การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป

 

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นของเอกชน หรือ Privatization (หน้า 54-59) เป็นบทหนึ่งในหนังสือชื่อ "Globalization and lts Discontents"
เขียนโดยโจเซฟ
สติกลิตซ์(Joseph Stiglitz)
ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี ค.ศ.2001
แปลโดย สมเกียรติ
อ่อนวิมล ส.ว.สุพรรณบุรี


การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์โนเบล

ในประเทศที่กำลังพัฒนา-และพัฒนาแล้ว-รัฐบาลส่วนมากมักจะใช้เวลามากเกินไปในการทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ปัญหาไม่ได้สำคัญอยู่ที่ว่ารัฐบาลมีขนาดใหญ่จนเกินไป แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลไม่มีหน้าที่ที่จะมาทำกิจการโรงงานเหล็ก แล้วพอทำเข้าจริงๆ ก็ทำเละเทะเสียหาย โดยทั่วไปกิจการของภาคเอกชนที่มีการแข่งขันสามารถทำหน้าที่ที่ว่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า นี่คือข้อถกเถียงเพื่อสนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ-เปลี่ยนอุตสาหกรรมและบริษัทที่บริหารจัดการโดยรัฐให้เป็นของเอกชน อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขที่สำคัญที่ต้องทำก่อนล่วงหน้าให้เป็นที่พอใจก่อนที่จะทำให้การแปรรูปเกิดผลในทางเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจของชาติ และกรรมวิธีการแปรรูปจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างผลแตกต่างให้ปรากฏเป็นอย่างมาก

ในปี 1998 ผมได้ไปเยี่ยมหมู่บ้านยากจนบางแห่งในโมร็อกโก เพื่อที่จะดูผลกระทบจากโครงการของธนาคารโลก และโครงการขององค์กรพัฒนาภาคเอกชน(NGO"s) ที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นั่น ยกตัวอย่าง ผมได้พบว่าโครงการชลประทานของชุมชนได้ช่วยเพิ่มผลผลิตในไร่นาอย่างมากมายทีเดียว อย่างไรก็ตาม มีอยู่โครงการหนึ่งที่ล้มเหลว NGO องค์กรหนึ่งพยายามอย่างเหนื่อยยากในการสอนชาวบ้านเรื่องวิธีการเลี้ยงไก่ ซึ่งเป็นงานที่โดยปกติพวกแม่บ้านก็สามารถทำตามแบบพื้นบ้านดั้งเดิมได้ดีอยู่แล้ว แต่เดิมนั้นพวกแม่บ้านจะได้พันธุ์ลูกไก่อายุ 7 วัน จากรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง แต่ตอนที่ผมไปเยี่ยมหมู่บ้านนี้ รัฐวิสาหกิจที่ว่านี้ล้มไปแล้ว ผมได้ปรึกษาหารือกับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อหาสาเหตุของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น คำตอบก็ง่ายมาก รัฐบาลได้รับคำสั่งจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ว่าไม่ใช่ธุระของรัฐที่จะมาแจกจ่ายลูกไก่ให้ประชาชน ดังนั้น รัฐบาลเลยยุติกิจการขายลูกไก่ให้ชาวบ้าน

รัฐบาลคาดการณ์เอาง่ายๆ ว่าธุรกิจภาคเอกชนจะมาทำกิจการขายลูกไก่แทนที่รัฐบาล ก็จริงๆ บริษัทเอกชนเข้ามาขายส่งลูกไก่ให้ชาวบ้าน หากแต่ว่าอัตราการตายของลูกไก่ในสองสัปดาห์แรกมีสูง และบริษัทเอกชนไม่ยอมที่จะรับประกันชีวิตลูกไก่ ชาวบ้านก็เลยไม่กล้าเสี่ยงไปซื้อลูกไก่ที่อาจตายเป็นจำนวนมากในภายหลัง ดังนั้น กิจการที่เกิดใหม่ๆ ที่ทำท่าว่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรที่ยากจนเหล่านี้ก็เลยต้องปิดตายลงไป

