กาเลหม่านไต
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๐๔

บรรจบ พันธุเมธา
(พ.ศ.๒๔๖๓ - ๒๕๓๕)


	
		กาเลหม่านไต เป็น หนังสือแนวสารคดีเชิงวิชาการ เขียนขึ้นโดย
	ใช้รูปแบบบันทึกการเดินทางประจำวัน ในวาระที่ผู้เขียน เดินทางไปค้นคว้าเรื่อง
	ของคนไทนอกประเทศ ในแคว้นอัสสัม ประเทศอินเดีย ในปี ๒๔๙๘	

		จุดมุ่งหมายของการเดินทางครั้งนี้ เพื่อศึกษาและสอบเทียบภาษาอาหม 
	โดยเฉพาะการออกเสียงควบกล้ำ ว่ามีมากกว่าภาษาไทยที่ใช้พูดกันในประเทศไทย  	
	ปัจจุบันจริงหรือไม่อย่างไร

		หนังสือบันทึกการเดินทางเที่ยวบ้านไทในรัฐอัสสัม หรือในชื่อ "กาเล
	หม่านไต" จึงมิใช่หนังสือตำราทางภาษา  แต่ก็มีการสอดแทรกถ้อยคำภาษาไท และ
	ข้อสังเกตของผู้เขียนซึ่งบันทึกการเดินทางประกอบอย่างอุดมสมบูรณ์ โดยเหตุ
	ที่แต่ละถ้อยคำ สำนวน ได้รับการถ่ายทอดไว้ในบริบททางสังคมวัฒนธรรมไทยที่
	เป็นจริง ในทางกลับกันจึงทำให้หนังสือ กาเลหม่านไตเป็นตำราทางภาษาไทถิ่นที่มี
	ชีวิตชีวา น่าอ่าน ซึ่งหนังสือ กาเลหม่านไต มีคุณค่าทางภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะ
	ภาษาถิ่นต่างๆ ของคนไทนอกประเทศที่ประเมินค่ามิได้ 

		พร้อมๆ กับที่รายงานการเดินทางและสอบค้นภาษาพูดของไทถิ่น
	ต่างๆ บันทึกนี้ก็ได้พรรณนาถึงรายละเอียดอื่นๆ ที่สัมพันธ์กัน คือ วิถีชีวิต สภาพ
	ความเป็นอยู่ ความคิด ความเชื่อ อาหารการกิน การแต่งกาย ความสัมพันธ์ และ
	สถานภาพของบุคคลในสถาบันครอบครัว ในหมู่บ้าน และในรัฐประชาชาติ ซึ่งก็คือ 
	ประเทศอินเดีย  ที่ตกอยู่ในอิทธิพลของลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษมาหมาดๆ 
	ประกอบกับเป็นบันทึกการเดินทางที่สอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียน 
	ผู้เป็นทั้งนักเขียน นักวิชาการสตรี

		กาเลหม่านไต แม้จะเป็นหนังสือบันทึกประสบการณ์ในประเทศอินเดีย
	แต่เป็นท้องถิ่นชนบทไท บรรยากาศในหนังสือ กาเลหม่านไต มีอวลกลิ่นอาย 
	วัฒนธรรมไทยที่ต่างรู้จักคุ้นเคย และส่วนใหญ่ก็ยังคงยึดถือปฏิบัติจนถือเป็น
	เอกลักษณ์แบบไทยๆ เช่น ธรรมเนียมใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับขับสู้

	ดังที่ผู้เขียน ได้เล่าว่า
		"นึกดูก็น่าแปลกที่อยู่ๆ ก็มาขอข้าวเขากิน และเจ้าของบ้านก็เต็มใจไม่
	แสดงกิริยารังเกียจเดียดฉันท์ แต่อย่างใดเลย ดูช่างสมธรรมเนียมไทยแท้แต่
	โบราณ แขกมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ ถึงจะมาอย่างกระทันหัน เขาก็ยังหา
	อาหารให้กินได้ทั้งที่บ้านในชนบทอย่างนี้ไม่มีที่ซื้อหา เขาแกงเผ็ดไข่ลูกเขยให้กิน 
	รสชาติแปลกดีทีเดียว"
	
