หน้า๑๔

         ปีติ ที่เป็นองค์ฌานนั้น ต้องถึง ผรณาปีติ ส่วนปีติอีก ๔ ไม่นับเป็นองค์ฌาน เพราะยังเป็นของหยาบอยู่
          อนึ่ง ปีติ กับ สุข ต่างกัน คือ ปีติ เป็นสังขารขันธ์ สุข เป็นเวทนาขันธ์ และเมื่อมี ปีติ จะต้องมีสุขเสมอแน่นอน แต่ว่า เมื่อมีสุข อาจจะไม่มีปีติด้วยก็ได้

ฉันทเจตสิก

         ๖. ฉันทเจตสิก คือความพอใจในอารมณ์ ความปลงใจที่จะทำ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

         กตฺตุกมฺยตา ลกฺขโณ                           มีความปรารถนาเพื่อจะกระทำ เป็นลักษณะ
         อารมฺมณปริเยสนรโส                           มีการแสวงอารมณ์ เป็นกิจ
         อารมฺมเณน อตฺถิกตาปจฺจุปฏฺฐาโน            มีความปรารถนาอารมณ์ เป็นผล
         อารมฺมณปทฏฺฐาโน                             มีอารมณ์ เป็นเหตุใกล้

อกุศลเจตสิก

         อกุศลเจตสิก คือ เจตสิกที่ชั่ว ที่บาป ที่หยาบ ที่ไม่งาม ที่ไม่ฉลาด อกุศลเจตสิกนี้ เมื่อประกอบกับจิตแล้ว
ก็ทำให้จิตเศร้าหมองเร่าร้อน และทำให้เสียศีลธรรม

         อกุศลเจตสิก ประกอบกับอกุศลเจตสิก ๑๒ ดวงเท่านั้น ไม่ประกอบกับจิตอย่างอื่นเลย และเพราะเหตุว่าอกุศลเจตสิก ประกอบกับอกุศลจิต ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าอกุศลเจตสิก ไม่ชื่อว่าอโสภณเจตสิก เพราะถ้าชื่อว่า


หน้า ๑๕

อโสภณเจตสิกแล้ว ก็จะมีความหมายไปว่า ต้องประกอบกับอโสภณจิตได้ทั้งหมด กล่าวคือต้องประกอบกับอเหตุกจิตด้วย

         อกุศลเจตสิก มี ๑๔ ดวง แบ่งออกเป็น ๕ พวก คือ

         ก. โมจตุกเจตสิก หมายความว่า เป็นเจตสิกพวกมีโมหะมี ๔ ดวงด้วยกัน คือ โมหเจตสิก อหิริกเจตสิก
อโนตตัปปเจตสิก และอุทธัจจเจตสิก โมจตุก นี้ ประกอบกับอกุศลเจตสิกได้ทั้งหมดทั้ง ๑๒ ดวง ดังนั้นจึงมีชื่อ
อีกชื่อว่า สัพพากุศลสาธารณเจตสิก หมายความว่า เป็นเจตสิกที่สาธารณแก่ อกุศลจิต ทั้งหมด

         ข. โลติกเจตสิก หมายความว่าเป็นเจตสิกพวกโลภะ มี ๓ ดวงด้วยกัน คือ โลภเจตสิก ทิฏฐิเจตสิก และมานะเจตสิก โลติกนี้ประกอบได้เฉพาะแต่โลภมูลจิต ๘ ดวงเท่านั้น

         ค. โทจตุกเจตสิก หมายความว่า เป็นเจตสิกพวกโทสะมี ๔ ดวงด้วยกัน คือ โทสเจตสิก อิสสาเจตสิก มัจฉริยเจตสิก และกุกกุจจเจตสิก โทจตุก นี้ประกอบได้แต่เฉพาะโทสมูลจิต ๒ ดวงเท่านั้น

         ง. ถีทุกเจตสิก หมายความว่า เป็นเจตสิกพวกถีนะ มี ๒ ดวงด้วยกัน คือ ถีนเจตสิก และมิทธเจตสิก ถีทุก นี้
ประกอบได้เฉพาะแต่อกุศลจิตที่เป็นสสังขาริก ๕ ดวงเท่านั้น

         จ. วิจิกิจฉาเจตสิก ไม่มีพวก มีแต่ตัวดวงเดียว และประกอบได้เฉพาะแต่ โมหมูลจิตที่เป็นวิจิกิจฉา ดวงเดียวเท่านั้น เอง


หน้า ๑๖

         อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวงนั้น ดังนี้

โมหเจตสิก

         ๑. โมหเจตสิก คือ ความหลง ความไม่รู้จริงตามสภาวะของอารมณ์ มีลักขณาทิจตุกะดังนี้

         อญาณลกฺขโณ                            มีการไม่รู้ เป็นลักษณะ
         อารมมฺมณสภาวจฺฉาทนรโส             มีการปกปิดไว้ซึ่งสภาวะแห่งอารมณ์ เป็นกิจ
         อนฺธการปจฺจุปฏฺฐาโน                    มีความมืดมน เป็นผล
         อโยนิโสมนสิการปทฏฺฐาโน               มีการไม่เอาใจใส่เป็นอันดีก่ออารมณ์นั้น เป็นเหตุใกล้