ข้อสมมติฐานว่าด้วยสาเหตุของความล้มเหลวแบบนี้นั้นผมได้พบเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก IMF คิดเอาเองง่ายๆ ว่าตลาดจะฟื้นตัวตอบสนองตามความจำเป็นอย่างเร็ว ในเมื่ออันที่จริงกิจการของรัฐหลายอย่างเกิดขึ้นมาเพราะตลาดล้มเหลวที่จะสร้างวิสาหกิจอันเป็นบริการที่จำเป็น ตัวอย่างทำนองนี้มีให้เห็นอย่างท่วมท้น นอกประเทศสหรัฐอเมริกาประเด็นนี้ยิ่งมองเห็นชัดเจน เมื่อหลายๆ ประเทศในยุโรปสร้างระบบความมั่นคงของสังคมและระบบการประกันการว่างงานและการทุพพลภาพจากการปฏิบัติงาน ไม่มีภาคเอกชนที่ทำกิจการด้านบำเหน็จบำนาญสวัสดิการสังคมที่ทำงานได้เรื่องได้ราวในตลาด ไม่มีบริษัทเอกชนใดที่จะขายประกันด้านความเสี่ยงที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตบุคคล แม้ตอนที่สหรัฐอเมริกาสร้างระบบประกันสังคม ในช่วงเวลาต่อมาที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำขั้นวิกฤตขนาดหนักในช่วงของประวัติศาสตร์ยุค "ข้อสัญญาประชาคมใหม่" ตลาดเอกชนด้านธุรกิจประกันการจ่ายเงินทดแทนก็ทำหน้าที่ไม่ได้ดีนัก-แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครให้เงินทดแทนประกันอัตราเงินเฟ้อได้ ในสหรัฐอีกเช่นกัน เหตุผลหนึ่งในหลายๆ เหตุผลของการริเริ่มก่อตั้งสมาคมรับจำนองแห่งชาติ(Federal National Mortgage Association-Fannie Mae) ก็เป็นเพราะว่าตลาดเอกชนไม่ยอมรับจำนองจากครอบครัวผู้มีรายได้ต่ำและปานกลางในเงื่อนไขที่เหมาะสม ในประเทศกำลังพัฒนาปัญหาแบบเดียวกันนี้ยิ่งวิกฤตหนักมากกว่า การกำจัดรัฐวิสาหกิจออกไปอาจสร้างช่องว่างมหึมา-และหากในที่สุดภาคเอกชนเข้ามาแทนที่ ก็จะสามารถก่อให้เกิดความทุกข์ยากอย่างสาหัส

ในประเทศโกตดิวัว(Cote d"lvoire) มีการแปรรูปบริษัทโทรศัพท์ของรัฐ ซึ่งที่ไหนๆ ก็มักจะทำแบบเดียวกันนี้เสมอ คือแปรรูปก่อนที่จะมีกฎระเบียบว่าด้วยการกำกับดูแลกิจการ และแปรรูปก่อนที่จะมีการเตรียมการทำโครงสร้างเพื่อให้มีการแข่งขันกันในการประกอบกิจการหลังแปรรูป รัฐบาลถูกจูงใจโดยบริษัทของฝรั่งเศสที่จะซื้อบริษัทโทรศัพท์ของรัฐนั้นโดยขอให้มีการผูกขาดต่อไปหลังเข้าซื้อกิจการ ไม่เพียงขอผูกขาดกิจการโทรศัพท์เท่าที่มีอยู่ตอนซื้อเท่านั้น หากแต่ขอผูกขาดกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งกำหนดจะเริ่มให้บริการใหม่ในอนาคตด้วย หลังแปรรูปให้กับบริษัทเอกชนของฝรั่งเศสรายนั้นแล้ว บริษัทของฝรั่งเศสรายนั้นก็ขึ้นราคาค่าบริการเสียจนสูงมากๆ จนแม้กระทั่งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ยังไม่สามารถจ่ายค่าเชื่อมต่อสัญญาณรับบริการ Internet ได้ มันเป็นสิ่งจำเป็นมากที่จะต้องป้องกันมิให้ช่องว่างด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในระบบ Digital ระหว่างคนจนกับคนรวยซึ่งห่างกันมากอยู่แล้วมิให้กว้างห่างมากยิ่งขึ้นไปอีก

