องก์ที่ ๓ 

ฉาก : ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน.

[คือฉากเดียวกันกับตอนที่ ๓ แห่งองก์ที่ ๒ นั้นเอง

แต่หนังกวางที่ปูบนแทนศิลาใต้ต้นไม้นั้นเก็บไปเสีย :

และสมมตว่าเปนเวลากลางคืน. มีแสงเดือนหงายแจ่มอย่างในวันเพ็ญ]

(ท้าวชัยเสนออกทางหลืบซ้าย)

[อินทะวิเชียร๑๑]

ชัยเสน.

โอ้โอ๋กระไรเลย

บมิเคยณก่อนกาล
พอเห็นก็ทราบส้าน ฤดิรักบหักหาย
ยิ่งยลวะนิดา ละก็ยิ่งจะร้อนคล้าย
เพลิงรุมประชุมภาย ณ อุราบลาลด
พิศไหนบมีทราม วะธุงามสง่าหมด
จนสุดจะหาพจน์ สรเสริญเสมอใจ
องค์วิศวะกรรมัน นะสิปั้นวะธูไซร้
พอเสร็จก็เทพไท พิศะรูปสุรางค์เพลิน
ยืนเพ่งและนั่งพิศ วรพักตร์บหมางเมิน
งามใดบงามเกิน มะทะนาณโลกสาม
แลวิศวะกรรมัน ผิจะปั้นวะธูตาม
แบบอีกก็ไม่งาม ดุจะโฉมอนงค์นี้
เหตุนี้สินงคราญ ณสถานพิภพตรี
จึ่งไม่ประสพที่ สิริรูปะเทียมทัน
งามเกินมนุษจริง กละหญิงนิมิตร์ฝัน
จนแรกประสพนั้น ดนุจวนจะปลุกตัว
นึกว่าสนิธนิทร์ นยนาก็แน่วนัว
แต่นึกก็ออกกลัว จะผวาและไม่เห็น
ครั้นเมื่อสดับศัพ- ทะสำเนียงก็เยือกเย็น
ราวดื่มอุทกเพ็ญ รสะรื่นระรวยใจ
เสียงเจ้าสิเพรากว่า ดุริยางคะดีดใน
ฟากฟ้าสุราลัย สุรศัพทะเริงรมย์
ยามเดิรบเขินขัด กละนัจจะน่าชม
กรายกรก็เร้ารม- ยะประหนึ่งระบำสรวย
ยามนั่งก็นั่งเรียบ และระเบียบบเขินขวย
แขนอ่อนฤเปรียบด้วย ธนุก่งกระชับไว้
พิศโฉมและฟังเสียง ละก็เพียงจะฃาดใจ
โอ้นอนจะหลับไหล   ฤฉนี้นะอกเอ๋ย
ขืนนอนก็ร่อนเร่า ฤดิเฝ้าคะนึงเชย
หากขืนจะนอนเฉย อุระอาจจะพังภิน
จำมาณที่นี้ เพราะว่ะใกล้สุนาริน
โอ้เราบสมจิน ตะนะได้ฤฉันใด
ช้าก่อน ดนูเห็น ณประตูสิรำไร
ดังหนึ่งจะมีใคร จระจากพระอาศรม
อ้าขอถวายอัญ- ชลิองค์สุโรดม
ขอให้ดนูชม วธุเลิศเถอะสักที

(ท้าวชัยเสนเลี่ยงเฃ้าไปแฝงอยู่หลังกอไม้ฃ้างซ้าย มัทนาเดิรออกมาจากอาศรมและมายืนพิงเสาระเบียง, มองดูดวงเดือน)

[อินทวงส์๑๒]

มัทนา.

โอ้ว่าอนาถใจ

ละไฉนนะเปนฉนี้
แต่ไรก็ไม่มี มะนะนึกระเหระหน
ไม่เคยจะเชื่อว่า ระตินั้นจะสัประดน
มาสู่ณใจตน และจะต้องระทมระทวย
เมื่อก่อนสิชายรัก ก็มิพักจะเออจะอวย
อวดดีและอวดด้วย บมิเคยจะลุ่มจะหลง
ทั้งเคยเยาะเย้ยหยัน นระผู้พะว้าพะวง
ว่าเฃานะเขลาคง จะบพ้นระอิดระอา
เคยว่าบุรุษกล่าว วจะลวงยุพาและพา
ไปร่วมสิเนหา บมิช้าก็ทอดก็ทิ้ง
ดังนั้นสิแม้ชาย อภิปรายและอ้อยและอิ่ง
เราจึ่งมิสุงสิง และบรักสมัคสมาน
ครานี้สิพบชาย วรรูปวิเศษวิศาล
ใจวาบและหวามปาน ฤดินั้นจะโลดจะลอย
เธอนั้นฤเจียมตัว กิริยาก็เรียบก็ร้อย
ไม่มีละสักน้อย จะแสดงณท่วงณที
ว่าเธอประสงค์จะ อภิรมย์ฤดีระตี
เปนแต่ชำเลืองที่ ดนุบ้างณครั้งณคราว
คราใดประสพเนตร์ ฤก็เราละร้อนและหนาว
เธอไกลก็ดูราว นภะไร้ตวันและเดือน
โอ้ว่าณครานี้ แหละฤดีจะฟั่นจะเฟือน
ด้วยรักกระทำเชือน ละฉนี้จะทำไฉน

