การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์โนเบล
ในประเทศที่กำลังพัฒนา-และพัฒนาแล้ว-รัฐบาลส่วนมากมักจะใช้เวลามากเกินไปในการทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
ปัญหาไม่ได้สำคัญอยู่ที่ว่ารัฐบาลมีขนาดใหญ่จนเกินไป
แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลไม่มีหน้าที่ที่จะมาทำกิจการโรงงานเหล็ก
แล้วพอทำเข้าจริงๆ
ก็ทำเละเทะเสียหาย
โดยทั่วไปกิจการของภาคเอกชนที่มีการแข่งขันสามารถทำหน้าที่ที่ว่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
นี่คือข้อถกเถียงเพื่อสนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ-เปลี่ยนอุตสาหกรรมและบริษัทที่บริหารจัดการโดยรัฐให้เป็นของเอกชน
อย่างไรก็ตาม
มีเงื่อนไขที่สำคัญที่ต้องทำก่อนล่วงหน้าให้เป็นที่พอใจก่อนที่จะทำให้การแปรรูปเกิดผลในทางเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจของชาติ
และกรรมวิธีการแปรรูปจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างผลแตกต่างให้ปรากฏเป็นอย่างมาก
ในปี
1998
ผมได้ไปเยี่ยมหมู่บ้านยากจนบางแห่งในโมร็อกโก
เพื่อที่จะดูผลกระทบจากโครงการของธนาคารโลก
และโครงการขององค์กรพัฒนาภาคเอกชน(NGO"s)
ที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นั่น
ยกตัวอย่าง
ผมได้พบว่าโครงการชลประทานของชุมชนได้ช่วยเพิ่มผลผลิตในไร่นาอย่างมากมายทีเดียว
อย่างไรก็ตาม มีอยู่โครงการหนึ่งที่ล้มเหลว
NGO
องค์กรหนึ่งพยายามอย่างเหนื่อยยากในการสอนชาวบ้านเรื่องวิธีการเลี้ยงไก่
ซึ่งเป็นงานที่โดยปกติพวกแม่บ้านก็สามารถทำตามแบบพื้นบ้านดั้งเดิมได้ดีอยู่แล้ว
แต่เดิมนั้นพวกแม่บ้านจะได้พันธุ์ลูกไก่อายุ
7
วัน จากรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง
แต่ตอนที่ผมไปเยี่ยมหมู่บ้านนี้ รัฐวิสาหกิจที่ว่านี้ล้มไปแล้ว
ผมได้ปรึกษาหารือกับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อหาสาเหตุของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
คำตอบก็ง่ายมาก รัฐบาลได้รับคำสั่งจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)
ว่าไม่ใช่ธุระของรัฐที่จะมาแจกจ่ายลูกไก่ให้ประชาชน ดังนั้น
รัฐบาลเลยยุติกิจการขายลูกไก่ให้ชาวบ้าน
รัฐบาลคาดการณ์เอาง่ายๆ
ว่าธุรกิจภาคเอกชนจะมาทำกิจการขายลูกไก่แทนที่รัฐบาล ก็จริงๆ
บริษัทเอกชนเข้ามาขายส่งลูกไก่ให้ชาวบ้าน
หากแต่ว่าอัตราการตายของลูกไก่ในสองสัปดาห์แรกมีสูง
และบริษัทเอกชนไม่ยอมที่จะรับประกันชีวิตลูกไก่
ชาวบ้านก็เลยไม่กล้าเสี่ยงไปซื้อลูกไก่ที่อาจตายเป็นจำนวนมากในภายหลัง ดังนั้น
กิจการที่เกิดใหม่ๆ
ที่ทำท่าว่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรที่ยากจนเหล่านี้ก็เลยต้องปิดตายลงไป
ข้อสมมติฐานว่าด้วยสาเหตุของความล้มเหลวแบบนี้นั้นผมได้พบเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก
IMF
คิดเอาเองง่ายๆ ว่าตลาดจะฟื้นตัวตอบสนองตามความจำเป็นอย่างเร็ว
ในเมื่ออันที่จริงกิจการของรัฐหลายอย่างเกิดขึ้นมาเพราะตลาดล้มเหลวที่จะสร้างวิสาหกิจอันเป็นบริการที่จำเป็น
ตัวอย่างทำนองนี้มีให้เห็นอย่างท่วมท้น
นอกประเทศสหรัฐอเมริกาประเด็นนี้ยิ่งมองเห็นชัดเจน เมื่อหลายๆ
ประเทศในยุโรปสร้างระบบความมั่นคงของสังคมและระบบการประกันการว่างงานและการทุพพลภาพจากการปฏิบัติงาน
