การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป

 
แปรรูป กฟผ. ใครได้-ใครเสีย
นายคนดอย : 1
เมษายน 2547
จากเหตุการณ์การประท้วงต่อต้านการแปรรูปของพนักงาน กฟผ.ซึ่งได้กินเวลามาช้านานพอสมควรโดยที่รัฐบาลอ้างว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดีขึ้นเกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน ลดภาระหนี้สาธารณะ และความโปร่งใสตรวจสอบได้ด้วยวิธีนำเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเป็นผู้ตรวจสอบ

ส่วนพนักงาน กฟผ.ได้หยิบยกเอาเหตุผลที่ว่าเมื่อแปรรูปแล้วประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนโดยค่ากระแสไฟฟ้าจะสูงขึ้นอีกมาก (ประชาชนจะใช้ไฟฟ้าแพงขึ้น ) เรื่องประสิทธิภาพในการดำเนินการทุกวันนี้การบริหารงานด้านการดำเนินการจัดหาควบคุมและผลิตกระแสไฟฟ้าให้พอเพียงกับความต้องการใช้ภายในประเทศรวมถึงจ่ายให้กับประเทศเพื่อนบ้านใช้อีกด้วยในราคาที่เหมาะสม โดยเป็นที่ยอมรับของนาๆประเทศว่ามีประสิทธิภาพสูงอยู่ อันดับที่ 8 ของโลก เรื่องการบริหารงานที่ไม่คล่องตัวนั้นเนื่องจากรัฐฯได้ออกกฎระเบียบต่างๆมากมายมาควบคุมการบริหาร ทำให้การบริหารงานไม่คล่องตัวถ้ายกเลิกกฎระเบียบต่างๆเสียบ้างการบริหารงานก็จะเกิดความคล่องตัวขึ้นเองไม่ต้องเปลี่ยนเป็นบริษัทก็ได้ ส่วนเรื่องหนี้สาธารณะเมื่อเป็นบริษัทแล้วก็ไม่สามารถลดได้ หนี้ของ กฟผ.ที่มีอยู่รัฐฯก็ยังคงต้องรับอยู่อย่างเดิม (ข้อเขียนของคุณคณิน บุญสุวรรณ )ดังนั้นข้ออ้างของรัฐฯในการแปรรูป กฟผ. จึงไม่เป็นความจริง

แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไรที่รัฐบาลต้องการแปรรูป กฟผ.ถึงกับทำให้ท่าน นายกรัฐมนตรีออกอาการเช่นปัจจุบันนี้

ข้อเท็จจริงเมื่อแปรรูป กฟผ.แล้วใครได้ใครเสีย (ประโยชน์ )


ผู้ที่ได้รับประโยชน์
1 .
พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตทั้งหมด
เหตุผล ทันทีที่แปรรูปเป็นบริษัทพนักงานจะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีก 15 % ทุกระดับเงินเดือน สวัสดิการทุกอย่างที่มี ก็ยังได้อยู่ ( ตามคำยืนยันของรัฐฯ )และที่สำคัญทุกคนยังได้รับหุ้นที่นักเล่นหุ้นทั้งหลายต้องการและสามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำได้จากตลาดหลักทรัพย์
2.
ผู้ที่ได้รับหุ้นจากการจองซื้อจะเป็นใครก็แล้วแต่( จะเหมือนกับหุ้น ปตท.และทอท.หรือเปล่าไม่สามารถคาดเดาได้ )
เหตุผล ทันทีที่หุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ราคาจะถูกปั่นขึ้นไปเช่นเดียวกันกับ ปตท.ส่วนต่างของราคาในตลาดกับราคาจองซึ้อ ( IPO ) สามารถสร้างความร่ำรวยให้กับผู้ที่มีหุ้นอยู่ในมืออย่างมากมายในระยะเวลาอันสั้น
3.
กฟผ.
เหตุผล กฟผ.ขายหุ้นในราคา ( IPO ) กฟผ.จะได้เงินจากส่วนต่างของราคาพาร์ที่กำหนดไว้ 10 บาทต่อหุ้นเช่นขาย.ให้กับประชาชนทั่วไปราคา IPO 25 บาทต่อหุ้น กฟผ. ก็จะได้ 15 บาทต่อหุ้น ถ้าขายให้ประชาชนทั่วไป 10,000 ล้านหุ้น กฟผ.จะได้เงินไปลงทุน 150,000 ล้านบาทเป็นรายได้ครั้งเดียวครั้งแรกเท่านั้น( เมื่อเข้าตลาดแล้วราคาที่เพิ่มขึ้นมากเท่าไรก็จะเป็นของผู้ถือหุ้นรายนั้น รวมแล้วจะมีผู้ได้ประโยชน์กับการแปรรูปไม่เกิน 40,000 คนเท่านั้น )