IMF
ชี้แจงว่าการเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนเหนือเรื่องอื่นใด ส่วนประเด็นปัญหาว่าด้วยเรื่องการแข่งขันและการกำกับดูแลค่อยเอาไว้ว่ากันทีหลัง แต่อันตรายในเรื่องนี้อยู่ที่ว่าทันทีที่มีกลุ่มผลประโยชน์เกิดขึ้นมาใหม่ซึ่งมีแรงจูงใจและมีเงินที่จะรักษาสถานภาพการผูกขาดไว้ตามเดิม พร้อมกันนั้นก็ทำลายกฎระเบียบการกำกับดูแลและกำจัดการแข่งขัน รวมทั้งบิดเบี้ยวกระบวนการทางการเมืองไปพร้อมๆ กัน

มีเหตุผลพื้นฐานที่ว่าทำไม IMF จึงไม่สนใจห่วงใยเรื่องการแข่งขันและการกำกับดูแลมากเท่าที่ควรห่วง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่คงการผูกขาดและไม่มีกรอบการกำกับควบคุมดูแลจะทำให้รัฐบาลมีรายได้มากกว่า และ IMF เองก็มุ่งความสนใจไปเฉพาะที่เรื่องเศรษฐกิจระดับกว้างที่เรียกว่าระดับมหภาค เช่น เรื่องปริมาณการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาล มากกว่าที่จะไปสนใจในเรื่องโครงสร้าง เช่น เรื่องประสิทธิภาพในการผลิตและการแข่งขันของอุตสาหกรรม กิจการที่แปรรูปแล้วจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมครั้งที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ เท่าที่ปรากฏก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมเพียงในด้านการเอาเปรียบผู้บริโภคในฐานะที่เป็นกิจการผูกขาด ผลที่ได้คือผู้บริโภคเดือดร้อนหนัก

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่เพียงแต่จะสร้างความทุกข์ให้กับผู้บริโภคเท่านั้น แต่มันจะสร้างความทุกข์ให้กับพนักงานด้วยในทำนองเดียวกัน เหตุผลสำคัญในการใช้อ้างเพื่อสนับสนุนหรือเพื่อคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นเรื่องเดียวกันเรื่องหนึ่ง คือเรื่องผลกระทบต่อการว่าจ้างแรงงาน ฝ่ายสนับสนุนการแปรรูปก็จะบอกว่า โดยการแปรรูปเท่านั้นที่จะหาโอกาสปลดคนงานที่ผลิตภาพต่ำออกไปได้ ส่วนฝ่ายคัดค้านการแปรรูปก็จะเถียงว่าการปลดคนงานที่ผลิตภาพต่ำออกไปได้ ส่วนฝ่ายคัดค้านการแปรรูปก็จะเถียงว่าการปลดคนงานเกิดขึ้น โดยไม่แยแสต่อค่าความเสียหายทางสังคม ที่จริงก็มีความจริงอยู่ในจุดยืนของทั้งสองฝ่าย

บ่อยครั้งที่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเปลี่ยนจากการขาดทุนมาเป็นกำไรเพียงโดยการปลดคนงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายเงินเดือนพนักงาน อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ควรที่จะมุ่งความสนใจไปที่การมีประสิทธิภาพโดยรวม การว่างงานมีค่าความเสียหายทางสังคมตามมาเสนอ ซึ่งหากเป็นบริษัทเอกชนเขาก็จะไม่รับผิดชอบในเรื่องค่าความเสียหายทางสังคมนี้ ในเมื่อมีค่าใช้จ่ายในระบบการคุ้มกันการทำงานเพียงไม่มากนัก นายจ้างสามารถปลดคนงานออกได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย หรือหากจะต้องเสียก็ไม่มากมายอะไรนัก อย่างมากก็จ่ายเงินชดเชยค่าที่คนงานต้องออกจากงานนิดหน่อยเท่านั้นเอง

