เนื้อหาของการโฆษณาที่ระบุ "ผลดี" ของการแปรรูป กฟผ.
ว่า รัฐบาลยังคงเป็นเจ้าของกิจการ แต่ปกปิดความจริงไว้ว่า
เมื่อดำเนินการนำหุ้นบริษัทมหาชนนั้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว
สัดส่วนความเป็นเจ้าของกิจการจำหน่ายไฟฟ้าส่วนนั้นของรัฐ จะลดน้อยลง
เรื่องน่ายินดีที่เกิดขึ้น หลังจากผมจบบทส่งท้าย "กำสรวลวิสาหกิจ" (กรุงเทพธุรกิจ,
วันพุธที่ 21 เมษายน 2547) คือคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ จัดประชุมร่วมกัน
โดยมีตัวแทนพนักงานเข้าปรึกษาหารือด้วยแล้ว
มีมติสรุปออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนทั่วประเทศว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ
จะรอให้ผลการพิจารณาแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจปรากฏชัดเจนออกมาก่อน
และระหว่างนั้นจะไม่มีการนำกิจการรัฐวิสาหกิจไปแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์
แต่เรื่องน่าวิตกกังวล, สับสน, และซับซ้อนเกิดขึ้นทันทีทันใด หลังจากนั้น
กล่าวคือ
รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจกำกับการใช้อำนาจกำกับดูแลกิจการพลังงาน
แถลงต่อสื่อมวลชนว่ามติของคณะกรรมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ดังกล่าว
เป็นความตกลงภายในของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเอง
โดยไม่ผูกมัดหรือมีผลต่อการดำเนินนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล
เรื่องน่าวิตกกังวลก่อนหน้านั้น เกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการโฆษณาชวนเชื่อ
(propaganda) เกี่ยวกับ "ผลดี" ของการนำเอากิจการรัฐวิสาหกิจสาธารณูปโภค
ไปแปรรูปเป็นบริษัทมหาชน เพื่อนำหุ้นเข้าไปซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์
ผมใช้คำว่า "มาตรการโฆษณาชวนเชื่อ" โดยอ้างอิงตำราพื้นฐานทางนิเทศศาสตร์
และสังคมที่นิยามลักษณะสำคัญของการโฆษณาชวนเชื่อไว้ 2 ประเด็นหลัก คือ (1)
เป็นข่าวสารข้อมูลที่เผยแพร่สู่สาธารณชน โดยระบุแหล่งต้นตอของข่าวสาร
โดยมุ่งหมายจะให้เกิดความน่าเชื่อถือในเนื้อหาของข่าวสารนั้น เช่น
ผู้เผยแพร่เป็นองค์กรทางสังคม, หรือแม้แต่ (บางครั้งหรือหลายครั้ง)
ผู้เผยแพร่เป็นนักวิชาการ และ/หรือ เป็นสถาบันเชิงวิชาการ
แต่ (2) ข่าวสารข้อมูลที่เผยแพร่นั้น ถูกออกแบบ (ปรุงแต่ง, ตัดทอน, เพิ่มเติม,
จัดลำดับสาระ) จนกระทั่งได้สาระสำคัญของข่าวสารเพียง "ด้านเดียว"
ให้สนับสนุนวัตถุประสงค์การทำงานของผู้บงการให้ปรุงแต่งข่าวสารชุดนั้น
ตัวอย่างของการโฆษณาชวนเชื่อในวิถีชีวิตประจำวัน ในสังคมของพวกเรามีมากมาย
และรุมล้อมการรับรู้อยู่ตลอดเวลา ในระบบการเผยแพร่ของสื่อมวลชนทุกแขนง
แต่การโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเชิงพาณิชย์
ของธุรกิจเอกชน ซึ่งมักจะยอมรับได้ภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด เช่น
การโฆษณาชวนเชื่อเครื่องดื่มชาเขียวต่างๆ ทุกวันนี้แจ้งแต่ "ผลดี" ของชาเขียว (ทั้งที่สรรพคุณบางด้านของเครื่องดื่มดังกล่าว
มี "ผลเสีย" ต่อผู้บริโภค), การโฆษณาชวนเชื่อผลิตภัณฑ์เคมีประเภทปุ๋ยสงเคราะห์
และยาฆ่าแมลง ซึ่งแจ้งแต่ "ผลดี" ของการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น (ทั้งที่สรรพคุณสำคัญของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
อีกส่วนหนึ่งคือการทำลายศักยภาพจากนิเวศน์วิทยา
ในการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของผิวดินตามธรรมชาติ)
แต่ถ้ารัฐหรือหน่วยงานของรัฐ
ให้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือดำเนินนโยบายสาธารณะ
แทนที่จะพยายามใช้ข่าวสารข้อมูลรอบด้าน ให้สาธารณชนศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน,
รัฐหรือหน่วยงานของรัฐที่ใช้งบประมาณสาธารณะ มาดำเนินมาตรการชวนเชื่อนั้น
ก็ล่อแหลมต่อการใช้อำนาจผลักดันทิศทางของสังคม
หรือประเทศของตนเข้าไปสู่ภาวะยุ่งยาก, วิกฤติ,
หรือแม้แต่มหันตภัยที่สาธารณชนในอนาคตจะต้องแบกรับภาระความยากลำบากต่อไป
ตัวอย่างกรณีศึกษาเกี่ยวกับผลของการดำเนินมาตรการโฆษณาชวนเชื่อ
โดยรัฐซึ่งตำรานิเทศศาสตร์สายแอง โกล-อเมริกัน (เช่น
จากงานในกลุ่มสานุศิษย์ของวอลเทอร์ ลิปป์แมนน์)
นิยมอ้างอิงค้นคว้ากันมากที่สุดกรณีหนึ่ง ได้แก่
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากประสิทธิผล การโฆษณาชวนเชื่อของพรรคนาซีเยอรมัน
สมัยที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำประเทศก่อนการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
ผู้เขียนคิดว่า กรณีสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์สังคมร่วมสมัยอีกมากมาย
ที่ยังถูกศึกษาค้นคว้ากันน้อยเกินไป เช่น
มาตรการโฆษณาชวนเชื่อในกรณีสงครามเวียดนาม ระหว่างช่วงปี ค.ศ.1960-1970
ในงานของสำนักข่าวสารของรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างของเรื่องน่าวิตกกังวลเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการโฆษณาชวนเชื่อ
โดยรัฐของไทยในกรณีการผลักดันให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นบริษัทมหาชน
เพื่อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปรากฏต่อเนื่องมาหลายปี และหลายกรณี
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจจนกระทั่งในช่วงเดือนที่ผ่านมา
มีการเผยแพร่งานโฆษณาทางโทรทัศน์ เกี่ยวกับ "ผลดี"
ของการนำกิจการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน
เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์
ข่าวสารข้อมูลในโฆษณาชิ้นนั้น ถูกเผยแพร่โดยมีการจ่ายค่าเช่าเวลาโฆษณา
และการจ่ายงบประมาณดังกล่าวเป็นการจ่ายเพื่อให้ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์
ใช้เครื่องมือสื่อสารมวลชนของตนเผยแพร่ข่าวสารด้านเดียว
ตามวัตถุประสงค์การดำเนินนโยบายของรัฐบาล
ภายใต้เนื้อหาของข่าวสารด้านเดียวชุดนั้น
มีความบกพร่องตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงข้อสันนิษฐานว่า อาจจงใจปกปิดความจริง
เช่น เนื้อหาของการโฆษณาที่ระบุ "ผลดี" ของการแปรรูป กฟภ. เป็นบริษัทมหาชนว่า
รัฐบาลยังคงเป็นเจ้าของกิจการ แต่ปกปิดความจริงไว้ว่า
เมื่อดำเนินการนำหุ้นบริษัทมหาชนนั้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว
ผลทางปฏิบัติซึ่งจะเกิดขึ้นแน่นอน คือ
สัดส่วนความเป็นเจ้าของกิจการจำหน่ายไฟฟ้าส่วนนั้นของรัฐ
จะลดน้อยลงกว่าสัดส่วนความเป็นเจ้าของในปัจจุบัน
และต่อไปในระยะยาว สัดส่วนความเป็นเจ้าของบริษัทมหาชน
ที่จำหน่ายไฟฟ้าในภูมิภาคต่างๆ สามารถถูกขายเพิ่มขึ้นให้แก่นักธุรกิจเอกชนได้
โดยการออกกฎหมายใหม่ๆ ให้กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของภาครัฐ ลดลงตามลำดับ
เป็นระยะๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ผมยังไม่เห็นด้วย
กับการแปรรูปอำนาจรัฐให้เป็นอำนาจของบริษัทมหาชน เพราะสังคมไทย (หรือแม้แต่สังคมอเมริกัน)
ยังไม่ได้พัฒนาจนถึงขั้นทำลายโครงสร้างการผูกขาดของทุนเอกชนได้สำเร็จแล้ว
|