เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีรายงานทางจักรวาลวิทยาโดยทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติและจากเบิร์คลี่ย์ว่า จักรวาลเฉพาะที่มนุษย์เราอาศัยอยู่กันในขณะนี้เป็นจักรวาลเปิด จักรวาลเปิดหมายถึงจักรวาลที่ไม่มีทั้งขอบข่าย (boundary) และไม่มีขอบเขต (edge) ไม่เหมือนโต๊ะหรือเก้าอี้ที่อยู่ในห้องที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเดินตกขอบหรือหนีออกไปนอกห้องได้ ด้วยแรงต้านความโน้มถ่วงที่นักวิทยาศาสตร์จนด้วยเกล้าไม่รู้ว่ามาจากไหน จักรวาลเปิดจะขยายต่อเนื่องไปโดยไม่หยุดยั้ง จนสุดท้ายเมื่อมวลสารถูกใช้ไปจนหมดมันก็จะสิ้นสุดลง แต่นั่นก็ต้องใช้เวลานานกว่าเดิม แต่นักจักรวาลวิทยาก็ไม่ได้ระบุให้ชัดลงไปว่านานเท่าไร
ข้อเสนอใหม่หากเป็นจริงตามนั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่ามีอะไรใหม่จนทำให้ต้องไปเขียนกำเนิดจักรวาลกันใหม่เสียทั้งหมด ยกเว้นทฤษฎีจักรวาลเดี่ยวหรือเอกภพโดดเดี่ยวที่มีซิงกูลาริตี้บิกแบ็งบิกครันช์เดี่ยว ส่วนใหญ่ของความคิดของทฤษฎีเดิมยังคงนำมาใช้ได้ ว่าไปแล้วจักรวาลเปิดก็เป็นข้อหนึ่งของสามข้อสรุปในความเป็นไปได้ของการเกิดและการสิ้นสุดของจักรวาลเดิมที่เคยตั้งเป็นทฤษฎีเอาไว้นานแล้ว เพียงแต่ที่เสนอใหม่มีความแตกต่างในบางประเด็นย่อย สามความเป็นไปได้ที่ว่านั้นคือหนึ่งจักรวาลเป็นจักรวาลปิด ความเป็นไปได้หรือสมมติฐานของกำเนิดจักรวาลข้อนี้เป็นข้อสมมติฐานที่มีคนเชื่อค่อนข้างจะมากที่สุด
จักรวาลปิด คือจักรวาลที่เริ่มต้นด้วยจุดเล็กที่ว่างเปล่าในด้านของรูปกายหรือสสาร แต่จะอัดแน่นที่สุดด้วยพลังงาน จุดที่เรียกว่าซิงกูลาริตี้ ที่เป็นความว่างเปล่าแต่เต็มด้วยพลังงานอัดแน่นมหาศาลอย่างที่จะแน่นกว่านี้ไม่ได้อีก แล้วจะระเบิดเกิดเป็นบิกแบ็ง ปลดปล่อยให้พลังงานมหาศาลและความร้อนสูงจนเขียนเป็นตัวเลขแทบไม่ได้ออกมา
ต่อมาเมื่อความร้อนได้ลดน้อยถอยลงจากการระเบิด พลังงานก็เปลี่ยนไปเป็นสสารที่จับตัวกัน เป็นกลุ่มของสสารอนุภาคเป็นกลุ่มก๊าซเป็นกาแล็คซี่เป็นดาว ทั้งหมดขยายตัวเรื่อยไปจนแรงระเบิดที่ขับให้จักรวาลขยายตัวในทีแรก มีกำลังลดน้อยลงจนไม่สามารถผลักดันให้มวลสารที่ยังมีมากขยายตัวต่อไปอีกได้ น้ำหนักของมวลอันมากมายมหาศาลเองก็จะทำให้จักรวาลต้องหดตัวลงเรียกว่าบิกครันช์กลับมาเล็กลงๆ จนกลายเป็นซิงกูลาริตี้ใหม่ มันจึงเป็นไปตามวัฏจักรพองหนอยุบหนอไปตลอดกาล
