- (๔) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสล อกุสลจิต
๑๒ ที่มีกำลังอย่างแรงกล้าเป็น ปกตูปนิสสยปัจจัย อกุสลจิต ๑๒ เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
ข้อนี้มีรายละเอียด มากมาย แต่รวมได้ความว่า
- อาศัย ราคะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ มานะ เป็นต้น
อันได้แก่ อกุสลจิต ๑๒ หรือ อกุสลกรรมบถ ๑๐ ประการที่มี
กำลังอย่างแรงกล้า เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย ก่อให้ เกิด ทุจจริตทางกายกรรม ๓ ทางวจีกรรม
๔ ทางมโนกรรม ๓
อันได้แก่ อกุสลจิต ๑๒ นั่นเอง เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
- (๕) อกุสลเป็นปัจจัยแก่กุสล อกุสลจิต
๑๒ ที่มีกำลังอย่างแรงกล้าเป็น ปกตูปนิสสยปัจจัย กุสลจิต ๒๑ เป็น ปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
เช่น
- มีราคะ ที่มีกำลังอย่างแรงกล้า ปรารถนาภพที่ดี
(ภวสมฺปตฺติ) ปรารถนา ทรัพย์สมบัติ (โภคสมฺปตฺติ) อันได้แก่
โลภมูลจิต นั่นเอง เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย จึงทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อันได้แก่
มหากุสลจิต ๘ ก็ดี ยังฌาน
ให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น อันได้แก่ มหัคคตกุสลจิต ๙ ก็ดี ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น
อันได้แก่ รูปาวจรปัญจมฌานกุสลอภิญญาจิต ๑ ก็ดี ยังมัคคให้เกิดขึ้น อันได้แก่
มัคคจิต ๔ ก็ดี เหล่านี้ล้วนแต่เป็น ปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน ทั้งนั้น
- อาศัย โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ที่มีกำลังอย่างแรงกล้า
ประกอบอกุสลกรรม แล้ว อันได้แก่ อกุสลจิต ๑๒ เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย มีความปรารถนาจะลบล้าง
ผลของกรรมนั้น ๆ จึงทำทาน รักษาสีล เจริญภาวนา อันได้แก่
กุสลจิต ๒๑ ดังนี้ เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
- (๖) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อกุสลจิต
๑๒ ที่มีกำลังอย่างแรงกล้าเป็น ปกตูปนิสสยปัจจัย วิบากจิต ๓๖
กิริยาจิต ๒๐ เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน เช่น
- บุคคลที่อาศัย โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ
และความปรารถนาในภวสมบัติ โภคสมบัติ อันได้แก่ อกุสลจิต ๑๒ ที่มีกำลังอย่างแรงกล้า
เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย ย่อมทำให้เกิดทุกขกาย สุขกายก็ดี เกิดผลจิต ๔ ก็ดี เกิด
อกุสลวิบากจิต ๗ ก็ดี เหล่านี้เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
- (๗) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ วิบากจิต
๓๖ กิริยาจิต ๒๐ และรูป ๒๘ เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย
วิบากจิต ๓๖ กิริยาจิต ๒๐ เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบ บันน เช่น
- ความสุขกาย ความทุกข์กาย อุตุ อาหาร
เสนาสนะ เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย ช่วยอุปการะแก่ ความสุขกาย
ความทุกข์กาย ผลสมาบัติ (คือ ผลจิต ๔) เหล่านี้ เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
- ผลจิต ๔ เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย สุขสหคตกายวิญญาณ
เป็นปกตูปนิสสย ปัจจยุบบันน
- พระอรหันต์ อาศัยความสุขกาย หรือทุกข์กาย
ตลอดจนความเย็น ความร้อน อาหาร ที่อยู่อาศัย อันเป็นที่สบายและไม่สบาย เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย
ย่อมยัง สมาบัติที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ย่อมเข้าสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว
อันได้แก่ มหัคคตกิริยา จิต ๙, ย่อมพิจารณาสังขาร โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา อันได้แก่ มหากิริยา ๘ เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย
- (๘) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่กุสล วิบากจิต
๓๕ (เว้นอรหัตตผล ๑) กิริยาจิต ๒๐ รูป ๒๘ เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย
กุสลจิต ๒๑ เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน เช่น
- อาศัยความสุขกาย ทุกข์กาย อุตุ อาหาร
เสนาสนะ อันเป็นที่สบายเป็น ปกตูปนิสสยปัจจัย สัทธา ได้แก่
สัทธาเจตสิก ๑, สีล ได้แก่ วีรตีเจตสิก ๓, สุตะ ได้แก่ ปัญญาเจตสิก ๑, จาคะ ได้แก่
อโลภเจตสิก ๑, ปัญญา ได้แก่ ปัญญาเจตสิก ๑ ที่ในกุสลจิต ๒๑ เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
- อาศัยความสุขกาย ทุกข์กาย อุตุ อาหาร
เสนาสนะ อันเป็นที่สบายเป็น ปกตูปนิสสยปัจจัยจึงทำทาน รักษาสีล
เจริญภาวนา ยังฌานให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ยังมัคคให้เกิดขึ้น
อันได้แก่ กุสลจิต ๒๑
เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
- (๙) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อกุสล โลกียวิบากจิต
๓๒ อาวัชชนจิต ๒ รูป ๒๘ เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย
อกุสลจิต ๑๒ เป็นปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
- อาศัยความสุขกาย ทุกข์กาย อาศัย อุตุ
อาหาร เสนาสนะ เป็นปกตูปนิสสย ปัจจัย จึงกระทำทุจจริตธรรม คือ อกุสลกรรมบถ ๑๐
มีกายทุจจริต ๓ วจีทุจจริต ๔ มโนทุจจริต ๓ อันได้แก่ อกุสล ๑๒ นั่นเอง เป็น
ปกตูปนิสสยปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ รวม
๒ ปัจจัยเท่านั้น คือ
- ๑. ปกตูปนิสสยปัจจัย ๒.