ไม่มีภาคเอกชนที่ทำกิจการด้านบำเหน็จบำนาญสวัสดิการสังคมที่ทำงานได้เรื่องได้ราวในตลาด
ไม่มีบริษัทเอกชนใดที่จะขายประกันด้านความเสี่ยงที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตบุคคล
แม้ตอนที่สหรัฐอเมริกาสร้างระบบประกันสังคม
ในช่วงเวลาต่อมาที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำขั้นวิกฤตขนาดหนักในช่วงของประวัติศาสตร์ยุค
"ข้อสัญญาประชาคมใหม่"
ตลาดเอกชนด้านธุรกิจประกันการจ่ายเงินทดแทนก็ทำหน้าที่ไม่ได้ดีนัก-แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครให้เงินทดแทนประกันอัตราเงินเฟ้อได้
ในสหรัฐอีกเช่นกัน เหตุผลหนึ่งในหลายๆ
เหตุผลของการริเริ่มก่อตั้งสมาคมรับจำนองแห่งชาติ(Federal
National Mortgage Association-Fannie Mae)
ก็เป็นเพราะว่าตลาดเอกชนไม่ยอมรับจำนองจากครอบครัวผู้มีรายได้ต่ำและปานกลางในเงื่อนไขที่เหมาะสม
ในประเทศกำลังพัฒนาปัญหาแบบเดียวกันนี้ยิ่งวิกฤตหนักมากกว่า
การกำจัดรัฐวิสาหกิจออกไปอาจสร้างช่องว่างมหึมา-และหากในที่สุดภาคเอกชนเข้ามาแทนที่
ก็จะสามารถก่อให้เกิดความทุกข์ยากอย่างสาหัส
ในประเทศโกตดิวัว(Cote
d"lvoire)
มีการแปรรูปบริษัทโทรศัพท์ของรัฐ ซึ่งที่ไหนๆ
ก็มักจะทำแบบเดียวกันนี้เสมอ
คือแปรรูปก่อนที่จะมีกฎระเบียบว่าด้วยการกำกับดูแลกิจการ
และแปรรูปก่อนที่จะมีการเตรียมการทำโครงสร้างเพื่อให้มีการแข่งขันกันในการประกอบกิจการหลังแปรรูป
รัฐบาลถูกจูงใจโดยบริษัทของฝรั่งเศสที่จะซื้อบริษัทโทรศัพท์ของรัฐนั้นโดยขอให้มีการผูกขาดต่อไปหลังเข้าซื้อกิจการ
ไม่เพียงขอผูกขาดกิจการโทรศัพท์เท่าที่มีอยู่ตอนซื้อเท่านั้น
หากแต่ขอผูกขาดกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งกำหนดจะเริ่มให้บริการใหม่ในอนาคตด้วย
หลังแปรรูปให้กับบริษัทเอกชนของฝรั่งเศสรายนั้นแล้ว
บริษัทของฝรั่งเศสรายนั้นก็ขึ้นราคาค่าบริการเสียจนสูงมากๆ
จนแม้กระทั่งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ยังไม่สามารถจ่ายค่าเชื่อมต่อสัญญาณรับบริการ
Internet
ได้
มันเป็นสิ่งจำเป็นมากที่จะต้องป้องกันมิให้ช่องว่างด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในระบบ
Digital
ระหว่างคนจนกับคนรวยซึ่งห่างกันมากอยู่แล้วมิให้กว้างห่างมากยิ่งขึ้นไปอีก
IMF
ชี้แจงว่าการเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนเหนือเรื่องอื่นใด
ส่วนประเด็นปัญหาว่าด้วยเรื่องการแข่งขันและการกำกับดูแลค่อยเอาไว้ว่ากันทีหลัง
แต่อันตรายในเรื่องนี้อยู่ที่ว่าทันทีที่มีกลุ่มผลประโยชน์เกิดขึ้นมาใหม่ซึ่งมีแรงจูงใจและมีเงินที่จะรักษาสถานภาพการผูกขาดไว้ตามเดิม
พร้อมกันนั้นก็ทำลายกฎระเบียบการกำกับดูแลและกำจัดการแข่งขัน
รวมทั้งบิดเบี้ยวกระบวนการทางการเมืองไปพร้อมๆ
กัน
มีเหตุผลพื้นฐานที่ว่าทำไม
IMF
จึงไม่สนใจห่วงใยเรื่องการแข่งขันและการกำกับดูแลมากเท่าที่ควรห่วง
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่คงการผูกขาดและไม่มีกรอบการกำกับควบคุมดูแลจะทำให้รัฐบาลมีรายได้มากกว่า
และ
IMF
เองก็มุ่งความสนใจไปเฉพาะที่เรื่องเศรษฐกิจระดับกว้างที่เรียกว่าระดับมหภาค
เช่น เรื่องปริมาณการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาล
มากกว่าที่จะไปสนใจในเรื่องโครงสร้าง เช่น
เรื่องประสิทธิภาพในการผลิตและการแข่งขันของอุตสาหกรรม