ชัยเสน (พูดปรารภ)

ฟังคำที่หล่อนบ่น

ก็กะมลบ่มั่นได้
ว่าคำที่พูดไซร้ วธุมุ่งณตัวเรา
หากเรานี้หาญตอบ ผิวะขัดฤดีเจ้า
โฉมยงคงรีบเฃ้า ณ พระบรรณะศาลา
คอยฟังเผื่อพูดอีก เถอะนะเห็นจะดีกว่า
เพียงฟังเจ้าแก้วตา ก็ระรื่นระเริงใจ

มัทนา. (ยังไม่เห็นท้าวชัยเสน, พูดคนเดียว)

โอ้นึกขึ้นมาแล้ว

ละก็แทบจะร้องไห้
พอหมดคืนนี้ไซร้ ก็จะชวดละโอกาส
เออทำฉันใดดี นะจะให้พระทรงราชย์
อยู่ต่อไม่ลีลาศ จระจากณที่นี้
หากว่าไม่ได้เปน ยุวพรหมะจารี
คงกล้าแลพาที พจะทูลพระภูธร
ให้คงแรมอยู่อีก ณประเทศะนี้ก่อน
แลหากว่าทูลวอน พระก็อาจจะเดารู้
ว่าเรานี่ภักดี และก็คงจะเอ็นดู
ตัวเราจะได้อยู่ ปฏิบัติพระบาทา
โอ้อยากให้ท่านรู้ ณฤดีดนูนา
อยู่ก่อนเถิดราชา

ชัยเสน.

(พูดตอบคำของมัทนา.) ดนุเองก็เต็มใจ
อยากอยู่เพื่อชมโฉม ยุวะดีมณีมัย
ผู้เปนเจ้าของใจ

มัทนา.

เอ๊ะ ! ก็ใครนะพาที
มาจากในที่มืด มละแฝงณแห่งนี้

ชัยเสน.

ฃ้าเองซึ่งหล่อนมี มะนะมุ่งจะให้ยั้ง

(เดินออกจากที่แฝงมายืนหน้าอาศรม)

มัทนา.

อ้าจอมมงกุฎเกล้า ก็กระไรพระมาบัง
พุ่มไม้แลทรงฟัง วะจะของกระหม่อมฉัน
ผู้บ่นดังคนเพ้อ และมะเมอประหนึ่งฝัน
ไม่ควรสมเด็จธรร- มิกะราชจะทรงยิน

ชัยเสน.

ยินแล้วฃ้าชื่นจิต ดุจะหล่อนและให้กิน
น้ำทิพย์ที่ควรจิน- ตะนะแท้นะนงคราญ

มัทนา.

หากว่าหม่อมฉันทราบ

พระเสด็จณน่าศาล
ปากคงไม่อาจหาญ เพราะก็ย่อมจะมีอาย
อันหญิงย่อมไม่อยาก จะกระทำประดุจฃาย
ความรักให้แก่ชาย เพราะว่าเกรงจะดูแคลน
อันชื่อของหม่อมฉัน ฤก็สุดจะหวงแหน
เกลียดหญิงที่แปร๋แปร้น กละชวนบุรุษชม
ครานี้พันเอินองค์ อธิราชนะโรดม
ทรงยินคำปรารม- ภะและบ่นณราตรี
คงทรงนึกอยู่ว่า ดนุทรามและสิ้นดี
ราวนางโสเภณี บมิเขินมิขวยใจ
แล้วคงทรงดูถูก ดนุนี้ละยิ่งใหญ่
ว่าเปนผู้หญิงไร้ คุณะธรรมะอันควร
หม่อมฉันขอทูลลา นรนาถบดีศวร
ยิ่งอยู่คงยิ่งกวน วรบาทพระภูธร

[อุปัฏฐิตา๑๑]

ชัยเสน.