นานักขณิกกัมมปัจจัย
๑๐. ปุเรชาตปัจจัย
- ปุเรชาตปัจจัยนี้ จำแนกได้เป็น ๒ คือ
- ก. วัตถุที่เกิดก่อน และยังไม่ทันดับไป
ได้ช่วยอุปการะให้ปัจจยุบบันนธรรม ได้เกิดขึ้น อย่างนี้ได้ชื่อว่า
วัตถุปุเรชาตปัจจัย
- ข. อารมณ์ เฉพาะแต่ที่เป็นรูปธรรม อย่างที่เรียกว่าปัจจยุบบันนนิปผันนรูป
ที่เกิดก่อนและยังไม่ทันดับไป ได้ช่วยอุปการะให้ปัจจยุบบันนธรรมได้เกิดขึ้น อย่าง
นี้เรียกว่า อารัมมณปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตปัจจัย
- วัตถุปุเรชาตปัจจัยนี้ คำอธิบายตลอดจนองค์ธรรมต่าง
ๆ ทั้งหมดเหมือนกับ วัตถุปุเรชาตนิสสยปัจจัยทุกประการ
- ๑. วัตถุปุเรชาต หมายความว่า
วัตถุ ๖ ที่เกิดก่อน
- ๒. ประเภท รูปเป็นปัจจัย นามเป็นปัจจยุบบันน
- ๓. ชาติ เป็นวัตถุปุเรชาตชาติ
หมายความว่า ปัจจัยธรรมซึ่งช่วยอุปการะแก่ ปัจจยุบบันนธรรมนั้น โดยการที่เป็น
ที่ตั้งด้วย และโดยการที่เกิดก่อนด้วย
- ๔. กาล เป็นกาลปัจจุบัน หมายความว่า
แม้ปัจจัยธรรมจะเกิดก่อน แต่ก็ยัง ไม่ทันดับไป คือ ยังอยู่ในระหว่าง
ฐีติขณะ ยังไม่ทันถึงภังคขณะ
- ๕. สัตติ มีทั้ง ชนกสัตติ และอุปถัมภกสัตติ
- ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่
วัตถุ ๖ คือ จักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆานวัตถุ ชิวหาวัตถุ กายวัตถุ และหทยวัตถุ ที่เกิดก่อนปัจจยุบบันน
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันน ได้แก่ จิต ๘๕
(เว้นอรูปวิบาก ๔) ทั้งที่แน่นอน และไม่แน่นอน ในปัญจโวการภูมิ ที่เป็นปวัตติกาล
- องค์ธรรมของปัจจนิก ได้แก่ โลภมูลจิต
๘, โมหมูลจิต ๒, มโนทวารา วัชชนจิต ๑, มหากุสลจิต ๘,
มหากิริยาจิต ๘, อรูปจิต ๑๒ และโลกุตตรจิต ๗ (เว้นโสดาปัตติมัคคจิต ๑) รวมจิต
๔๖ ดวง ทั้งที่แน่นอน
และไม่แน่นอน ปัญจโวการปฏิสนธิจิต ๑๕ และรูปทั้งหมด
- ที่ว่าทั้งที่แน่นอนและไม่แน่นอนนั้น
เรื่องนี้ได้แสดงไว้ในปริจเฉทที่ ๓ ตอน วัตถุสังคหะ แล้ว แต่เพื่อทบทวน
ความจำ จึงขอกล่าวซ้ำในที่นี้อีกว่า
- (๑) ปัจจยุบบันนธรรมที่แน่นอน ได้แก่
โทสมูลจิต ๒, อเหตุกจิต ๑๗ (เว้น มโนทวาราวัชชนจิต ๑) มหาวิบาก ๘, รูปาวจรจิต
๑๕ และโสดาปัตติมัคคจิต ๑ รวมจิต ๔๓ ดวงนี้ ต้องอาศัยวัตถุเกิดอย่างแน่นอน
- (๒) ปัจจยุบบันนธรรมที่ไม่แน่นอน ได้แก่
โลภมูลจิต ๘, โมหมูลจิต ๒, มโนทวาราวัชชนจิต ๑, มหากุสลจิต ๘, มหากิริยาจิต ๘,
อรูปกุสลจิต ๔, อรูป กิริยาจิต ๔ และโลกุตตรจิต ๗ (เว้นโสดาปัตติมัคคจิต ๑) รวมจิต
๔๒ ดวงนี้ ถ้าเกิดในปัญจโวการภูมิ ก็ต้องอาศัยวัตถุเกิด ถ้าเกิดในจตุโวการภูมิไม่ต้องอาศัยวัตถุ
ก็เกิดได้