ผู้ที่เสียประโยชน์
ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ
เหตุผล เนื่องจากปัจจุบัน กฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน ไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่รัฐจะต้องเป็นผู้ดำเนินการจัดหาและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างพอเพียง โดยผ่านทาง กฟผ.ในราคาที่ไม่แพง โดยให้ กฟผ.มีรายได้พอเลี้ยงตัวอยู่ได้ และมีกำไรสำหรับใช้ในการขยายกิจการ จัดหาและวางแผนการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และนำกำไรส่วนหนึ่งส่งเป็นรายได้ให้กับรัฐบาล โดยที่รัฐบาลได้สนับสนุนการดำเนินการในฐานะรัฐวิสาหกิจ ซึ่งได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีต่างๆที่รัฐเรียกเก็บจากบริษัทเอกชนทั่วไปเช่น
1. ภาษีโรงเรือน
2. ภาษีที่ดิน
3. ภาษีสินค้านำเข้าบางชนิด
4. ภาษีอื่นๆ
ดังนั้นการคิดค่ากระแสไฟฟ้าฐานที่จะขายให้กับการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าภูมิภาคเพื่อส่งต่อไปยังผู้ใช้ไฟรายย่อยจะคิดจากต้นทุนต่างๆดังนี้คือ
1. ค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิต ( ประมาณ 65 % ของค่าใช้จ่ายในการผลิตทั้งหมด )
2. ค่าดำเนินการ บริหารงาน
3. เงินเดือนพนักงาน
4. ดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ
5. ค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักร ( โรงไฟฟ้า )
6. กำไรจากผลประกอบการไม่เกิน 2 % ของทุนดำเนินการ ( ทรัพย์สิน )
เนื่องจากเป็นกิจการสาธารณูปโภคการคิดกำไรจากการประกอบการในปัจจุบันนี้อยู่ที่ไม่เกิน 2 % โดยอยู่
ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการกำกับดูแลที่แต่งตั้งโดยรัฐบาล ทั้งนี้ กฟผ.ไม่สามารถกำหนดค่าไฟฟ้าได้เองอย่างที่ประชาชนเข้าใจ ซึ่งปัจจุบันนี้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.30 บาทต่อหน่วยบวกกับค่า FT ( ค่ากระแสไฟฟ้าแปรผันที่มีการประชุมกำหนดโดยคณะกรรมการที่จัดตั้งโดยรัฐบาล )

เมื่อเปลี่ยนเป็นบริษัท ( มหาชน )
เมื่อรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีประเภทต่างๆเนื่องจากมีกฤษฎีกาว่าเป็นหน่วยงานของรัฐแต่เมื่อยกเลิกกฤษฎีกาแล้วจดทะเบียนเป็นบริษัท ก็มีสภาพเท่ากับบริษัทของเอกชนทั่วๆไปซึ่งจะต้องเสียภาษีทุกประเภทที่ได้รับการยกเว้นไว้แต่เดิมและแสวงหากำไรจากการประกอบการเพื่อที่จะนำไปให้กับผู้ถือหุ้น

ดังนั้นการคิดค่ากระแสไฟฟ้าฐานสำหรับขายให้ประชาชนจะต้องนำค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีทั้งหมดมาคิดเป็นต้นทุนแล้วบวกด้วยกำไรมาตรฐานที่บริษัทที่ปรึกษากำหนด ไม่ต่ำกว่า 9 % ( ตัวเลขจากบริษัทที่ปรึกษาที่รัฐบาลจ้างมา )จึงจะคุ้มการลงทุนของผู้ถือหุ้น