กิจการที่แปรรูปแล้วจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมครั้งที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่
เท่าที่ปรากฏก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมเพียงในด้านการเอาเปรียบผู้บริโภคในฐานะที่เป็นกิจการผูกขาด
ผลที่ได้คือผู้บริโภคเดือดร้อนหนัก
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่เพียงแต่จะสร้างความทุกข์ให้กับผู้บริโภคเท่านั้น
แต่มันจะสร้างความทุกข์ให้กับพนักงานด้วยในทำนองเดียวกัน
เหตุผลสำคัญในการใช้อ้างเพื่อสนับสนุนหรือเพื่อคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
เป็นเรื่องเดียวกันเรื่องหนึ่ง คือเรื่องผลกระทบต่อการว่าจ้างแรงงาน
ฝ่ายสนับสนุนการแปรรูปก็จะบอกว่า
โดยการแปรรูปเท่านั้นที่จะหาโอกาสปลดคนงานที่ผลิตภาพต่ำออกไปได้
ส่วนฝ่ายคัดค้านการแปรรูปก็จะเถียงว่าการปลดคนงานที่ผลิตภาพต่ำออกไปได้
ส่วนฝ่ายคัดค้านการแปรรูปก็จะเถียงว่าการปลดคนงานเกิดขึ้น
โดยไม่แยแสต่อค่าความเสียหายทางสังคม
ที่จริงก็มีความจริงอยู่ในจุดยืนของทั้งสองฝ่าย
บ่อยครั้งที่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเปลี่ยนจากการขาดทุนมาเป็นกำไรเพียงโดยการปลดคนงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายเงินเดือนพนักงาน
อย่างไรก็ตาม
นักเศรษฐศาสตร์ควรที่จะมุ่งความสนใจไปที่การมีประสิทธิภาพโดยรวม
การว่างงานมีค่าความเสียหายทางสังคมตามมาเสนอ
ซึ่งหากเป็นบริษัทเอกชนเขาก็จะไม่รับผิดชอบในเรื่องค่าความเสียหายทางสังคมนี้
ในเมื่อมีค่าใช้จ่ายในระบบการคุ้มกันการทำงานเพียงไม่มากนัก
นายจ้างสามารถปลดคนงานออกได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย
หรือหากจะต้องเสียก็ไม่มากมายอะไรนัก
อย่างมากก็จ่ายเงินชดเชยค่าที่คนงานต้องออกจากงานนิดหน่อยเท่านั้นเอง
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจถูกตำหนิอย่างกว้างขวางมากโดยเหตุที่ว่ามันไม่เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าการลงทุนในทุ่งเขียว(Greenfield
Investment)
หมายถึงการลงทุนเริ่มสร้างกิจการใหม่จ้างคนงานใหม่หมด
แต่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นการที่นักลงทุนเอกชนมาซื้อกิจการที่มีอยู่ก่อนแล้ว
ดังนั้น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
โดยมากก็จะทำลายตำแหน่งงานที่มีอยู่มากกว่าที่จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ในประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมแล้ว
ความปวดร้าวจากการตกงานเป็นที่พอยอมรับกันได้เพราะมีระบบการประกันการว่างงานเป็นร่มเงาพอให้ความมั่นคงปลอดภัยได้บ้าง
แต่ในประเทศที่ด้อยพัฒนา การมีคนตกงานไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของรัฐ
เพราะมักจะไม่ค่อยมีระบบประกันการว่างงานให้กับคนงานกัน
ไม่ว่าจะมีระบบประกันการว่างงานหรือไม่และมีมากมีน้อยเพียงไร
อย่างไรก็ตาม
ก็จะเกิดค่าความเสียหายทางสังคมมากมหาศาลทั้งสิ้น
ที่ปรากฏในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดก็คือความรุนแรงในเมืองคดีอาชญากรรมที่เพิ่มมากขึ้น
ความระส่ำระสายทางการเมืองและสังคม และแม้ว่าจะไม่นับปัญหาที่กล่าว