อ้าโฉมมะทะนา บริสุทธิบังอร
ฃ้าฤาจะติหล่อน เพราะสดับวะจีหวาน
ชื่นจิตตะสดับ มธุรสฤดีบาน
ทราบว่ายุวะมาลย์ กรุณาณฃ้านี้
พอเห็นวรพักตร์ วนิดาวะรางคี
บัดนั้นฤก็มี ฤดิท่วมสิเนหา
เหมือนโฉมดะรุณี นะแหละยื่นสุหัดถ์มา
ล้วงใจดนุคร่าห์ และกระลึงหทัยไว้
แต่นั้นก็อนงค์ นะสิยังบคืนให้
กำดวงฤดิใน วรหัดถะแน่นครัน
หากนางบมิชอบ และจะคืนหะทัยนั้น
ฃ้านี้ก็จะศัล- ยะพิลาปพิไรวอน
ขอให้วนิดา กรุณาดะนูก่อน
อย่าเพ่อสละรอน ระติราญสุไมตรี
ถึงหล่อนจะมิรัก ก็จะขอกะโฉมศรี
ให้ยอมดนุมี ฤดิรักพะธูไป
จนกว่าจะประจัก- ษะณจิตตะหล่อนไซร้
แล้วยกฤดิให้ ดนุผู้พยายาม
อ้าโฉมมะทะนา ผิวะหล่อนจะยอมตาม
ใจพี่ละก็ความ สุขะพี่จะพูนพี
แต่หากมะทะนา บมิรักก็พี่นี้
เหมือนตกอะวิจี ทุขะท่วมบรู้วาย

[ภุชงคัปปะยาตร์๑๒]

มัทนา.

กระหม่อมฉันสดับคำ ดำรัสแห่งพระฦาสาย
ประณตนอบระยอบกาย และกราบแทบพระบาทา
ก็รสใดจะหวานแม้น สุรสแห่งพระวาจา
กระแสร์ทราบณทรวงฃ้า พระบาทปลื้มบลืมรส
และรู้สึกพระการุณ- ยะภาพแห่งพระทรงยศ
จะฝังใจบได้ลด ฤลืมจน ณ วันมรณ์
ก็แต่ว่ากระหม่อมฉัน ฤเปนชาวพะนาดร
จะเทียบชาวนครค่อน จะเสียเปรียบบ่ควรหวัง
สนมนางกำนัลใน สถิตแทบ ณ เวียงวัง
ฉวีนวลสะกาวปลั่ง ประดับแก้ววราภา
และรู้จักบำเรอครบ ประจบองค์พระราชา
กระหม่อมฉันสิชาวป่า จะสู้เขาบได้แท้

ชัยเสน.

อ๊ะ ! จริง ๆ นะแก้วตา ดนูนี้บอยากแล
ฤเชยนาริอื่นแม้ กนิษฐาประนอมรัก
เพราะนารี ณ วังใน บมีใครจะงามพักตร์
ฤงามรูปวิไลยลักษณ์ เสมอเจ้าบพึงมี
คณานางสนมเปรียบ ประหนึ่งกาและถ่อยที
วธูยอดฤดีพี่ ประหนึ่งหงส์สุพรรณณ์พรรณ
ก็พี่นี้สิเคยชม วิหคหงสะเลอสรร
จะหลับชมอิกานั้น บได้แล้วนะแก้วตา

มัทนา.

กระหม่อมฉันก็เคยทราบ สุภาษิตบุราณว่า
บุรุษยามสิเนหา ก็พูดได้ละหลายลิ้น
ประจบนางและพลางกอด พนอพลอดและปลอดปลิ้น
และหลอกเยาวะนาริน

ชัยเสน.

ผิลิ้นพี่จะมีหลาย
ก็ทุกลิ้นจะรุมกล่าว แสดงรัก ณ โฉมฉาย,
และทุกลิ้นจะเปรยปราย ประกาศถ้อยปะฎิญญา
พะจีว่าจะรักยืด บจางจืดสิเนหา
สบถให้ละต่อหน้า พระจันทร์แจ่มณเวหน

มัทนา.

พระกล่าวอ้างพระจันทร์นี้ ชรอยทีมิชอบกล

ชัยเสน.

เพราะเหตุใดละหน้ามน

มัทนา.

เพราะเดือนนั้นมิมั่นคง
ณ ฃ้างขึ้นสิหงายแจ่ม กระจ่างสดและกลดทรง
ณ ฃ้างรมบเห็นองค์ พระจันทร์เจ้าณราตรี

ชัยเสน.

ฉนั้นขอสบถต่อ สุดาราจำรัสศรี
วะแวววับระยับที่ นะภากาศพะแพรวพราย

มัทนา.

ก็เห็นว่ามิชอบกล ละอีกแล้วพระฦาสาย
เพราะเมื่อใดพระจันทร์ฉาย ก็ขับดาวละลายไป

ชัยเสน.