         ที่ว่า ไม่รู้นั้น หมายความว่าไม่รู้ในการสิ่งควรรู้ แต่ไม่รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้
         ความไม่รู้ในที่นี้ หมายเฉพาะ ไม่รู้ในธรรม ๘ ประการ คือ

         (๑) ทุกฺเข อญาณํ                           ไม่แจ้งในทุกข์
         (๒) ทุกฺขสมุทเย อญาณํ                    ไม่แจ้งเหตุให้เกิดทุกข์
         (๓) ทุกฺขนิโรเธ อญาณํ                     ไม่แจ้งการดับทุกข์
         (๔) ทุกฺขนิโรธคามินิปฏิปทาย อญาณํ     ไม่แจ้งหนทางที่จะดับทุกข์
         (๕) ปุพฺพนฺเต ยญาณํ                      ไม่แจ้งในขันธ์ อายตน ธาตุ อินทริย์ สัจจ ปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นส่วนอดีต
                                                         ( อเหตุกทิฏฐิ ไม่เชื่อเหตุ )
         (๖) อปรนฺเต อญาณํ                        ไม่แจ้งในขันธ์ อายตน ธาตุ อินทรีย์ สัจจ ปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นส่วน                                                          อนาคต ( อุจเฉททิฏฐิ เห็นว่าสูญและนัตถิกทิฏฐิ ไม่เชื่อผล )


หน้า ๑๗

         (๗) ปุพฺพนฺตาปรนฺเต อญาณํ                           ไม่แจ้งในขันธ์ อายตน ธาตุ อินทรีย์ สัจจ                                                                      ปฏิจจสมุปบาท ทั้งที่เป็นส่วนในอดีตและในอนาคต
                                                                     ( อกริยทิฏฐิ ไม่เชื่อทั้งเหตุทั้งผล )
         (๘) อธิปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปนฺเนสุ ธมฺเมสุ อญาณํ    ไม่แจ้งในธรรมที่มีเหตุให้เกิดผลอันต่อเนื่องกัน
                                                                     ( อัตตทิฏฐิเชื่อว่าเป็นตัวเป็นตน )

อหิริกเจตสิก

         ๒. อหิริเจตสิก คือ ความไม่ละอายต่อการทำบาป ไม่ละอายต่อการทำอกุศล มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

         กายทุจฺจริตาทีหิอชิคุจฺฉนลกฺขณํ                         มีการไม่เกลียดต่อกายทุจริต เป็นต้น เป็นลักษณะ
         ปาปานํกรณรสํ                                             มีการกระทำบาป เป็นกิจ
         อสงฺโกจนปจฺจุปฏฺฐานํ                                     มีความไม่เกลียดต่อบาปธรรม เป็นผล
         อตฺตอคารวปทฏฺฐานํ                                       มีการไม่เคารพตน เป็นเหตุใกล้

         ที่ไม่เคารพตน เพราะ
            ก. ไม่ละอายต่อ วัย
            ข. ไม่ละอายต่อ เพศ
            ค. ไม่ละอายต่อ ตระกูล
            ง. ไม่ละอายต่อ อกุศล


หน้า ๑๘

อโนตตัปปเจตสิก

         ๓. อโนตตัปเจตสิก คือ ความไม่สะดุ้งกลัวต่อการทำบาป ไม่สะดุ้งกลัวต่อการทำอกุศล มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

         อนุตฺตาสลกฺขณํ                                  มีการไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป เป็นลักษณะ
         ปาปานํกรณรสํ                                   มีการทำบาป เป็นกิจ
         อสงฺโกจนปจฺจุปฏฺฐานํ                            มีความไม่เกลียดต่อบาปธรรม เป็นผล
         ปรอคารวปทฏฺฐานํ                               ไม่มีการเคารพผู้อื่น เป็นเหตุใกล้

อุทธัจจเจตสิก

         ๔. อุทธัจจเจตสิก คือความฟุ้งซ่าน ไม่สงบ คิดฟุ้งไปในอารมณ์ต่างๆ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

         อวูปสมลกฺขณํ                                    มีความไม่สงบ เป็นลักษณะ
         อนวตฺถานรสํ                                     มีการไม่มั่นในอารมณ์เดียว เป็นกิจ
         ภนฺตตฺถ ปจฺจุปฏฺฐานํ                            มีความหวั่นไหว เป็นผล
         อโยนิโสมนสิการ ปทฏฺฐานํ                      มีการไม่เอาใจใส่เป็นอันดีต่ออารมณ์นั้น เป็นเหตุใกล้