ในกรณีนี้จักรวาลจะระเบิดเอาที่ว่างและขอบข่ายบริเวณของจักรวาลออกมาด้วย แต่จักรวาลจะไม่มีขอบเหมือนโลกที่มีบริเวณมีขนาดแต่ไม่มีขอบ ทฤษฎีนี้มีนักวิทยา-ศาสตร์เชื่อถือให้การสนับสนุนมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม เป็นข้อเสนอที่บางส่วนไปขัดแย้งกับกฎเทอร์โมไดนามิคส์ข้อที่สอง ที่บอกว่าในระบบปิดองค์กรระบบต่างๆ จะมีการแลกเปลี่ยนพลังงานกับเอ็นโตรปีบวกความร้อนที่จะนำกลับคืนมาไม่ได้
ในที่สุดพลังงานก็จะเปลี่ยนเป็นความร้อนจนหมด จักรวาลก็หมดสิ้นสสารตายแห้งซากด้วยความร้อน (heat death) เพื่อหลีกหนีกฎเทอร์โมไดนามิคส์ข้อนี้ (ซึ่งจริงๆ แล้วไม่จำเป็นเพราะว่าจักรวาลที่เกิดโดยสถานภาพเช่นว่านี้ก็ไม่ได้เป็นระบบปิดที่สมบูรณ์แท้จริง เพราะขอบข่ายที่ปิดไม่เป็นขอบข่ายจริงหากเป็นจักรวาลทั้งหมด และเนื่องจากจักรวาลไม่มีขอบ (no edge) แล้วจะเอาอะไรไปปิด ทั้งขอบข่ายบริเวณหรือที่ว่างของจักรวาลรวมทั้งสสารและเวลาล้วนเกิดจากบิกแบ็งด้วยกันพร้อมกันทั้งหมด ดังนั้นพลังงานจึงสามารถแลกเปลี่ยนกันโดยเสรีไม่มีหมด)
อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงกฎนี้ก็มีทฤษฎีจักรวาลตั้งครรภ์ที่เกิดซ้ำซ้อนอยู่ในระบบจักรวาลปิดนั่น ทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ดังๆ ในปัจจุบันให้ความสนับสนุนเป็นต้นว่าสตีเฟ็น ฮอว์กิ้ง หรือจอห์น อาร์ซิบัลด์ วีลเล่อร์และอื่นๆ จริงๆ แล้วด้วยระบบจักรวาลตั้งท้องนี้มีหลักฐานมากพอที่จะสนับสนุนและสรุปได้บางส่วนว่า จักรวาลมันมีจำนวนไม่สิ้นสุดจริงๆ ไม่สิ้นสุดด้วยการเกิดของจักรวาลแต่ละจักรวาลมาจากหลุมดำแต่ละหลุมที่อยู่ในจักรวาลที่มีอยู่ก่อน พูดง่ายๆ คือจักรวาลที่มีอยู่ก่อนเดิมมันตั้งท้องหรือตั้งครรภ์เพาะจักรวาลลูกจำนวนไม่สิ้นสุดจากหลุมดำที่ก็ไม่สิ้นสุด มันจึงมีบิกครันช์บิกแบ็งซ้ำซ้อนเป็นอินฟินิตี้ที่เป็นไปโดยอาศัยทฤษฎีหลุมดำทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้กฎเทอร์โมไดนามิคส์ข้อที่สองจึงไม่สามารถนำมาใช้ได้เพราะพลังงานไม่ได้สิ้นสุดไปไหน สสารไม่ได้ถูกเผาเป็นความร้อนจนหมดสิ้นไปตามที่คิด พลังงานเพียงเปลี่ยนสภาพไปในอีกระดับหนึ่ง สภาพระหว่างหลุมดำ ซึ่งก็คือบิกครันช์เดิมกับหลุมขาวหรือบิกแบ็งเดิมนั่นเอง
จักรวาลในรูปแบบที่สองคือจักรวาลเปิดตลอดคือไม่มีบิกครันช์ เพราะว่ามวลสารจะแผ่ขยายไปตลอดเวลาจนไม่สามารถมีน้ำหนักพอที่จะทำให้มันรวมตัวจนทับจักรวาลให้ฟุปแฟบหดตัวลงมาดังที่เสนอใหม่ ทีแรกนั้นทฤษฎีนี้ก็ลอยเอาไว้เป็นจักรวาลเปิดที่การขยายตัวจะดำเนินไปเรื่อยตลอดกาล อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็ไม่ได้ขัดกับเรื่องของจักรวาลตั้งครรภ์มีท้องไม่รู้จักจบไม่สิ้นสุดตามที่อธิบายข้างต้นที่เป็นทฤษฎีใหม่ที่เกิดซ้อนขึ้นมาในระบบจักรวาลปิดดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