- (๓) ปัจจนิกธรรมที่แน่นอน ได้แก่ อรูปวิบากจิต
๔ และ รูปทั้งหมดซึ่งเกิด ขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุ จึงเป็นปัจจนิกธรรมที่แน่นอน
- (๔) ปัจจนิกธรรมที่ไม่แน่นอน ก็คือ จิต
๔๒ ดวง ตามข้อ (๒) นั่นเอง ซึ่งจิต ๔๒ ดวงนี้ เกิดในปัญจโวการภูมิ ก็เป็นปัจจยุบบันนธรรม
ถ้าเกิดในจตุโว การภูมิ ก็เป็นปัจจนิกธรรมไป จึงว่าไม่แน่นอน
- ๗. ความหมายโดยย่อ วัตถุปุเรชาตปัจจัยนี้
มี ๓ วาระ คือ
- (๑) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ วัตถุ
๖ ที่เกิดก่อน เป็นวัตถุปุเรชาต ปัจจัย วิบากจิต ๓๒ (เว้นอรูปวิบาก ๔), กิริยาจิต
๒๐ ที่เกิดทีหลังวัตถุ ๖ นั้น เป็นวัตถุปุเรชาตปัจจยุบบันน เช่น
- วัตถุ ๕ มีจักขุวัตถุ เป็นต้น เป็นวัตถุปุเรชาตปัจจัย
ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น เป็นวัตถุปุเรชาตปัจจยุบบันน
- หทยวัตถุ ที่เกิดพร้อมกับจิตดวงที่เกิดก่อน
ๆ มีปฏิสนธิจิตเป็นต้น เป็นวัตถุ ปุเรชาตปัจจัยวิบากจิต ๒๒ (เว้นทวิปัญจวิญญาณ
๑๐ อรูปวิบาก ๔) เป็นวัตถุปุเร ชาตปัจจยุบบันน หทยวัตถุ ที่เกิดอยู่ก่อนเวลาที่จะออกจาก
นิโรธสมาบัตินั้น เป็นวัตถุปุเรชาต ปัจจัย อนาคามิผลจิต ๑ อรหัตตผลจิต ๑ ที่เกิดขึ้นในขณะออกจากนิโรธสมาบัตินั้น
เป็นวัตถุปุเรชาตปัจจยุบบันน
- วัตถุ ๖ ที่เกิดพร้อมกับจิตดวงที่นับถอยหลังจากจุติจิตไป
๑๗ ขณะ เป็น วัตถุปุเรชาตปัจจัย จิตที่เกิดพร้อม
กับวัตถุ ๖ ที่เหลือ ๑๖ ขณะ อันได้แก่ โลกีย วิบากจิต ๒๘ (เว้นอรูปวิบาก ๔) กิริยาจิต
๒๐ เป็น
วัตถุปุเรชาตปัจจยุบบันน
- (๒) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่กุสล หทยวัตถุที่เกิดพร้อมกับจิตดวงก่อน
ๆ มีอาวัชชนจิต เป็นต้น เป็น
วัตถุปุเรชาตปัจจัย กุสลนามขันธ์ ๔ อันได้แก่ กุสลจิต ๒๑ ที่เกิดทีหลัง เป็นวัตถุปุเรชาตปัจจยุบบันน
- หทยวัตถุที่เกิดพร้อมกับจิตดวงที่นับถอยหลังจากจุติจิตไป
๑๗ ขณะเป็นวัตถุ ปุเรชาตปัจจัย
มรณาสันนกุสลชวนะ อันได้แก่ โลกียกุสลจิต ๑๗ เป็นวัตถุปุเรชาต ปัจจยุบบันน
- (๓) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อกุสล หทยวัตถุที่เกิดพร้อมกับจิตดวงก่อน
ๆ มี อาวัชชนจิต เป็นต้น เป็น
วัตถุปุเรชาตปัจจัย อกุสลนามขันธ์ ๔ อันได้แก่ อกุสลจิต ๑๒ เป็นวัตถุปุเรชาตปัจจยุบบันน
- หทยวัตถุ ที่เกิดพร้อมกับจิตดวงที่นับถอยหลังจากจุติจิตไป
๑๗ ขณะ เป็น วัตถุปุเรชาตปัจจัย
มรณาสันนอกุสลชวนะ อันได้แก่ อกุสลจิต ๑๒ เป็นวัตถุปุเร ชาตปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ รวม
๘ ปัจจัย คือ
- ๑. วัตถุปุเรชาตนิสสยปัจจัย ๒.