ฉนั้นเจ้าจะให้พี่ สบถโดยสุเทพใด

มัทนา.

ก็หากทรงประทานให้ กระหม่อมฉันนะเลือกสรร
จะขอให้พระสาบาล ณ องค์เทวะเทวัน
พระองค์ใดก็ไม่มั่น ฤดีเท่าพระจอมเกศ
พระองค์ทูลกระหม่อมแก้ว ก็สมมตสุเทเวศร์
ฉนั้นแม้พระทรงเดช ดำรัสคำปฏิญญา
กระหม่อมฉันก็จงรัก และภักดีและเปนฃ้า
ไฉนเล่าจะสงกา

ชัยเสน.

ฉนั้นพี่ก็ยินดี

(ท้าวชัยเสนไปจูงมือมัทนาจากระเบียงและจูงมากลางเวที.)

[โตฎก๑๒]

มะทะนาดนุรัก วรยอดยุพะดี
และจะรักบมิมี ฤดิหน่ายฤระอา
ผิวะอายุจะยืน ศะตะพรรษะฤกว่า
ก็จะรักมะทะนา บมิหย่อนฤดิหรรษ์
นยะนาก็จะชม วธุต่างมะณิพรรณ
และจะสูดสุวะคันธ์ ระสะต่างสุผะกา
ผิวะตื่นก็จะดู ยุวะดีสิริมา
ผิวะหลับฤก็ฃ้า จะสบินฤดิเพลิน
ทิวะราตริจะนอน, ฤจะนั่งฤจะเดิร
บมิมีละจะเหิน ฤจะห่างมะทะนา
บมิเห็นวรพักตร์ ก็จะหนักอุระว้า
ขณะเคียงพะนิดา ก็จะรื่นฤดิศานต์
ผิวะเจ้าก็สมัค และจะรักดนุนาน
จระสู่อุทะธาร เถอะนะเราก็จะวัก
อุทะกล่าวสุปะทาน เฉพาะเทพสุรศักดิ์
และฉนั้นละก็จัก ดุจะหมั้นจะวิวาห์

มัทนา.

ผิพระโปรดละก็ข้อย บมิขัดวะจะนา
และจะตามพระลิลา จระทั่วปะฐะพี

(บัดนี้สมมตว่าเริ่มจะรุ่ง ฉนั้นให้มีแสงแดดขึ้นท้องฟ้า,

แล้วค่อยเปิดไฟฃาวมากขึ้นทีละน้อย ๆ

ระหว่างเวลาที่สองคนพูดกันต่อไปนี้.)

[อีทิสะ๒๐] 

ชัยเสน.

อ้าอะรุณแอร่มระเรื่อรุจิ

ประดุจมะโนภิรมระตี ณ แรกรัก

แสงอะรุณวิโรจน์นะภาประจักษ์

แฉล้มเฉลาและโศภินัก นะฉันใด
หญิงและชายณะยามระตีอุทัย
สว่างณกลางกะมลละไม ก็ฉันนั้น
แสงอุษาสะกาวพะพราวณสรรค์
ก็เหมือนระตีวิสุทธิอัน สว่างจิต
อ้าอนงคะเชอญดำเนิรสนิธ
ณ ฃ้างดะนูประดุจสุมิตร์ มโนมาน
ไปกระทั่งณฝั่งอุกอะจีระธาร
และเปล่งพะจีณสัจจะการ ประกาศหมั้น
ต่อพระพักตร์สุราภิรักษะอัน
เสด็จสถิตณเขตอะรัณ -ยะนี่ไซร้
ว่าดะนูและน้องจะเคียงคระไล
และครองตลอดณอายุขัย บ่คลาดคลา

มัทนา

สูรยะส่องสว่างณกลางนะภา
ก็พลอยสว่าง ณ ภูมิหล้า แหละฉันใด
อันพระโปรดก็จิตตะฃ้าก็ได้
สว่างกระจ่างและสดและใส ณ บัดนี้
ฃ้าพระบาทจะสุขสราญฤดี
ก็ย่อมจะโดยพระบารมี ธปกเกล้า
พึ่งพระคุณกะรุณยะค่ำและเช้า
จะปราศะโศกบมีเศร้า ฤทุกขํ
ใจจะอิ่มจะเมเพราะเปรมปริยํ
และรื่นณรสระตีจิรํ ระรวยใจ
ทูลกระหม่อมเสด็จ ณ เทศะใด
ก็ฃ้าพระบาทจะตามธไป พระเจ้าฃ้า

(ท้าวชัยเสนกับมัทนาจูงมือกันเดิรเข้าโรงทางหลืบซ้าย)

 

1