า
ปัจจัยธรรมนั้นยังอยู่ในระหว่าง อุปาทะ ฐีติ ภังคะ คือยังไม่ทันดับไป
- ๕. สัตติ มีทั้ง ชนกสัตติ และ
อุปถัมภกสัตติ
- ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่
จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ ทั้งในปฏิสนธิกาลและ ในปวัตติกาล, มหาภูตรูปที่เกิดด้วย
สมุฏฐานทั้ง ๔ ทั้งในปฏิสนธิกาล และในปวัตติ กาล, หทยวัตถุกับปัญจโวการปฏิสนธิ
๑๕ ดวง เจตสิก ๓๕
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันน ได้แก่ จิต ๘๙
เจตสิก ๕๒, มหาภูตรูปกับอุปา ทายรูปที่เกิดด้วยสมุฏฐานทั้ง ๔, หทยวัตถุกับปัญจโวการปฏิสนธิ
๑๕ เจตสิก ๓๕
- องค์ธรรมของปัจจนิก ไม่มี เพราะปัจจัยนี้ไม่มีธรรมที่ไม่ใช่ผล
- ๗. ความหมายโดยย่อ สหชาตปัจจัยนี้
มี ๙ วาระ
- (๑) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสล กุสลจิต ๒๑
คือ กุสลนามขันธ์ ๔ แล้วแต่จะยก เอาขันธ์ใดว่าเป็นปัจจัย ขันธ์นั้นก็เป็นสหชาตปัจจัย
กุสลจิต ๒๑ คือ กุสลนามขันธ์ ที่เหลือ ก็เป็นสหชาตปัจจยุบบันน
- (๒) กุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ กุสลจิต
๒๑ เป็นสหชาตปัจจัย จิตตชรูปที่ เกิดด้วยกุสลจิตนั้น ก็เป็น
สหชาตปัจจยุบบันน
- (๓) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสลด้วยแก่อพยากตะด้วย
กุสลจิต ๒๑ เป็นสหชาต ปัจจัย กุสลจิต ๒๑ ด้วยจิตตชรูป
ที่เกิดด้วยกุสลจิตนั้นด้วยเป็นสหชาตปัจจยุบบันน
- (๔) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสล อกุสลจิต
๑๒ คือ อกุสลนามขันธ์ ๔ แล้ว แต่จะยกเอาขันธ์ใดว่าเป็นปัจจัย ขันธ์นั้นก็เป็นสหชาตปัจจัย
อกุสลจิต ๑๒ คือ อกุสลนามขันธ์ ที่เหลือ ก็เป็นสหชาตปัจจยุบบันน
- (๕) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อกุสลจิต
๑๒ เป็นสหชาตปัจจัย จิตต ชรูปที่เกิดด้วยอกุสลจิตนั้น ก็เป็น
สหชาตปัจจยุบบันน
- (๖) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสลด้วยแก่อพยากตะด้วย
อกุสลจิต ๑๒ เป็นสห ชาตปัจจัย อกุสลจิต ๑๒ ด้วย จิตตชรูปที่เกิดด้วยอกุสลจิตนั้นด้วย
เป็นสหชาตปัจจ ยุบบันน
- (๗) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ วิบากจิต
๓๖ คือ วิบากนามขันธ์ ๔, กิริยาจิต ๒๐ คือ กิริยานามขันธ์ ๔ เป็นสหชาตปัจจัย
วิบากจิต ๓๖ คือ วิบาก นามขันธ์ ๔, กิริยาจิต ๒๐ คือ กิริยานามขันธ์ ๔, วิบากจิตตชรูป
กิริยาจิตตชรูป ตามสมควร เป็นสหชาตปัจจยุบบันน
- มหาภูตรูปที่เกิดด้วยสมุฏฐานทั้ง ๔แล้วแต่จะยกเอารูปใดว่าเป็นสหชาตปัจจัย
รูปที่เหลือก็เป็น
สหชาตปัจจยุบบันน
- มหาภูตรูปที่เกิดด้วยสมุฏฐานทั้ง ๔ เป็นสหชาตปัจจัย
อุปาทายรูปที่อาศัยเกิด กับมหาภูตรูปนั้น เป็น
สหชาตปัจจยุบบันน
- (๘) กุสลด้วยอพยากตะด้วยเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ
กุสลจิต ๒๑ คือ กุสล นามขันธ์ ๔ ด้วย และมหาภูตรูป
ที่เกิดจากกุสลจิตนั้นด้วยเป็นสหชาตปัจจัย กุสล จิตตชมหาภูตรูปที่เหลือ และกุสลจิตตชอุปาทายรูป
เป็น
สหชาตปัจจยุบบันน
- (๙) อกุสลด้วยอพยากตะด้วย เป็นปัจจัยแก่อพยากตะ
อกุสลจิต ๑๒ คือ อกุสลนามขันธ์ ๔ ด้วย และ อกุสลจิตตชมหาภูตรูปด้วย เป็นสหชาตปัจจัย
อกุสล จิตตชมหาภูตรูปที่เหลือ และอกุสลจิตตชอุปาทายรูป เป็นสหชาตปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ รวม
๘ ปัจจัย คือ
- ๑. สหชาตปัจจัย ๒.
อัญญมัญญปัจจัย
- ๓. สหชาตนิสสยปัจจัย ๔.
วิปากปัจจัย
- ๕. สัมปยุตตปัจจัย ๖.
สหชาตวิปปยุตตปัจจัย
- ๗. สหชาตัตถิปัจจัย ๘.
สหชาตอวิคตปัจจัย