อารัมมณปัจจัย
- ๓. อารัมมณาธิปติปัจจัย ๔.
อารัมมณูปนิสสยปัจจัย
- ๕. วัตถุปุเรชาตปัจจัย ๖.
วัตถุปุเรชาตวิปปยุตตปัจจัย
- ๗. วัตถุปุเรชาตัตถิปัจจัย ๘.
วัตถุปุเรชาตอวิคตปัจจัย
อารัมมณปุเรชาตปัจจัย
- ๑. อารัมมณปุเรชาต หมายความว่า
อารมณ์เฉพาะที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น และเกิดก่อนปัจจยุบบันนธรรมด้วย
- ๒. ประเภท รูปเป็นปัจจัย นามเป็นปัจจยุบบันน
- ๓. ชาติ เป็นอารัมมณชาติ หมายความว่า
ปัจจัยนั้นได้แก่อารมณ์ และในที่นี้ หมายเฉพาะอารมณ์ที่เป็น
นิปผันนรูปเท่านั้น
- ๔. กาล เป็นปัจจุบันกาล หมายความว่า
แม้อารมณ์นั้นจะเกิดก่อน แต่ก็ยัง คงมีอยู่ ยังไม่ทันดับไป คือยังอยู่ใน
ฐีติขณะ จึงจะเป็นปัจจัยได้
- ๕. สัตติ มีทั้ง ชนกสัตติ และอุปถัมภกสัตติ
- ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่
อารมณ์ ๖ ที่เป็น นิปผันนรูป ๑๘ และยัง อยู่ในระหว่างฐีติขณะ
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันน ได้แก่ กามจิต
๕๔ อภิญญาจิต ๒ เจตสิก ๕๐ (เว้นอัปปมัญญา) ที่เกิดจาก
ปัจจุบันนิปผันนรูป ๑๘
- องค์ธรรมของปัจจนิก ได้แก่ จิต ๗๖(เว้นทวิปัญจวิญญาณ
๑๐ มโนธาตุ ๓) ที่ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ ๖ ที่เป็นปัจจุบันนิปผันนรูป ๑๘ และรูปทั้งหมด
- ๗. ความหมายโดยย่อ อารัมมณปุเรชาตปัจจัย
นี้มี ๓ วาระ
- (๑) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อารมณ์
๖ คือปัจจุบันนิปผันนรูป ๑๘ เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจัย
กามวิบากจิต ๒๓ กามกิริยาจิต ๑๑ กิริยาอภิญญาจิต ๑ เจตสิก ๓๕ (เว้นวิรตี) เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจยุบบันน
เช่น
- รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์
โผฏฐัพพารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจัย
ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ มโนธาตุ ๓ เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจยุบบันน
- ปัจจุบันนิปผันนรูป ๑๘ เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจัย
มโนทวาราวัชชนจิต ๑, กามกิริยาชวนะ ๙, ตทาลัมพนะ ๑๑ เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจยุบบันน
- พระอรหันต์พิจารณา จักขุ โสต ฆาน ชิวหา
กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏ ฐัพพะ และหทยวัตถุ โดยความเป็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปเหล่านี้ที่เป็นปัจจุบัน เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจัย
มหากิริยาจิต ๘ ที่พิจารณารูปเหล่านี้
เป็นอารัมมณ ปุเรชาตปัจจยุบบันน
- พระอรหันต์เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ได้ยินเสียงด้วยทิพพโสต
รูปและเสียงนั้น เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจัย กิริยาอภิญญาจิตของพระอรหันต์ ที่เห็นรูปนั้น
ที่ได้ ยินเสียงนั้น เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจยุบบันน
- (๒) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่กุสล อารมณ์
๖ คือ ปัจจุบันนิปผันนรูป ๑๘ เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจัย มหากุสล ๘, กุสลอภิญญา
๑, เจตสิก ๓๖ (เว้น อัปปมัญญา) เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจยุบบันน เช่น
- พระเสกขบุคคลและปุถุชนทั้งหลายพิจารณา
จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ
หทยวัตถุ โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปเหล่านี้ที่เป็นปัจจุบัน เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจัย
มหากุสลจิต ๘
ที่พิจารณารูป เหล่านี้เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจยุบบันน
- พระเสกขบุคคลและปุถุชนทั้งหลาย เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ
ได้ยินเสียงด้วย ทิพพโสต รูปและเสียงนั้นเป็น
อารัมมณปุเรชาตปัจจัย กุสลอภิญญาจิตที่เห็นรูปนั้น ที่ได้ยินเสียงนั้น เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจยุบบันน
- (๓) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อกุสล อารมณ์
๖ คือ ปัจจุบันนิปผันนรูป ๑๘ เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจัย
อกุสลจิต ๑๒ เจตสิก ๒๗ เป็นอารัมมณปุเรชาต ปัจจยุบบันน เช่น
- ยินดีเพลิดเพลินต่อ จักขุ โสต ฆานะ ชิวหา
กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และหทยวัตถุ เมื่อนึกถึงรูป
เหล่านี้แล้วมี ราคะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ และโทมนัสเกิดขึ้น รูปเหล่านี้ที่เป็นปัจจยุบบันน
เช่น
อารัมมณปุเรชาตปัจจัย ราคะ ทิฏฐิเป็นต้นที่เกิดขึ้นอันได้แก่อกุสลจิต ๑๒ นั้น
เป็นอารัมมณปุเรชาตปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ รวม
๘ ปัจจัย คือ
- ๑. อารัมมณปุเรชาตปัจจัย ๒.