นั่นคือแม้นำมาประยุกต์ในระบบจักรวาลเปิดก็ไม่ได้ค้านกับเรื่องของจักรวาลตั้งครรภ์เรื่องของหลุมดำที่เป็นประเด็นย่อยต่างหาก หลุมดำหลุมขาวก็คือชิงกูลาริตี้และบิกแบ็งที่เกิดซ้ำซ้อนหลากหลายในจักรวาลแม่ที่ตัวแม่ก็เป็นลูกของจักรวาลยายจักรวาลที่มาก่อนไล่ไปเช่นนั้นทั้งขึ้นทั้งล่องไม่สิ้นสุดเป็นอินฟีนิตี้
ส่วนจักรวาลในระบบที่สาม คือจักรวาลแบนราบที่นักจักรวาลวิทยาและนักฟิสิกส์ทฤษฎีรุ่นบุกเบิกได้สร้างเป็นทฤษฎีว่าจักรวาลมันเกิดมาก็เป็นเช่นนี้ อยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป โดยไม่เปลี่ยนแปลงอะไรอีก ทุกวันนี้ทฤษฎีนี้ไม่ค่อยมีคนเชื่อหรือพูดถึงกันอีกต่อไป แต่ไม่ใช่ว่าจะหายไป คนที่เชื่อก็นำเอาทฤษฎีจักรวาลท้องหรือตั้งครรภ์ และทฤษฎีหลุมดำมาเสริมเข้าไปข้างในอีกที
เห็นได้ว่าทั้งสามทฤษฎีสามารถนำเอาทฤษฎีจักรวาลท้อง ทฤษฎีหลุมดำซิงกูลาริตี้และบิกแบ็งหรือหลุมขาวกับการเกิดจักรวาลลูกที่ไม่สิ้นสุดหรืออินฟินิตี้มาใช้ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าโดยทฤษฎีหนึ่งใดของทั้งสาม จักรวาลที่เราอยู่ข้างในอยู่กับมันทุกวันนี้เป็นเพียงจักรวาลหนึ่งของจำนวนจักรวาลที่หลากหลายไม่สิ้นสุดหรือเป็นอินฟีนิตี้ ที่ต้องระลึกตลอดคือเรื่องของทฤษฎีจักรวาลตั้งท้องตั้งครรภ์นี้ก็คือ เรื่องของหลุมดำและซิงกูลาริตี้ที่ในทางจักรวาลวิทยาและฟิสิกส์ก็ได้พิสูจน์ครบถ้วนแล้วว่ามีแต่ความว่างเปล่า เพราะมีแต่แรงดึงดูดพลังงานมหาศาลที่ระเบิดเป็นบิกแบ็งหลุมขาวเป็นจักรวาลใหม่ อุบัติการของจักรวาลคือความซ้ำซ้อนไม่สิ้นสุดเกิดจากความว่างเปล่าทั้งสิ้น จากความว่างเปล่าเป็นพลังงาน จากพลังงานเป็นอนุภาคเทียม(virtual particles) ที่มีศักยภาพในการสรรค์สร้างสรรพสิ่งเหมือนเป็นคลื่นอนุภาค อนุภาคที่ทำปฏิกิริยาต่อกันจน ''ไกลจากความเป็นสมดุลอย่างที่สุด''
จากการแลกเปลี่ยนพลังงานกับเอ็น-โตรปีตามกฎเทอร์โมไดนามิคส์ นั่นคือ การตั้งครรภ์และการเกิดหรือการโผล่ปรากฏ (emergent) ทฤษฎีจักรวาลตั้งครรภ์ จึงอาจอธิบายให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางคณิตศาสตร์ของทฤษฎีโกลาหลไร้ระเบียบหรือเคออส(chaos) ได้อธิบายบางส่วนด้วยทฤษฎีระบบพลวัต (dynamic system