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจถูกตำหนิอย่างกว้างขวางมากโดยเหตุที่ว่ามันไม่เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าการลงทุนในทุ่งเขียว(Greenfield Investment) หมายถึงการลงทุนเริ่มสร้างกิจการใหม่จ้างคนงานใหม่หมด แต่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นการที่นักลงทุนเอกชนมาซื้อกิจการที่มีอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยมากก็จะทำลายตำแหน่งงานที่มีอยู่มากกว่าที่จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ในประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมแล้ว ความปวดร้าวจากการตกงานเป็นที่พอยอมรับกันได้เพราะมีระบบการประกันการว่างงานเป็นร่มเงาพอให้ความมั่นคงปลอดภัยได้บ้าง แต่ในประเทศที่ด้อยพัฒนา การมีคนตกงานไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของรัฐ เพราะมักจะไม่ค่อยมีระบบประกันการว่างงานให้กับคนงานกัน ไม่ว่าจะมีระบบประกันการว่างงานหรือไม่และมีมากมีน้อยเพียงไร อย่างไรก็ตาม ก็จะเกิดค่าความเสียหายทางสังคมมากมหาศาลทั้งสิ้น

ที่ปรากฏในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดก็คือความรุนแรงในเมืองคดีอาชญากรรมที่เพิ่มมากขึ้น ความระส่ำระสายทางการเมืองและสังคม และแม้ว่าจะไม่นับปัญหาที่กล่าว นับเฉพาะปัญหาการว่างงานอย่างเดียวเท่านั้นก็เป็นค่าความเสียหายทางสังคมที่ใหญ่หลวงมากอยู่แล้ว การตกงานก่อให้เกิดความหวั่นวิตกอย่างกว้างขวาง แม้ในหมู่คนงานที่สามารถรักษางานของตนเองไว้ได้ ความรู้สึกที่ถูกกีดกันแบ่งแยกในวงกว้างในที่ทำงาน สมาชิกในครอบครัวที่ยังคงมีงานทำก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เด็กๆ ในครอบครัวที่เรียนหนังสือก็อาจต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยหาเงินเลี้ยงครอบครัว ค่าความเสียหายทางสังคมที่ว่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องผ่านช่วงเวลาของการตกงานไปอีกยาวนาน ยิ่งถ้าหากบริษัทรัฐวิสาหกิจถูกขายให้กับชาวต่างชาติค่าความเสียหายจากการตกงานจะรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้น

บริษัทเอกชนของคนในประเทศเดียวกันอาจจะมีความผูกผันห่วงใยเรื่องค่าความเสียหายทางสังคม และจะลังเลใจในการปลดคนงานออกหากรู้ว่าออกไปแล้วคนงานเหล่านั้นจะหางานอื่นทำไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม เจ้าของกิจการที่เป็นชาวต่างชาติมักจะมีความรู้สึกผูกพันต้องทำงานตอบแทนผู้ถือหุ้น เพิ่มเพิ่มค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในสูงที่สุด พวกเขาจึงต้องลดค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุน มีความผูกพันน้อยมากกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "แรงงานส่วนเกิน"

การปรับโครงสร้างใหม่ให้กับรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องสำคัญ และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็มักจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจนั้นได้ แต่การเคลื่อนย้ายคนงานจากงานที่ให้ประสิทธิผลน้อยในรัฐวิสาหกิจ ออกไปสู่การตกงานจะมิได้ช่วยการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศชาติแต่อย่างใด และมันก็มิได้เพิ่มสวัสดิการให้กับคนงานทั้งหลายแต่ประการใดเลย บทเรียนที่ได้นั้นไม่ซับซ้อนอะไรเลย

และผมก็จะต้องกลับมาพูดเช่นนี้อยู่เป็นระยะๆ คือ : การแปรรูปรัฐวิสาหกิจจำจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ใหญ่กว่าละเอียดบริบูรณ์กว่า ซึ่งจะต้องเป็นแผนการใหญ่ที่จะสร้างานเพิ่มขึ้นตามไปพร้อมกับการทำลายงานที่มักจะมาพร้อมกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ จำต้องมีนโยบายเศรษฐกิจแบบภาพกว้างที่ต้องสร้างงานเพิ่ม และมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ การหาจังหวะเวลาที่เหมาะสม และการลำดับเวลาและวิสาหกิจเพื่อการแปรรูปเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องวิธีการของภาคการปฏิบัติเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของหลักการพื้นฐานโดยแท้

