การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป

 บริษัทมหาชนแทนรัฐ?

วันพุธที่ 28 เมษายน 2547

โดย วรพล พรหมิกบุตร

เนื้อหาของการโฆษณาที่ระบุ "ผลดี" ของการแปรรูป กฟ. ว่า รัฐบาลยังคงเป็นเจ้าของกิจการ แต่ปกปิดความจริงไว้ว่า เมื่อดำเนินการนำหุ้นบริษัทมหาชนนั้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว สัดส่วนความเป็นเจ้าของกิจการจำหน่ายไฟฟ้าส่วนนั้นของรัฐ จะลดน้อยลง

เรื่องน่ายินดีที่เกิดขึ้น หลังจากผมจบบทส่งท้าย "กำสรวลวิสาหกิจ" (กรุงเทพธุรกิจ, วันพุธที่ 21 เมษายน 2547) คือคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ จัดประชุมร่วมกัน โดยมีตัวแทนพนักงานเข้าปรึกษาหารือด้วยแล้ว มีมติสรุปออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนทั่วประเทศว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ จะรอให้ผลการพิจารณาแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจปรากฏชัดเจนออกมาก่อน และระหว่างนั้นจะไม่มีการนำกิจการรัฐวิสาหกิจไปแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์

แต่เรื่องน่าวิตกกังวล, สับสน, และซับซ้อนเกิดขึ้นทันทีทันใด หลังจากนั้น กล่าวคือ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจกำกับการใช้อำนาจกำกับดูแลกิจการพลังงาน แถลงต่อสื่อมวลชนว่ามติของคณะกรรมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ดังกล่าว เป็นความตกลงภายในของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเอง โดยไม่ผูกมัดหรือมีผลต่อการดำเนินนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล

เรื่องน่าวิตกกังวลก่อนหน้านั้น เกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) เกี่ยวกับ "ผลดี" ของการนำเอากิจการรัฐวิสาหกิจสาธารณูปโภค ไปแปรรูปเป็นบริษัทมหาชน เพื่อนำหุ้นเข้าไปซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์

ผมใช้คำว่า "มาตรการโฆษณาชวนเชื่อ" โดยอ้างอิงตำราพื้นฐานทางนิเทศศาสตร์ และสังคมที่นิยามลักษณะสำคัญของการโฆษณาชวนเชื่อไว้ 2 ประเด็นหลัก คือ (1) เป็นข่าวสารข้อมูลที่เผยแพร่สู่สาธารณชน โดยระบุแหล่งต้นตอของข่าวสาร โดยมุ่งหมายจะให้เกิดความน่าเชื่อถือในเนื้อหาของข่าวสารนั้น เช่น ผู้เผยแพร่เป็นองค์กรทางสังคม, หรือแม้แต่ (บางครั้งหรือหลายครั้ง) ผู้เผยแพร่เป็นนักวิชาการ และ/หรือ เป็นสถาบันเชิงวิชาการ

แต่ (2) ข่าวสารข้อมูลที่เผยแพร่นั้น ถูกออกแบบ (ปรุงแต่ง, ตัดทอน, เพิ่มเติม, จัดลำดับสาระ) จนกระทั่งได้สาระสำคัญของข่าวสารเพียง "ด้านเดียว" ให้สนับสนุนวัตถุประสงค์การทำงานของผู้บงการให้ปรุงแต่งข่าวสารชุดนั้น

ตัวอย่างของการโฆษณาชวนเชื่อในวิถีชีวิตประจำวัน ในสังคมของพวกเรามีมากมาย และรุมล้อมการรับรู้อยู่ตลอดเวลา ในระบบการเผยแพร่ของสื่อมวลชนทุกแขนง แต่การโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเชิงพาณิชย์ ของธุรกิจเอกชน ซึ่งมักจะยอมรับได้ภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด เช่น การโฆษณาชวนเชื่อเครื่องดื่มชาเขียวต่างๆ ทุกวันนี้แจ้งแต่ "ผลดี" ของชาเขียว (ทั้งที่สรรพคุณบางด้านของเครื่องดื่มดังกล่าว มี "ผลเสีย" ต่อผู้บริโภค), การโฆษณาชวนเชื่อผลิตภัณฑ์เคมีประเภทปุ๋ยสงเคราะห์ และยาฆ่าแมลง ซึ่งแจ้งแต่ "ผลดี" ของการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น (ทั้งที่สรรพคุณสำคัญของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว อีกส่วนหนึ่งคือการทำลายศักยภาพจากนิเวศน์วิทยา ในการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของผิวดินตามธรรมชาติ)

แต่ถ้ารัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ให้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือดำเนินนโยบายสาธารณะ แทนที่จะพยายามใช้ข่าวสารข้อมูลรอบด้าน ให้สาธารณชนศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน, รัฐหรือหน่วยงานของรัฐที่ใช้งบประมาณสาธารณะ มาดำเนินมาตรการชวนเชื่อนั้น ก็ล่อแหลมต่อการใช้อำนาจผลักดันทิศทางของสังคม หรือประเทศของตนเข้าไปสู่ภาวะยุ่งยาก, วิกฤติ, หรือแม้แต่มหันตภัยที่สาธารณชนในอนาคตจะต้องแบกรับภาระความยากลำบากต่อไป

ตัวอย่างกรณีศึกษาเกี่ยวกับผลของการดำเนินมาตรการโฆษณาชวนเชื่อ โดยรัฐซึ่งตำรานิเทศศาสตร์สายแอง โกล-อเมริกัน (เช่น จากงานในกลุ่มสานุศิษย์ของวอลเทอร์ ลิปป์แมนน์) นิยมอ้างอิงค้นคว้ากันมากที่สุดกรณีหนึ่ง ได้แก่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากประสิทธิผล การโฆษณาชวนเชื่อของพรรคนาซีเยอรมัน สมัยที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำประเทศก่อนการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

ผู้เขียนคิดว่า กรณีสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์สังคมร่วมสมัยอีกมากมาย ที่ยังถูกศึกษาค้นคว้ากันน้อยเกินไป เช่น มาตรการโฆษณาชวนเชื่อในกรณีสงครามเวียดนาม ระหว่างช่วงปี ค.ศ.1960-1970 ในงานของสำนักข่าวสารของรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างของเรื่องน่าวิตกกังวลเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการโฆษณาชวนเชื่อ โดยรัฐของไทยในกรณีการผลักดันให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นบริษัทมหาชน เพื่อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปรากฏต่อเนื่องมาหลายปี และหลายกรณี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจจนกระทั่งในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีการเผยแพร่งานโฆษณาทางโทรทัศน์ เกี่ยวกับ "ผลดี" ของการนำกิจการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์

ข่าวสารข้อมูลในโฆษณาชิ้นนั้น ถูกเผยแพร่โดยมีการจ่ายค่าเช่าเวลาโฆษณา และการจ่ายงบประมาณดังกล่าวเป็นการจ่ายเพื่อให้ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ใช้เครื่องมือสื่อสารมวลชนของตนเผยแพร่ข่าวสารด้านเดียว ตามวัตถุประสงค์การดำเนินนโยบายของรัฐบาล

ภายใต้เนื้อหาของข่าวสารด้านเดียวชุดนั้น มีความบกพร่องตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงข้อสันนิษฐานว่า อาจจงใจปกปิดความจริง เช่น เนื้อหาของการโฆษณาที่ระบุ "ผลดี" ของการแปรรูป กฟภ. เป็นบริษัทมหาชนว่า รัฐบาลยังคงเป็นเจ้าของกิจการ แต่ปกปิดความจริงไว้ว่า เมื่อดำเนินการนำหุ้นบริษัทมหาชนนั้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ผลทางปฏิบัติซึ่งจะเกิดขึ้นแน่นอน คือ สัดส่วนความเป็นเจ้าของกิจการจำหน่ายไฟฟ้าส่วนนั้นของรัฐ จะลดน้อยลงกว่าสัดส่วนความเป็นเจ้าของในปัจจุบัน

และต่อไปในระยะยาว สัดส่วนความเป็นเจ้าของบริษัทมหาชน ที่จำหน่ายไฟฟ้าในภูมิภาคต่างๆ สามารถถูกขายเพิ่มขึ้นให้แก่นักธุรกิจเอกชนได้ โดยการออกกฎหมายใหม่ๆ ให้กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของภาครัฐ ลดลงตามลำดับ เป็นระยะๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป

ผมยังไม่เห็นด้วย กับการแปรรูปอำนาจรัฐให้เป็นอำนาจของบริษัทมหาชน เพราะสังคมไทย (หรือแม้แต่สังคมอเมริกัน) ยังไม่ได้พัฒนาจนถึงขั้นทำลายโครงสร้างการผูกขาดของทุนเอกชนได้สำเร็จแล้ว


1