อารัมมณปัจจัย
- ๓. อารัมมณาธิปติปัจจัย ๔.
วัตถารัมมณปุเรชาตนิสสยปัจจัย
- ๕. อารัมมณูปนิสสยปัจจัย ๖.
วัตถารัมมณปุเรชาตวิปปยุตตปัจจัย
- ๗. อารัมมณปุเรชาตัตถิปัจจัย ๘.
อารัมมณปุเรชาตอวิคตปัจจัย
๑๑. ปัจฉาชาตปัจจัย
- เมื่อกล่าวมาถึงปัจจัยที่ ๑๑ นี้ก็จะเห็นได้ว่าคำว่า
ชาตะ มีอยู่ ๓ ปัจจัย คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะนี้
อันคำว่า ชาตะ ในปัจจัย ๒๔ นี้มีความ หมายถึง ๓ อย่าง คือ
- สหชาตะ ได้แก่ นาม รูป ที่เกิดอยู่ใน
อุปาทะ ฐีติ ภังคะ
- ปุเรชาตะ ได้แก่ รูป ที่เกิดอยู่ในฐีติขณะเท่านั้น
- ปัจฉาชาตะ ได้แก่ นามที่เกิดอยู่ใน
อุปาทะ และฐีติขณะ
- ๑. ปัจฉาชาตะ หมายความถึงนามที่เกิดทีหลัง
ช่วยอุปการะแก่รูปที่เกิดก่อน
- ๒. ประเภท นามเป็นปัจจัย รูปเป็นปัจจยุบบันน
- ๓. ชาติ เป็นปัจฉาชาตชาติ หมายความว่า
ปัจจัยธรรมนั้นเกิดทีหลังแล้วช่วย อุปการะแก่ปัจจยุบบันนธรรมที่
เกิดก่อน
- ๔. กาล เป็นปัจจุบันกาล หมายความว่า
ปัจจัยธรรมนั้นยังไม่ดับไป
- ๕. สัตติ มีอำนาจเป็น อุปถัมภกสัตติ
แต่อย่างเดียว
- ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่
จิต ๘๕ (เว้นอรูปวิบาก ๔ และปฏิสนธิ จิต) เจตสิก ๕๒ ที่เกิดทีหลัง
มีปฐมภวังคจิต เป็นต้น ที่เกิดอยู่ในปัญจโวการภูมิ
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันน ได้แก่ รูป ที่เป็นฐีติปัตตะ
ที่เกิดพร้อมกับขณะทั้ง ๓ ของจิตที่เกิดก่อน ๆ มีปฏิสนธิจิต
เป็นต้น
- องค์ธรรมของปัจจนิก ได้แก่ จิต ๘๙, เจตสิก
๕๒, รูปขณะที่เกิดขึ้น (อุปาทขณะของรูป), พาหิรรูป,
อสัญญสัตตกัมมชรูป
- ๗. ความหมายโดยย่อ ปัจฉาชาตปัจจัยนี้
มี ๓ วาระ
- (๑) กุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ กุสลนามขันธ์
๔ ได้แก่ กุสลจิต ๒๑ เจตสิก ๓๘ ที่เกิดทีหลังในปัญจโวการภูมิ เป็นปัจฉาชาตปัจจัย
รูป ๒๘ คือ ติชกาย ได้แก่ กัมมชรูป จิตตชรูป อุตุชรูป ในรูปภูมิ, จตุชกาย ได้แก่
กัมมชรูป
จิตตชรูป อุตุชรูป อาหารชรูป ในกามภูมิ ที่กำลังถึงฐีติขณะของรูป จึงเกิดมาพร้อม
กับจิตดวงก่อน ๆ เป็น
ปัจฉาชาตปัจจยุบบันน
- (๒) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ อกุสลนามขันธ์
๔ ได้แก่ อกุสลจิต ๑๒ เจตสิก ๒๗ ที่เกิดทีหลังเป็น
ปัจฉาชาตปัจจัย รูป ๒๘ คือติชกาย จตุชกายที่กำลัง ถึงฐีติขณะของรูป ซึ่งเกิดมาพร้อมกับจิตดวงก่อน
ๆ เป็นปัจฉาชาตปัจจยุบบันน
- (๓) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ วิบากนามขันธ์
๔ ได้แก่ วิบากจิต ๓๒ (เว้นอรูปวิบาก ๔ และปฏิสนธิจิต), กิริยานามขันธ์ ๔ ได้แก่
กิริยาจิต ๒๐ เจตสิก ๓๘ ที่เกิดทีหลัง เป็นปัจฉาชาตปัจจัย เอกชกาย ได้แก่ ปฏิสนธิกัมมชรูป,
ทวิชกาย ได้แก่ กัมมชรูป อุตุชรูป, ติชกาย ในปัญจโวการรูปภูมิ จตุชกาย ในกามภูมิ
ที่กำลังถึงฐีติขณะของรูป ซึ่งเกิดมาพร้อมกับจิตดวงก่อน ๆ มีปฏิสนธิจิต เป็นต้น
เป็นปัจฉาชาตปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ รวม
๔ ปัจจัย คือ
- ๑. ปัจฉาชาตปัจจัย ๒.