		ผู้เขียนเป็นคนช่างสังเกต จดจำ และบันทึกแม้สิ่งที่เป็นรายละเอียด
	ที่ดูเป็นเล็กน้อย ไม่สลักสำคัญอะไรนัก เช่น เมื่อกินข้าวใหม่หอมหวาน ค่อนข้าง
	เหนียว ก็เล่าให้ชาวอาหมฟังถึงข้าวเหนียวในเมืองไทย ก็เลยได้ความรู้เพิ่มเติมว่า
	ที่อินเดียก็มีข้าวเหนียวกินอย่างที่เมืองไทย  เรียกชื่อในภาษาอัสสัมว่า ข้าว "บอ
	ราจาวาล" ในทันทีนั้น ผู้เขียนก็สามารถเชื่อมโยงชื่อเรียกข้าวเหนียวนี้กับคำอธิบาย
	วิธีก่อตึกของชาวอาหมได้ว่า เขายาอิฐให้ติดกันแน่นด้วยน้ำบอราจาวาลนี้ แท้จริง
	ก็คือน้ำข้าวเหนียว  ความรับรู้ที่เชื่อมโยงอย่างมีบูรณาการนี้ให้ความรู้อย่างมาก
	มายให้กับวงการไทยศึกษาในระยะต่อมา  เพราะผู้เขียนได้เจาะพบถึงทั้ง "วัฒน
	ธรรมข้าว" ของสังคมชนชาติไท  

		การพรรณาถึงหมู่บ้านคนไทในอัสสัมใน กาเลหม่านไต ยังให้ภาพที่
	ชัดเจนของลักษณะชุมชนไท ที่ตั้งรายเรียงกันอยู่ริมแม่น้ำ มีการทำนากันเป็น
	ส่วนใหญ่ บ้านไทและวัดไท เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างชุมชนที่ไม่อาจแยก
	ขาดจากกันได้ เรือนไทมีใต้ทุนสูง มีนอกชาน ปลูกพืชผักสวนครัว เช่น คำพรรณา
	หมู่บ้านไทพ่าเก ริมแม่น้ำหก
	
		"เราเดินเลียบมาตามริมแม่น้ำหก เห็นบ้านของชาวไทยหมู่บ้านน้ำพา
	เกียล ตั้งรายเรียงกันอยู่ริมแม่น้ำ.....คนไทยมีอุปนิสัยชอบอยู่ริมแม่น้ำ  เราจึง
	ต้องเดินจากถนนเข้ามาไกลถึงเพียงนี้ บ้านไทยที่เห็นเป็นเช่นเดียว กับบ้านใน
	ชนบทของเรา คือ มีใต้ถุนสูง มีนอกชานอยู่หน้าบ้าน ตัวบ้านทำด้วยไม้จริง แต่	
	พื้นบ้านนั้นบางบ้านก็ทำด้วยไม้จริง บางบ้านก็ทำด้วยไม้ไผ่ที่เรียกพาก (คือ ฟาก
	นั่นเอง เขาออกเสียง ฝ = ฟ เป็น พ) ตามบริเวณบ้านแทบทุกบ้าน ปลูกพืชผัก
	สวนครัวก็เลยได้ศึกษา เรื่องชื่อของสิ่งเหล่านั้น เช่น เผือก ฟัก ฟักทอง บวบ และ
	บอน ซึ่งเขาเรียกว่า ม่อน จึงได้กฎไว้พอเป็นเครื่องยึดถือในการเปรียบเทียบอีก
	อย่างหนึ่งว่าเขาออกเสียง บ ไม่ได้ ออกเป็น ม เข้าใจภาษาของเขาได้เร็วขึ้น 
	...ชาวไทยที่ถือพุทธเหล่านี้รู้สึกว่า  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีวัดสำหรับประกอบ
	ศาสนกิจ ดังนั้นหมู่บ้านไทยแต่ละบ้านจึงต้องมีวัดอย่างน้อยวัดหนึ่ง บางแห่งก็
	มีเพียงวิหาร ไม่มีกุฎิสำหรับสงฆ์ แต่วิหารบางแห่ง เช่น ที่หมู่บ้านพาเกียลนี้ สร้าง
	ด้วยไม้ มีลักษณะเหมือนศาลาการเปรียญ กั้นฝาไว้เพียงบางส่วนสำหรับเป็นที่
	อยู่ของสงฆ์ ส่วนนอกนั้นเปิดโล่ง ใช้สำหรับอุบาสกอุบาสิกามาฟังธรรมและชุมนุม
	กัน ตรงหน้าวัดมีบริเวณกว้างเห็นดอกไม้สีม่วงเป็นฝอยๆ ขึ้นอยู่เต็มแปลงมอง
	ดูสวยดี..." (น. ๔๓-๔๕)