บางทีเรื่องที่ห่วงใยกันมากที่สุดเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจคือเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งมักทำกันบ่อยมากเวลาจะแปรรูป คำพูดของผู้ที่เชื่อในกลไกของตลาดก็ยืนยันย้ำว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะไปลดสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "การแสวงค่าเช่า" (rent-seeking) คือการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่คอยเก็บเกี่ยวรายได้ใต้โต๊ะจากผลกำไรของรัฐวิสาหกิจ หรือไม่ก็จัดการให้สัญญาสัมปทานแก่เพื่อนของเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้น แต่ในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจกลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปยิ่งกว่าเดิมครั้งที่ยังไม่แปรรูป ทุกวันนี้ในหลายประเทศเรียกการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือ "privatization" แบบติดตลกว่า "briberization" (การแปรรูปการติดสินบนหรือแปรรูปการทุจริต) ถ้ารัฐบาลคดโกง ไม่มีหลักฐานใดๆ บอกว่าการแปรรูปจะช่วยแก้ปัญหาได้ เพราะรัฐบาลที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็เป็นรัฐบาลเดียวกันที่ทุจริตและแก้ปัญหาการบริหารรัฐวิสาหกิจที่ไร้ประสิทธิภาพไม่ได้

ประเทศแล้วประเทศเล่า คนของรัฐบาลรู้ว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งเดียวหมายถึงการที่จะไม่ต้องมาจำกัดตัวเองให้คอยเก็บเกี่ยวใต้โต๊ะเป็นรายปี โดยการขยายรัฐวิสาหกิจต่ำกว่าราคาตลาด นักการเมืองทุจริตสามารถกอบโกยหุ้นมหาศาลให้กับตัวเอง แทนที่จะปล่อยแบ่งให้กับนักการเมืองรุ่นถัดไป หมายความว่านักการเมืองคดโกงเหล่านี้สามารถขโมยความมั่งคั่งจากการขายรัฐวิสากิจในวันนี้วันเดียวได้มหาศาลมากกว่าที่จะให้นักการเมืองสมัยหน้าเก็บกินในอนาคต ไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่ากระบวนการทุจริตคดโกงในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจได้ออกแบบมาเอื้อประโยชน์ให้คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลได้กอบโกยผลประโยชน์สูงสุดให้กับตัวของรัฐมนตรีเอง ไม่ใช่เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดเข้าคลังของชาติ มิต้องไปพูดถึงเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจเลยให้เสียเวลา ตามที่เราจะเห็นต่อไปในกรณีของรัสเซีย ซึ่งถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญในเรื่องความเสียหายใหญ่หลวงจาก "การแปรรูปทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ว่าจะเสียหายอย่างไรก็ตาม"

ผู้ที่สนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจบอกตัวเองให้เชื่ออย่างไร้เดียงสาว่าไม่ต้องไปห่วงเรื่องค่าความเสียหายที่กล่าวมานี้เพราะดูเหมือนในตำราจะบอกไว้ว่าทันทีที่มีการรับรองทรัพย์สินส่วนบุคคลชัดเจนแล้ว เจ้าของกิจการรายใหม่จะต้องบริหารจัดการสินทรัพย์ใหม่ของตนให้มีประสิทธิภาพดีแน่นอนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้น สถานการณ์จะดีขึ้นในระยะยาว แม้ในระยะสั้นเฉพาะหน้าจะน่าเกลียดอย่างไรก็ตาม เขาเหล่านั้นลืมไปว่าหากไม่มีโครงสร้างทางกฎหมายและสถาบันทางการตลาดรองรับที่เหมาะสม เจ้าของกิจการใหม่อาจมีแรงจูงใจให้จำแนกทรัพย์สินทั้งหลายออกขายต่อทันทีแทนที่จะเอาไว้สร้างฐานการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อไปในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ในรัสเซีย และในอีกหลายๆ ประเทศ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ประสบผลสำเร็จในการเป็นพลังเพื่อสร้างการความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น

จริงๆ แล้วการแปรรูปรัฐวิสาหกิจก่อให้เกิดการตกต่ำ และพิสูจน์ว่าเป็นมหันต์พลังในการทำลายสถาบันประชาธิปไตยและการตลาด

1