นับเฉพาะปัญหาการว่างงานอย่างเดียวเท่านั้นก็เป็นค่าความเสียหายทางสังคมที่ใหญ่หลวงมากอยู่แล้ว
การตกงานก่อให้เกิดความหวั่นวิตกอย่างกว้างขวาง
แม้ในหมู่คนงานที่สามารถรักษางานของตนเองไว้ได้
ความรู้สึกที่ถูกกีดกันแบ่งแยกในวงกว้างในที่ทำงาน
สมาชิกในครอบครัวที่ยังคงมีงานทำก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เด็กๆ
ในครอบครัวที่เรียนหนังสือก็อาจต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยหาเงินเลี้ยงครอบครัว
ค่าความเสียหายทางสังคมที่ว่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องผ่านช่วงเวลาของการตกงานไปอีกยาวนาน
ยิ่งถ้าหากบริษัทรัฐวิสาหกิจถูกขายให้กับชาวต่างชาติค่าความเสียหายจากการตกงานจะรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้น
บริษัทเอกชนของคนในประเทศเดียวกันอาจจะมีความผูกผันห่วงใยเรื่องค่าความเสียหายทางสังคม
และจะลังเลใจในการปลดคนงานออกหากรู้ว่าออกไปแล้วคนงานเหล่านั้นจะหางานอื่นทำไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม
เจ้าของกิจการที่เป็นชาวต่างชาติมักจะมีความรู้สึกผูกพันต้องทำงานตอบแทนผู้ถือหุ้น
เพิ่มเพิ่มค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในสูงที่สุด
พวกเขาจึงต้องลดค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุน
มีความผูกพันน้อยมากกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า
"แรงงานส่วนเกิน"
การปรับโครงสร้างใหม่ให้กับรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องสำคัญ
และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็มักจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจนั้นได้
แต่การเคลื่อนย้ายคนงานจากงานที่ให้ประสิทธิผลน้อยในรัฐวิสาหกิจ
ออกไปสู่การตกงานจะมิได้ช่วยการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศชาติแต่อย่างใด
และมันก็มิได้เพิ่มสวัสดิการให้กับคนงานทั้งหลายแต่ประการใดเลย
บทเรียนที่ได้นั้นไม่ซับซ้อนอะไรเลย
และผมก็จะต้องกลับมาพูดเช่นนี้อยู่เป็นระยะๆ คือ :
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจจำจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ใหญ่กว่าละเอียดบริบูรณ์กว่า
ซึ่งจะต้องเป็นแผนการใหญ่ที่จะสร้างานเพิ่มขึ้นตามไปพร้อมกับการทำลายงานที่มักจะมาพร้อมกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
จำต้องมีนโยบายเศรษฐกิจแบบภาพกว้างที่ต้องสร้างงานเพิ่ม
และมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ
การหาจังหวะเวลาที่เหมาะสม
และการลำดับเวลาและวิสาหกิจเพื่อการแปรรูปเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องวิธีการของภาคการปฏิบัติเท่านั้น
หากแต่เป็นเรื่องของหลักการพื้นฐานโดยแท้
บางทีเรื่องที่ห่วงใยกันมากที่สุดเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจคือเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น
ซึ่งมักทำกันบ่อยมากเวลาจะแปรรูป
คำพูดของผู้ที่เชื่อในกลไกของตลาดก็ยืนยันย้ำว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะไปลดสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า
"การแสวงค่าเช่า"
(rent-seeking)
คือการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่คอยเก็บเกี่ยวรายได้ใต้โต๊ะจากผลกำไรของรัฐวิสาหกิจ