theory) หรือด้วยทฤษฎีการจัดองค์กรตัวเอง(self-organizing theory) ที่มาจากทฤษฎีดิสสิเปตีฟ (dissipative) หรือจะอธิบายด้วยแฟร็คตัลลิตี้และทฤษฎีแห่งความซับซ้อนหรือค็อมเพล็กซิตี้ (fractality and complexity) ก็ได้ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นกลไกของการเกิดขึ้นเองของทุกสรรพสิ่งทุกปรากฏการณ์ นั่นคือการอุบัติขึ้นมาซึ่ง ''องค์กรการโผล่ปรากฏ'' (emergent) การสร้างสรรค์ตัวเองเป็นองค์กรใหม่ไม่เหมือนเดิม (autopoiesis) ที่เป็นการกระโดดโผล่ให้ระบบใหม่ปรากฏออกมาทันทีทันใดเมื่อไรเกิดสภาพ ''ไกลจากสมดุลอย่างที่สุด'' การก้าวกระโดดไม่ต่างกับกระบวนการสืบพันธุ์การก่อเกิดใหม่ หรือกระบวนการวิวัฒนาการปรับใหม่ที่ไล่สูงทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีการหลักการอุบัติการโผล่ปรากฏอันเป็นสากล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจักรวาลที่เป็นรูปกาย ตั้งแต่การก่อเกิดกลุ่มก๊าซเนบูล่าเป็นกาแล็กซีจนเป็นดาวและระบบดาวที่มีดาวเคราะห์เช่นโลก
จักรวาลแห่งกายที่พูดถึงกันในวันนี้หรือเป็นเรื่องในระดับโลกและชีวมณฑล องค์กรต่างๆ ในระดับล่างจนเป็นชีวโมเลกุลเป็นชีวิตทั้งหลายทั้งปวงยิ่งกว่านั้น การโผล่ปรากฏขององค์กรต่างๆ ในระดับของจักรวาลเช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นกระบวนการของจักรวาลหรือโลกทางกายภาพเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้น แต่มันยังรวมไปถึงจักรวาลนามธรรมที่ก็เป็นอีกด้านหนึ่งของความจริงแท้เป็นปรมัตสัจจะที่เป็นเช่นเดียวกัน จักรวาลนามธรรมหรือจิตวิญญาณก็เป็นไปในทำนองเดียวกันกับจักรวาลทางรูปธรรม ที่จะต้องมีขั้นตอนของการวิวัฒนาการไล่สูงซับซ้อนขึ้นไปตามขั้นอันดับนั่นคือ จิตวิญญาณไม่ว่าระดับไหนก็ย่อมจะต้องผ่านกระบวนการการจัดองค์กรตัวเองและผ่านการโผล่ปรากฏ(emergent) ที่ล้วนเป็นเนื้อในของหลักการอันเป็นสากลเช่นเดียวกัน
ดังนั้นทฤษฎีใหม่การค้นพบใหม่เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ดังรายงานที่กล่าวมาข้างต้น จึงไม่ได้ล้มล้างการกำเนิดของจักรวาลที่ต่อเนื่องไม่รู้จบ จากจักรวาลแม่ถึงลูกถึงหลานเหลนโหลนอันเป็นไปด้วยทฤษฎีหลุมดำ และการโผล่ปรากฏทับทวีคูณหลากหลายของการพองการยุบ วิวัตตาสังวิวัตตา ไม่เปลี่ยนแปลง มันจึงเป็นเรื่องที่สอดคล้องต้องกันกับความว่ายเวียนเป็นสังสารวัฏ สอดคล้องต้องกันกับวัฏจักรหรือวงจรที่เราทุกคนเห็นกันจนคุ้นเคยคุ้นตาแม้บนโลกแห่งกายภาพรอบๆ ตัวเรา
