เครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องดีด


เครื่องสายมีกระโหลกเสียง และใช้นิ้วมือหรือไม้ดีดดีดสายให้สั่นสะเทือนเกิดเสียง เป็นเครื่องดนตรีประเภทหนึ่งซึ่งนักประวัติศาสตร์ยืนยันว่ามีกำเนิดในตะวันออกก่อน แล้วฝรั่งมาได้แบบอย่างนำเอาไปสร้างขึ้นเป็นดนตรีเครื่องสายชนิดต่างๆมี Lute, Robec และ Mandoline เป็นต้น เครื่องสายที่ใช้ดีดเหล่านี้เราเรียกตามภาษาบาลีและสันสกฤษว่า "พีณ" แต่เดิมคงใช้กระโหลกเสียงทำด้วยเปลือกผลน้ำเต้า เช่น พีณโบราณที่เรียกว่า พีณน้ำเต้า เป็นต้น ที่มีกล่าวถึงพีณไว้ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง สมัยสุโขทัย ตอนหนึ่งที่ว่า ''เสียงพาทย์ เสียงพึณ เสียงเอื้อน เสียงขับ ''นั้น อาจหมายถึงพีณน้ำเต้า หรือพีณอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้


พีณน้ำเต้า

พีณน้ำเต้า เป็นพีณสายเดียว คงจะเป็นของพราหมณ์ทำขึ้นเล่นกันมาก่อน ยังมีเพลงร้องเพลงหนึ่งชื่อว่า "พราหมณ์ดีดน้ำเต้า"ก็คงจะหมายถึงดีดพีณน้ำเต้าอย่างที่กล่าวนี้เอง พีณชนิดนี้ชาวอินเดียคงจะนำมาเล่น แพร่หลายอยู่ในดินแดนแหลมอินโดจีนนี้ก่อน และขอมโบราณหรือมอญเขมร ได้รับช่วงไว้ ก่อนที่ชาวไทยจะ อพยพลงมา ที่เรียกชื่อพีณน้ำเต้า เพราะเอาเปลือกผลน้ำเต้ามาตัดครึ่งลูกแล้วเอาทำจุกหรือทำขั้วไว้ เจาะ ตรึงติดกับไม้คันพีณ ซึ่งเรียกว่า "ทวน" เพื่ออุ้มเสียงให้เกิดกังวาน

พีณเพียะ

พีณเพียะหรือพีณเปี๊ย บางก็เรียกว่าเพียะ หรือ เปี๊ยะ มีกล่าวถึงในพงศาวดารลานช้าง เป็นทำนองว่า พระมหากษัตริย์ของชนชาวไทยในสมัยโบราณเมื่อครั้งยังตั้งอาณาจักรไทยอยู่ในประเทศจีนตอนใต้ ได้ส่งนักดนตรีนักกลอนและครูละครฟ้อนรำ ลงมาฝึกสอนคนไทยด้วยกันซึ่งอพยพแยกย้ายกันลงมา ตั้งอาณาจักรไทยอยู่ในแหลมอินโดจีน และในการนั้นได้ส่งครูลงมาสอนให้รู้จักทำและรู้จักเล่นพีณเพียะด้วย

กระจับปี่

กระจับปี่ ก็คือพีณ ๔ สาย ชนิดหนึ่งนั้นเอง ตัวกระโหลกกระจับปี่ทำแบนทั้งด้านหน้าและหลังตัวอย่าง Guitar แต่รูปกลมรีหนาประมาณ ๗ ซม. วัดตามหน้าด้านยาวของกระโหลกประมาณ ๔๔ ซม. ด้านกว้างประมาณ ๔๐ ซม. ทำคันหรือทวนเรียวยาว ตอนปลายทวนทำแบนและปลายแบะผายออกไป ยาวตลอดคันทวนประมาณ ๑๓๘ ซม. ถ้ารวมทั้งตัวและทวนก็ยาวประมาณ๑๘๐ ซม.

ซึง

ซึงเป็นเครื่องดีดตีมี ๔ สายเช่นเดียว เช่นเดียวกับกระจับปี่มาก แต่เล็กกว่ากระจับปี่มากม รวมทั้งคันทวน และกระโหลกยาวประมา ๘๑ ซม. กระโหลกกลม วัดผ่านศูนย์กลางราว ๒๑ ซม. รูปร่างคล้ายเหยอะฉินคือ พีณวงเดือนของจีน ต่างแต่พีณวงเดือนของจีนกะโหลกใหญ่และคันทวนสั้น