ปัจฉาชาตวิปปยุตตปัจจัย
- ๓. ปัจฉาชาตัตถิปัจจัย ๔.
ปัจฉาชาตอวิคตปัจจัย
๑๒. อาเสวนปัจจัย
- อาเสวนปัจจัย หมายถึง การเสพบ่อย ๆ ในวิถีหนึ่ง
ๆ การเสพบ่อย ๆ แต่ละ วิถีนั้นก็มีจิตที่ทำกิจนี้ คือ
ชวนจิต ๕๕ ดวงเท่านั้นเอง แต่จะต้องประกอบด้วย ลักษณะ ๓ อย่าง ดังต่อไปนี้ด้วย
คือ
- ก. ต้องเป็นจิตชาติเดียวกัน
- ข. ต้องเกิดซ้ำกันอย่างน้อย ๔ หรือ ๕
ขณะ
- ค. ต้องไม่ใช่วิบากชวนจิต ถ้าไม่ครบลักษณะทั้ง
๓ นี้ด้วยแล้ว ก็ไม่เป็นอาเสวนปัจจัย
- ๑. อาเสวนะ หมายความว่า เสพบ่อย
ๆ
- ๒. ประเภท นามเป็นปัจจัย นามเป็นปัจจยุบบันน
- ๓. ชาติ เป็นอนันตรชาติ หมายความว่า
ปัจจัยธรรมนั้นช่วยอุปการะให้ปัจจ ยุบบันนธรรมเกิดโดยไม่มี
ระหว่างคั่น
- ๔. กาล เป็นอดีตกาล หมายความว่า
ปัจจัยธรรมนั้นจะต้องดับไปเสียก่อน จึงจะอุปการะให้ปัจจยุบบันนธรรม
เกิดขึ้นได้
- ๕. สัตติ มีอำนาจอย่างเดียว คือ
ชนกสัตติ
- ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่
โลกียชวนจิต ๔๗ ที่เกิดก่อน ๆ (เว้นชวนะ ดวงสุดท้าย) ที่เป็นชาติเดียวกัน
เจตสิก ๕๒
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันน ได้แก่ชวนจิต
๕๑ ที่เกิดหลัง ๆ(เว้นชวนดวงที่ ๑ และผลชวนจิต ๔) เจตสิก ๕๒
- องค์ธรรมของปัจจนิก ได้แก่ชวนจิตดวงที่
๑ ของกามชวนจิต ๒๙, อาวัชชน จิต ๒, วิบากจิต ๓๖, เจตสิก ๕๒ และรูปทั้งหมด
- ๗. ความหมายโดยย่อ อาเสวนปัจจัยนี้
มี ๓ วาระ
- (๑) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสล โลกียกุสลชวนจิต
๑๗ ที่เกิดก่อน ๆ (เว้นชวนะ ดวงสุดท้าย) เป็นอาเสวนปัจจัย
กุสลชวนจิต ๒๑ ที่เกิดหลัง ๆ(เว้นชวนะดวงที่ ๑) เป็นอาเสวนปัจจยุบบันน
- (๒) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสล อกุสลชวนจิต
๑๒ ที่เกิดก่อน ๆ (เว้นชวนะ ดวงสุดท้าย) เป็นอาเสวนปัจจัย
อกุสลชวนจิต ๑๒ ที่เกิดหลัง ๆ (เว้นชวนะดวงที่ ๑) เป็นอาเสวนปัจจยุบบันน
- (๓) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ กิริยาชวนจิต
๑๘ ที่เกิดก่อน ๆ (เว้น ชวนะดวงสุดท้าย) เป็น
อาเสวนปัจจัย กิริยาชวนจิต ๑๘ ที่เกิดหลัง ๆ (เว้นชวนะ ดวงที่ ๑) เป็นอาเสวนปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ รวม
๖ ปัจจัย คือ ๑. อาเสวนปัจจัย ๒. อนันตรปัจจัย ๓. สมนันตรปัจจัย ๔. อนันตรูปนิสสยปัจจัย
๕. นัตถิปัจจัย ๖. อวิคตปัจจัย
๑๓. กัมมปัจจัย
- กรรม หมายถึง การจงใจกระทำ องค์ธรรมได้แก่
เจตนาเจตสิก ดังที่ อัฏฐ สาลินีอรรถกถาแสดงไว้ว่า เจตนาหํ
ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ เจตยิตฺวา กมฺมํ กาเยน วาจาย มนสา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า
ภิกษุทั้งหลาย เรา(ตถาคต)
กล่าวว่า เจตนานั่นแหละ เป็นกรรม เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมกระทำกรรมโดยทางกาย
ทางวาจา และทางใจ
- เจตนา ที่เป็นตัวกรรมนั้น มี กิจฺจ
หรือ สตฺติ อำนาจหน้าที่ ๒ อย่าง คือ
- ๑. เจตนา คือ ความจงใจในสัมปยุตตธรรม