เป็นต้นว่าเรื่องของกลางคืนกลางวัน เรื่องน้ำขึ้นน้ำลงและข้างขึ้นข้างแรม เรื่องของลมฟ้าอากาศและฤดูกาล ตลอดจนเรื่องของการเกิด การแก่และการตาย นั่นคือ ความจริงแท้ของการเปลี่ยนแปลงอันเป็นกฎพื้นฐานของจักรวาล สรรพสิ่งสรรพปรากฏ-การณ์ไม่มีสิ่งใดที่จะอยู่ยงได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นตัวเป็นตนอยู่ตลอดกาลได้ และไม่มีที่จะสิ้นสุดสูญหายไปได้ มีแต่เวียนว่ายมีแต่เปลี่ยนแปลงไปไม่เคยเหมือนเดิม เช่นเดียวกับจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกับหลุมดำหลุมขาวที่ไม่สิ้นสุด ความไม่สิ้นสุดขององค์กรที่โผล่ปรากฏที่ใหม่และซ้ำซ้อนตลอดกาล ไม่ว่าองค์กรใหม่นั้นจะเป็นโลกใหม่ ชีวิตใหม่ โมเลกุลใหม่หรือคลื่นอนุภาคใหม่ที่โผล่ปรากฏมาจากกระบวนการที่เป็นไปตามกฎจักรวาล จากโลกเดิมชีวิตเดิมและอนุภาคเดิมอย่างไม่มีวันจบสิ้น นั่นคือ การอธิบายจักรวาลของวิทยาศาสตร์จักรวาลวิทยาแท้ๆ
ในปัจจุบันที่มองจักรวาลเป็นองค์กรชีวิตที่ต่อเนื่องกันทั้งหมด ตามที่เดวิดโบห์มอธิบาย (holodynamicity) องค์กรชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ตลอดเวลา เช่น ชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์กายภาพของนิวตันที่เห็นอะไรต่อมิอะไรรวมทั้งจักรวาลเป็นก๊าซ เป็นที่ว่าง เป็นก้อนสสารวัตถุที่แข็งกระด้างเย็นชืด ไร้จิตไร้วิญญาณ มีเวลาและการรับรู้ของเราแยกไปต่างหาก
ทุกวันนี้ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์จะพบพานสิ่งใหม่อย่างไร รูปแบบของจักรวาลก็จะไม่เปลี่ยนแปลง ความมีชีวิตชีวาของความเป็นองค์รวมที่มีจิตมีวิญญาณที่เป็นไปตามทฤษฎีแห่งระบบขององค์กรเปิดเผยตนเองที่โผล่ออกมาจากองค์กรซ่อนเร้นตนเองของโบห์ม (explicate and implicate order) ระบบแห่งความซับซ้อนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะของจิตวิญญาณจักรวาลหรือข้อมูลของจักรวาล ระหว่างความหมายกับสสารและพลังงาน นั่นคือ การโผล่ปรากฏของระบบและองค์กรหลายหลากทางกายภาพของจักรวาลโลกและสสารสรรพสิ่ง รวมทั้งชีวิตที่ทางฟิสิกส์ ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาอธิบายใหม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องของการโผล่ปรากฏของจิตวิญญาณและวิวัฒนาการตามธรรมชาติที่ต้องเป็นไปเช่นนั้นด้วย ทั้งหมดเป็นวิทยาศาสตร์ที่อยากจะฝากให้ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในอภิปรัชญาของพุทธศาสนาลองศึกษาตีความ
จาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