โลภเจตสิก

         ๕. โลภเจตสิก คือ ความรัก ความอยากได้ ความติดใจในอารมณ์ทั้ง ๖ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้


หน้า ๑๙

        อารมฺมณคหณลกฺขโณ                            มีการยึดมั่นซึ่งอารมณ์ เป็นลักษณะ
           อภิสงฺครโส                                       มีการติดในอารมณ์ เป็นกิจ
           อปริจฺจาคปจฺจุปฏฺฐาโน                          มีการไม่บริจาค เป็นผล
           สํโยชนิธมฺเมสุ อสฺสาททสฺสนปทฏฺฐาโน         มีการดูด้วยความยินดีในสังโยชน์ เป็นเหตุใกล้

          อรรถของโลภะโดยปริยาย ในไวยกรณ์ ตามบาลีในปรมัตถทีปนีฎีกา ได้จำแนกออกไป ๑0 ประการ คือ
          (๑) ตัณหา ความต้องการ                          (๒) ราคะ ความกำหนัด
          (๓) กามะ ความใคร่                               (๔) นันทิ ความเพลิดเพลิน
          (๕) อภิชฌา ความเพ่งเล็ง                         (๖) ชเนตติ ความก่อให้เกิดกิเลส
          (๗) โปโนพภวิก ความนำให้เกิดในภพใหม่         (๘) อิจฉา ความปรารถนา
          (๙) อาสา ความหวัง                               (๑0) สังโยชน์ ความเกี่ยวข้อง ความผูกพันธ์ ผูกมัด รัดไว้                                                                ล่ามไว้

         ปริตสฺสตีติ ตณฺหาฯ (วิสุทธิมัคค) ความกระหายอยากได้ซึ่งอารมณ์นั้นเรียกว่า ตัณหา
         กาโม จ โสตณฺหา จาติ กามตณฺหา ฯ (ปรมัตถทีปนีฎีกา) ความกำหนัดที่อยากได้ซึ่งกามคุณอารมณ์นั้น เรียกว่า กามตัณหา
         สสฺสตทิฏฐิ สหคโต หิ ราโค ภวตณฺหาติ วุจฺจติฯ (วิสุทธิมัคค) ตัณหาที่เกิดพร้อมด้วย สัสสตทิฏฐิ เรียกว่า ภวตัณหา
         อุจฺเฉททิฏฐิ สหคโต หิ ราโค วิภวตณฺหา วุจฺจติ (วิสุทธิมัคค) ตัณหาที่เกิดพร้อมด้วย อุจเฉททิฏฐิ เรียกว่า วิภวตัณหา


หน้า ๒0

ทิฏฐิเจตสิก

         ๖. ทิฏฐิเจตสิก คือ ความเห็นผิดจากความเป็นจริงในสภาวธรรม มีลักขณาทิจตุกะดังนี้

         อโยนิโส อภินิเวส ลกฺขณา                       มีการถือมั่นด้วยหาปัญญามิได้ เป็นลักษณะ
         ปรามาส รสา                                     มีการถือผิดจากสภาวะ เป็นกิจ
         มิจฺฉาภินิเวสปจฺจุปฏฺฐานา                      มีการยึดถือความเห็นผิด เป็นผล
         อริยานํ อทสฺสน กามตาทิ ปทฏฺฐานา           ไม่ต้องการ เห็นพระอริยะ เป็นต้น เป็นเหตุใกล้

         คำว่า ทิฏฐิ แปลตามพยัญชนะ คือ ตามตัวอักษร ตามศัพท์ ก็แปลว่าความเห็น ไม่เจาะจงว่าเป็นความเห็นผิดหรือ ความเห็นถูกต้องตามสภาวะ
         แต่โดยอรรถ คือ ตามความหมายแห่งธรรมแล้ว ถ้าใช้ลอยๆ ว่า ทิฏฐิ เฉยๆ ก็หมายว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ
ความเห็นผิดเสมอไป เว้นไว้แต่ในที่ใดบ่งว่าเป็น สัมมาทิฏฐิ จึงมีความหมายว่าเป็นความเห็นชอบความเห็นถูก
         โดยเฉพาะ ทิฏฐิเจตสิก เป็นความเห็นผิดเสมอไป และทิฏฐินี้แบ่งเป็นหยาบๆ เป็น ๒ คือ ทิฏฐิสามัญ และทิฏฐิพิเศษ
         ทิฏฐิสามัญ ได้แก่สักกายทิฏฐิ คือ เห็นเป็นตัวตนบุคคลเราเขา อันเป็นความเห็นผิด แต่ที่จัดเป็นสามัญ เพราะทิฏฐิ ชนิดนี้ มีประจำทั่วทุกตัวสัตว์เป็นปกตวิสัย (เว้นพระอริยบุคคล)
         ทิฏฐิพิเศษ ได้แก่ นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ คือ อเหตุกทิฏฐิ ไม่เชื่อ


 

1