จะเข้



จะเข้ เป็นเครื่องดีดอีกชนิดหนึ่ง เข้าใจว่าแก้ไขมาจากพีณ ทำให่ว่าราบไปตามพื้น เพื่อให้นั่งดีดได้สะดวกและไพเราะ โดยเหตุที่ตัวพีณแต่เดิมทำเป็นรูปร่างอย่างจระเข้ แต่ขุดให้กลวงเป็นโพรงข้างในเพื่อช่วยให้เกิดเสียงก้องกังวาน จึงเรียกชื่อเตรื่องดนตรีชนิดนี้ตามรูปร่างว่า "จะเข้" เช่นเดียวกับพีณของอินเดียที่ทำตอนตัวพีณเป็นรูปนกยูงตอนปลายเป็นหางนกยูง ก็เรียกพีณชนิดนั้นว่า "มยูรี" แต่จะเข้ที่สร้างขึ้นตอนหลังนี้ ได้คิดปรับปรุงแก้ไขกันขึ้นใหม่ ไม่ทำเป็นรูปจระเข้ทีเดียวแต่ถ้าพิจารณาด้วยมีความคิดคำนึงเข้าช่วยด้วยก็มีเค้าคล้ายๆ จระเข้ ที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปนี้ เข้าใจว่าเพื่อประโยชน์ในทางเสียงและเพื่อความสะดวกเป็นส่วนใหญ่ตัวจะเข้ทำเป็น 2 ตอน ตอนตัวและหัวเป็นกระพุ้งใหญ่ทำด้วยไม้แก่นขนุน หนาราว 12 ซม. ยาวประมาณ 52 ซม. กว้างประมาณ 29 ซม. ตอนหางยาวประมาณ 78-80 ซม. กว้างประมาณ 11.5 ซม. รวมทั้งท่อนหัวและท่อนหางซึ่งทำด้วยไม้แก่นขนุนท่อนเดียวขุดเป็นโพรงตลอดถึงกัน ก็ยาวประมาณ 130-132 ซม. มีแผ่นไม้ปิดท้องเบื้องล่างจะเข้ตัวหนึ่งมีเท้ารองตอนตัว 4 และปลายหาง 1 สูงจากปลายเท้าวางพื้นถึงหลังประมาณ 19 ซม. ทำหลังนูนกลาง สองข้างลาดลง ขึ้นสายโยงเรียดไปตามหลังตัวจะเข้จากทางหัวไปทางหางสามสาย สาย 1 ใช้เส้นลวดทองเหลือง อีก 2 สาย เป็นสายเอ็นมีลูกบิดประจำสายๆ ละ 1 อัน สำหรับเร่งเสียงมี "หย่อง" รับสายทางหาง ระหว่างตัวจะเข้มาทาง "หย่อง" มีแป้ไม้ที่เรียกกันว่า"นม" สำหรับรองนิ้วกด 11 อัน ติดไว้บนหลังจะเข้นมอันหนึ่งๆ สูงเรียงระดับกันไปตั้งแต่ 2 ซ.ม. ขึ้นไปจนสูง 3.5 ซ.ม.เมื่อบรรเลง ใช้ดีดด้วยไม้ดีดกลมปลายแหลมทำด้วยกระดูกสัตว์หรือด้วยงาประมาณ ๕-๖ ซม.เคียนด้วยเส้นด้ายติดกับปลายนิ้วของผู้ดีดและใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลางช่วยจับให้มีกำลังดันเวลาแกว่งมือส่ายไปมาเครื่องดนตรีชนิดนี้บางทีก็สร้างขึ้นด้วยความวิจิตรบรรจงเช่นเลี่ยมฝังงาเป็นลายงดงาม ไทยเราเห็นจะรู้จักเล่นจะเข้มานานไม่น้อยกว่าสมัยแรกตั้งกรุงศรีอยุธยา จึงมีกล่าวถึงในกฏมลเทียรบาลครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ปรากฏว่า เพิ่งนำเข้าผสมวงเครื่องสายและวงมโหรี เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๒ กรุงรัตนโกสินทร์นี้เองที่ไม่ปรากฏว่าได้นำจะเข้เข้ามาเล่นร่วมวงมาแต่ก่อนนั้น บางทีเครื่องดนตรีชนิดนี้จะเหมาะสำหรับเล่นเดี่ยวและมีบางท่านกล่าวว่า จะเข้ของเขมรก็มี เขาทะรูปร่างอย่างจรเข้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ว่า "จะเข้แต่เดิมเป้นเครื่องสังคีตของมอญ" อาจเป้นจริงก็ได้เพราะได้เคยไปเห็นจะเข้แกะสลักทำเป้นรูปจรเข้ตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภันฑสถานในนครร่างกุ้ง รวมไว้กับจะเข้อย่างใหม่ แต่ในสหภาพพม่าไม่มีใครเล่นจะเข้ได้เมื่อเรานำไปดีดให้ฟังเขาเห็นเป็นของแปลกและไพเราะน่าฟัง แต่จะเป้นเครื่องดนตรีที่ไทยเราได้แบบอย่างมาจากใครก็ตาม เดี๋ยวนี้นับว่าเป็นเครื่องดีดของไทย ที่มีกระแสเสียงก้องกังวานเกิดความไพเราะมากและเป็นที่นิยมกันแพร่หลายอยู่ในวงการดนตรีไทยในปัจจุบัน

1