ที่เป็น กุสล อกุสล วิบาก กิริยา ทุก ๆ ขณะที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัจจัย ช่วยอุปการะให้เกิดกุสลนามขันธ์
๔, อกุสล นามขันธ์ ๔, วิบากนามขันธ์ ๔ และ กิริยานามขันธ์ ๔ ดังนี้เรียกตาม กิจ
หรือ สัตติ คือ อำนาจหน้าที่ว่าเป็น สังวิธานกิจ หมายความว่า จงใจปรุงแต่ง
จัดแจง ให้สำเร็จกิจนั้น ๆ เรียกตาม
ปัจจัย คือตามความอุปการะช่วยเหลือก็เป็น สหชาตกัมมปัจจัย หมายถึง เจตนาที่เกิดพร้อมในขณะเดียวกันกับ
สัมปยุตตธรรม คือ เกิด ในกาลปัจจุบัน
- ๒. เจตนา คือ ความจงใจในสัมปยุตตธรรม
เฉพาะที่เป็นกุสลและอกุสลเท่านั้น ที่ดับไปแล้ว แต่อำนาจ
แห่งเจตนานั้นเป็นปัจจัยช่วยอุปการะให้เกิดผลวิบาก และกัมมชรูปในอนาคตอย่างนี้เรียกตามกิจหรือสัตติ
อำนาจ
หน้าที่ว่าเป็น พีชนิธานกิจ หมายความว่า ยังให้เกิดพืชพันธุ์ขึ้น เรียกตามปัจจัย
คือ ตามความอุปการะ ช่วยเหลือ
ว่าเป็น นานักขณิกกัมมปัจจัย หมายถึงเจตนาที่เกิดในขณะที่ต่าง ๆ กัน เกิดในกาลอนาคต
ที่เป็นปฏิสนธิกาลก็ได้ ที่เป็นปวัตติกาลก็ได้
- รวมได้ความว่า กัมมปัจจัยนี้ จำแนกออกได้เป็น
๒ คือ สหชาตกัมมปัจจัย และ นานักขณิกกัมมปัจจัย แต่ละปัจจัยมีความหมายสั้น ๆ
ดังนี้
- ก. เจตนา ที่สัมปยุตตกับสหชาตธรรม เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นาม
คือ จิต เจตสิก และแก่รูป ที่เกิดพร้อม
กับเจตนานั้น อย่างนี้ได้ชื่อว่า สหชาตกัมมปัจจัย
- ข. เจตนาที่ต่างขณะกัน คือ เจตนานั้น
หรือกรรมนั้น หรือสหชาตกัมมนั้น ได้ดับไปแล้ว เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นามและแก่รูปที่เกิดขึ้นในอนาคต
โดยอาศัย อำนาจแห่งกรรมที่ดับไปแล้วนั้น อย่างนี้ได้
ชื่อว่า นานักขณิกกัมมปัจจัย
สหชาตกัมมปัจจัย
- ๑. สหชาตกัมม หมายความว่า เจตนาที่เกิดพร้อม
- ๒. ประเภท นามเป็นปัจจัย นามรูปเป็นปัจจยุบบันน
- ๓. ชาติ เป็นสหชาตชาติ หมายความว่า
ปัจจัยธรรมกับปัจจยุบบันนธรรม เกิดพร้อมกันในจิตดวงเดียวกัน
- ๔. กาล เป็นปัจจุบัน หมายความว่าทั้งปัจจัยและปัจจยุบบันน
ต่างก็ยังไม่ทัน ดับไป
- ๕. สัตติ มีทั้ง ชนกสัตติ และอุปถัมภกสัตติ
- ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่
เจตนาเจตสิก ๘๙ ที่ในจิต ๘๙
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันน ได้แก่ จิต ๘๙
เจตสิก ๕๑(เว้นเจตนา) จิตตชรูป ปฏิสนธิกัมมชรูป
- องค์ธรรมของปัจจนิก ได้แก่ เจตนาเจตสิก
๘๙ ที่ในจิต ๘๙, และพาหิรรูป, อาหารชรูป, อุตุชรูป,
อสัญญสัตตกัมมชรูป, ปวัตติกัมมชรูป
- ๗. ความหมายโดยย่อ สหชาตกัมมปัจจัยนี้มี
๗ วาระ
- (๑) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสล เจตนาเจตสิก
๒๑ ที่ในกุสลจิต ๒๑ เป็นสหชาต กัมมปัจจัย กุสลจิต ๒๑ เจตสิก ๓๗ (เว้นเจตนา) เป็นสหชาตกัมมปัจจยุบบันน
- (๒) กุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ เจตนาเจตสิก
๒๑ ที่ในกุสลจิต ๒๑ ใน ปัญจโวการภูมิ เป็นสหชาตปัจจัย จิตตชรูปที่มีกุสลนามขันธ์