ปัจจัยที่นำมาคิดค่ากระแสไฟฟ้า (ต้นทุน )ประกอบด้วย
1. ค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิต ( ประมาณ 65 % ของค่าใช้จ่ายในการผลิตทั้งหมด )
2. ค่าดำเนินการ บริหารงาน
3. เงินเดือนพนักงาน
4. ดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ
5. ค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักร ( โรงไฟฟ้า )
6. กำไรจากผลประกอบการไม่ต่ำกว่า 9 % ของทุนดำเนินการ ( ทรัพย์สิน )
7. ภาษีโรงเรือน
8. ภาษีที่ดิน
9. ภาษีสินค้านำเข้าบางชนิด
10. ภาษีอื่นๆ
11. ค่าเช่าเขื่อน
12. ค่าธรรมเนียมในการใช้น้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า
13. ค่าใช้จ่ายอื่นๆเช่น
- ค่าปรับปรุงเครื่องจักรให้อยู่ในสภาพดีไม่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ( กฎหมายบังคับใช้เฉพาะเอกชนไม่บังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐ
- ค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษา
- ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเปลี่ยนแปรงอาคารที่ทำการที่มีอยู่ทั่วประเทศให้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพการทำงานตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับเอกชนทั่วไป
จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่นำมาคิดเป็นค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปนั้นเปลี่ยนไปจาก 6ปัจจัยหลักเพิ่มเป็น 13 ปัจจัยเพิ่มมาอีก 7 ปัจจัยซึ่งทั้งหมดนี้เป็นฐานในการคิดต้นทุนค่ากระแสทั้งนั้น

ดังนั้น ค่ากระแสไฟฟ้าหลังจากแปรรูปเป็นบริษัท กฟผ.แล้วถ้าคิดอย่างง่ายๆไม่ต้องซับซ้อนมากคือ

2.30 บาท (ค่าไฟฟ้าจากฐานเดิม) + ภาษีโรงเรือน + ภาษีที่ดิน + ภาษีสินค้านำเข้าบางชนิด + ภาษีอื่นๆ + ค่าเช่าเขื่อน + ค่าธรรมเนียมในการใช้น้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า + ค่าใช้จ่ายอื่นๆข้อ 13 + ค่าFT
= ค่ากระแสไฟฟ้าใหม่ที่ประชาชนต้องรับภาระ

จะเห็นได้ว่าค่ากระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทันทีที่ กฟผ.ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นบริษัท แต่รัฐบาลกลับบอกว่า ค่ากระแสไฟฟ้าจะไม่แพง

ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าพิจารณาเอาเองว่าสมควรที่แปรรูปจากรัฐวิสาหกิจไปเป็นบริษัทหรือไม่หรือยอมรับราคาค่ากระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ โปรดช่วยลงประชามติตัดสินใจในฐานะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

หมายเหตุ
ค่า FT คือค่ากระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลประกาศให้ราคาค่าเชื้อเพลิง(น้ำมันและก๊าซ)ลอยตัวให้เป็นไปตามราคาของตลาดโลก และการประกาศให้อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทกับสกุลเงินต่างประเทศลอยตัวทำให้ไม่สามารถกำหนดค่าใช้จ่ายในการผลิตจากปัจจัยเหล่านี้ได้แน่นอนได้จึงใช้ค่าประมาณการมาคิดค่าไฟฟ้าฐาน ส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นผลต่างจากค่าประมาณการเท่าไรจึงนำมาคิดเป็นค่าFTโดยจะคิดทุกๆ สี่เดือนโดยใช้ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาสี่เดือนที่ผ่านมาแล้ว.

นิทานก่อนอาหาร
เรื่องเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ที่โรงไฟฟ้าวังน้อย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมใช้ก๊าซธรรมชาติจากพม่าและอ่าวไทยซึ่งจัดส่งโดย ปตท. และน้ำมันดีเซล เป็นเชื้อเพลิง

เหตุเกิดจาก ปตท.ไม่สามารถส่งก๊าซธรรมชาติจากพม่ามาให้โรงไฟฟ้าได้และก๊าซจากอ่าวไทยก็มีไม่พอจะให้ใช้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานประมาณ 1 สัปดาห์ แต่เนื่องจากระบบมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากโรงไฟฟ้าจึงต้องใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าซึ่งมีต้นทุนราคาแพงมากกว่า 7 บาทต่อหน่วย แต่ต้องขายให้ กฟน. และ กฟภ. เพื่อที่จะจ่ายให้กับประชาชนใช้อย่างไม่ขาดแคลนในราคาไม่เกิน 2 บาทต่อหน่วย ขาดทุนกว่า 5 บาทต่อหน่วย

มีคำถามช่วยตอบด้วย ถ้าเป็นบริษัทเมื่อทำแล้วขาดทุน บริษัทจะทำอย่างนี้หรือไม่ คือทำทั้งๆ ที่ขาดทุน หรือไม่ทำปล่อยให้ไฟฟ้าดับ ?
 

1