		สำหรับผู้สนใจภาษา ก็จะได้ความรู้ความเพลิดเพลินจากการเปรียบ
	เทียบศัพท์สำนวนไท-ไทย เช่นที่เรารู้จักสำนวนไทย "เข้าวัดเข้าวา" สำนวน "เข้าวา"
	หมายถึง ทำบุญเข้าพรรษา และ "บวชวาเดียว" หมายถึง บวชพรรษาเดียว นับว่า
	อ่านแล้วได้ความรู้เรื่องภาษาและมิติที่ลึกซึ้งทางความหมาย 

		วัฒนธรรมอาหารการกินนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ชาวอาหม ไม่นิยมทำ
	อาหารที่ปรุงด้วยมะพร้าวกะทิ แต่มีวัฒนธรรมการกินกะปิปลาร้าที่หยั่งรากลึก
	เรียกกะปิว่า "ปาเน่าอันนุ่น" และเรียกปลาร้าว่า "ปาเน่าอันโต"

		มีการผสมคำศัพท์แบบไทแท้ที่น่าสนใจมาก เช่น เรียกวิญญาณว่า
	"ซ้ายเจ่อ" คือ สาย-ใจ และเรียกชีพจรว่า "เจ่อ-อ มื่อ" คือ ใจ-มือ และมี "ภาษา
	มือ" ที่เป็นวัฒนธรรมไทแท้แต่โบราณ คือ การ "เอางาน" เป็นการแสดงความ
	สุภาพนอมน้อม ที่ผู้น้อยพึงปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ โดยผู้เขียน ได้บรรยายให้เห็น
	ในสถานการณ์หนึ่งว่า
	
		"ข้าพเจ้าจึงรู้สึกสนุกเป็นพิเศษ ที่ได้พูดคุยกับนางอ๊าบเป็นภาษาคำดี่
	เพราะเป็นโอกาสได้ฝึกฝนภาษาไปพร้อมกัน...ความจริงนางอ๊าบเป็นคนสวยขำ 
	ผิวขาวสะอาด หน้าตายังไม่แก่เท่าคนที่มีอายุรุ่นราวคราวกันเสียแต่ว่าคอกำลังจะ
	พอกเหมือนคนไทยที่นี่ทั่วๆ ไป เมื่อข้าพเจ้าขึ้นมาถึงระเบียงเรือน เจ้าของบ้านก็
	เชิญให้นั่งที่เก้าอี้ยาว คงจะเกรงว่าข้าพเจ้าจะนั่งกับพื้นไม่เป็น ส่วนคนอื่นๆ รวม
	ทั้งแม่เฒ่าและนางอ๊าบพากันนั่งพับเพียงลงบนพื้นและเมื่อข้าพเจ้านั่งลง นางอ๊าบ
	ก็คุกเข่าส่งพานหมากให้ข้าพเจ้าตามธรรมเนียม  ข้าพเจ้าแปลกใจเหลือเกินเมื่อ
	เห็นนางอ๊าบใช้มือซ้ายและข้อมือขวาแบบที่เรียก ว่าเอางานขณะส่งพานให้ เพราะ
	นึกไม่ถึงเลยว่า คนไทยเหล่านี้ จะประพฤติปฏิบัติเช่นเดียวกันกับเรา ในเมื่อเขาอยู่
	ห่างกับเรากว่า ๒,๐๐๐ ไมล์ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ให้รู้สึกปลาบปลื้มใจที่วัฒนธรรม	
	อันดีงามของไทยในเรื่องนี้ยังดำรงอยู่ได้ ทั้งที่อยู่ในที่ที่แวดล้อมด้วยชนต่างผิว
	ต่างพรรณตลอดระยะเวลาตั้งหลายร้อยปี" (หน้า ๙๖-๙๗)	


กลับไปหนังสือประเภทสังคมวิทยา, มานุษยวิทยา, ประวัติศาสตร์สังคม
1