๔ เป็นสมุฏฐานนั้น เป็นสหชาตกัมมปัจจยุบบันน
- (๓) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสลด้วยแก่อพยากตะด้วย
เจตนาเจตสิก ๒๑ ที่ใน กุสลจิต ๒๑ ในปัญจโวการภูมิ เป็นสหชาตกัมมปัจจัย กุสลจิต
๒๑ เจตสิก ๓๗ (เว้นเจตนา) ด้วย และจิตตชรูป ซึ่งมีกุสลนามขันธ์ ๔ เป็นสมุฏฐาน
นั้นด้วย เป็นสหชาตกัมมปัจจยุบบันน
- (๔) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสล เจตนาเจตสิก
๑๒ ที่ในอกุสลจิต ๑๒ เป็น สหชาตกัมมปัจจัย อกุสลจิต ๑๒
เจตสิก ๒๖ (เว้นเจตนา) เป็นสหชาตกัมม ปัจจยุบบันน
- (๕) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ เจตนาเจตสิก
๑๒ ที่ในอกุสลจิต ๑๒ ใน ปัญจโวการภูมิ เป็นสหชาตกัมมปัจจัย
จิตตชรูป ซึ่งมีอกุสลนามขันธ์ ๔ เป็นสมุฏ ฐานนั้น เป็นสหชาตกัมมปัจจยุบบันน
- (๖) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสลด้วยแก่อพยากตะด้วย
เจตนาเจตสิก ๑๒ ที่ใน อกุสลจิต ๑๒ ในปัญจโวการภูมิ เป็นสหชาตกัมมปัจจัย อกุสลจิต
๑๒ เจตสิก ๒๖ (เว้นเจตนา) ด้วย และจิตตชรูป ซึ่งมีอกุสลนามขันธ์ ๔ เป็น
สมุฏฐานนั้นด้วย เป็นสหชาตกัมมปัจจยุบบันน
- (๗) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ เจตนาเจตสิกที่ในวิบากจิต
๓๖ และ ที่ในกิริยาจิต ๒๐ ในปวัตติกาล
และในปฏิสนธิกาลตามสมควร เป็นสหชาตกัมมปัจจัย วิบากจิต ๓๖ กิริยาจิต ๒๐ เจตสิก
๓๗(เว้นเจตนา)
วิบากจิตตชรูป กิริยาจิตตชรูป ในปวัตติกาล และปฏิสนธิกัมมชรูป ในปฏิสนธิกาล เป็นสหชาตกัมมปัจจยุบบันน
- ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ รวม
๑๐ ปัจจัย คือ
- ๑. สหชาตกัมมปัจจัย ๒.
สหชาตปัจจัย ๓. อัญญมัญญปัจจัย
- ๔. สหชาตนิสสยปัจจัย ๕.
วิปากปัจจัย ๖. นามอาหารปัจจัย
- ๗. สัมปยุตตปัจจัย ๘.
สหชาตวิปปยุตตปัจจัย ๙. สหชาตัตถิปัจจัย
- ๑๐. สหชาตอวิคตปัจจัย
นานักขณิกกัมมปัจจัย
- เมื่อขณะกระทำทุจจริตก็ดี สุจริตก็ดี
เจตนาที่เกิดพร้อมกับอกุสลจิตหรือกุสล จิตนั้น เป็นสหชาตกัมมปัจจัย ครั้นอกุสลจิตหรือกุสลจิตพร้อมด้วยเจตนานั้น
ๆ ดับ ไปแล้ว เจตนานั้นก็มีสภาพกลับกลายเป็น นานักขณิกกัมมปัจจัย มีอำนาจหน้าที่
ให้บังคับผลแก่ผู้นั้นในอนาคตกาล ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ทั้งในปวัตติกาล และ
ปฏิสนธิกาล
- นานักขณิกกรรม ที่เป็นกุสล อกุสลนั้น
มีอยู่ในสันดานด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อ ขณะที่จะส่งผลให้ปรากฏขึ้น
ย่อมอาศัย กาล คติ อุปธิ และ ปโยคะ เป็นเครื่อง ประกอบด้วย คือ
- ก. กาล หมายถึง คราว สมัย ในสมัยใดที่พระพุทธศาสนารุ่งเรือง
ผู้ปกครอง ประเทศปกครองด้วยความมี
สีลธรรมเป็นที่ตั้ง อย่างนี้เรียกว่า กาลสัมปัตติ ถ้าเป็น ไปอย่างตรงกันข้าม
ก็เรียกว่า กาลวิปัตติ
- ข. คติ หมายถึงว่า ผู้ที่เกิดอยู่ในสุคติภูมิ
มีมนุษย์ เทวดา พรหม ก็เรียกว่า คติสัมปัตติ ผู้ที่เกิดในทุคคติภูมิ
เป็นสัตว์นรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย เหล่านี้ เรียกว่า คติวิปัตติ