หรือไม่ก็จัดการให้สัญญาสัมปทานแก่เพื่อนของเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้น
แต่ในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจกลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปยิ่งกว่าเดิมครั้งที่ยังไม่แปรรูป
ทุกวันนี้ในหลายประเทศเรียกการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือ "privatization"
แบบติดตลกว่า
"briberization" (การแปรรูปการติดสินบนหรือแปรรูปการทุจริต)
ถ้ารัฐบาลคดโกง
ไม่มีหลักฐานใดๆ บอกว่าการแปรรูปจะช่วยแก้ปัญหาได้
เพราะรัฐบาลที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็เป็นรัฐบาลเดียวกันที่ทุจริตและแก้ปัญหาการบริหารรัฐวิสาหกิจที่ไร้ประสิทธิภาพไม่ได้
ประเทศแล้วประเทศเล่า
คนของรัฐบาลรู้ว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งเดียวหมายถึงการที่จะไม่ต้องมาจำกัดตัวเองให้คอยเก็บเกี่ยวใต้โต๊ะเป็นรายปี
โดยการขยายรัฐวิสาหกิจต่ำกว่าราคาตลาด
นักการเมืองทุจริตสามารถกอบโกยหุ้นมหาศาลให้กับตัวเอง
แทนที่จะปล่อยแบ่งให้กับนักการเมืองรุ่นถัดไป
หมายความว่านักการเมืองคดโกงเหล่านี้สามารถขโมยความมั่งคั่งจากการขายรัฐวิสากิจในวันนี้วันเดียวได้มหาศาลมากกว่าที่จะให้นักการเมืองสมัยหน้าเก็บกินในอนาคต
ไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่ากระบวนการทุจริตคดโกงในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจได้ออกแบบมาเอื้อประโยชน์ให้คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลได้กอบโกยผลประโยชน์สูงสุดให้กับตัวของรัฐมนตรีเอง
ไม่ใช่เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดเข้าคลังของชาติ
มิต้องไปพูดถึงเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจเลยให้เสียเวลา
ตามที่เราจะเห็นต่อไปในกรณีของรัสเซีย
ซึ่งถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญในเรื่องความเสียหายใหญ่หลวงจาก
"การแปรรูปทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ว่าจะเสียหายอย่างไรก็ตาม"
ผู้ที่สนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจบอกตัวเองให้เชื่ออย่างไร้เดียงสาว่าไม่ต้องไปห่วงเรื่องค่าความเสียหายที่กล่าวมานี้เพราะดูเหมือนในตำราจะบอกไว้ว่าทันทีที่มีการรับรองทรัพย์สินส่วนบุคคลชัดเจนแล้ว
เจ้าของกิจการรายใหม่จะต้องบริหารจัดการสินทรัพย์ใหม่ของตนให้มีประสิทธิภาพดีแน่นอนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ดังนั้น สถานการณ์จะดีขึ้นในระยะยาว
แม้ในระยะสั้นเฉพาะหน้าจะน่าเกลียดอย่างไรก็ตาม
เขาเหล่านั้นลืมไปว่าหากไม่มีโครงสร้างทางกฎหมายและสถาบันทางการตลาดรองรับที่เหมาะสม
เจ้าของกิจการใหม่อาจมีแรงจูงใจให้จำแนกทรัพย์สินทั้งหลายออกขายต่อทันทีแทนที่จะเอาไว้สร้างฐานการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อไปในระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ในรัสเซีย และในอีกหลายๆ ประเทศ
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ประสบผลสำเร็จในการเป็นพลังเพื่อสร้างการความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น
จริงๆ แล้วการแปรรูปรัฐวิสาหกิจก่อให้เกิดการตกต่ำ
และพิสูจน์ว่าเป็นมหันต์พลังในการทำลายสถาบันประชาธิปไตยและการตลาด |