นักวิชาการเตือนประเทศไทย
บทเรียนแปรรูปกิจการไฟฟ้าต่างประเทศ ไม่มีความมั่นคงระบบไฟฟ้าแก่ผู้บริโภค
ผู้ประกอบการเอากำไรผู้ถือหุ้นเป็นตัวตั้ง เผยตัวอย่างอเมริการะบบตรวจสอบเข้มแข็ง
กิจการไฟฟ้ายังล้มละลายได้ นายทุนโกยเงินออกนอกประเทศ นักลงทุนรายย่อยเจ๊ง
สุดท้ายรัฐต้องตัดงบประมาณสาธารณสุข การศึกษาเพื่อลงทุนกู้ระบบไฟฟ้า
นายศุภกิจ นันทวรการ นักวิจัยอิสระด้านพลังงาน สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
กล่าวถึงการแปรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)
ในปัจจุบันว่าต้องดูประสบการณ์บทเรียนการแปรรูปกิจการไฟฟ้าในต่างประเทศด้วย
โดยจากบทเรียนในประเทศจอร์เจีย และประเทศมอลโดวา ภายหลังการแปรรูป
บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้ามีวิธีการเก็บเงินจากผู้ที่ค้างจ่าย
แทนที่จะเป็นการตัดไฟเฉพาะจุด กลับตัดไฟในบริเวณนั้นทั้งหมด
วิธีนี้ได้รับคำชมจากธนาคารโลกว่าทำให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาหนี้สิน
นายศุภกิจ
กล่าวว่าจากตัวอย่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการแปรรูปกิจการไฟฟ้าไม่ได้ทำให้เกิดการมั่นคงของระบบไฟฟ้า
ผู้ลงทุนสนใจแต่กำไรเป็นที่ตั้ง
นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นสามารถการย้ายการลงทุนไปยังจุดที่ได้ผลตอบแทนดีกว่า
และเมื่อกิจการมีประสิทธิภาพในการผลิต การบริหารจัดการดีขึ้น
ผู้ประกอบการก็ไม่สนใจที่จะนำมาเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้บริโภค
เพราะต้องเก็บไว้ตอบแทนแก่นักลงทุน
นักวิจัย สวรส.กล่าวเสนอแนะว่าประเทศไทยจึงควรจัดตั้งองค์กรกำกับอิสระด้านการไฟฟ้าขึ้นมาทำงานก่อนที่จะแปรรูป
เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า เช่น สัญญาต่างๆ ที่มีการทำไว้
รายละเอียดในการคิดค่าไฟ
เพื่อชี้ให้เห็นว่าประโยชน์ที่รัฐและประชาชนจะได้รับหลังการแปรรูปเป็นอย่างไร
นางชื่นชม กรีนเซ่น นักวิจัยอิสระด้านพลังงานไฟฟ้า
กล่าวถึงประสบการณ์การแปรรูปกิจการสาธารณูปโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า
ที่รัฐแคลิฟลอเนีย สหรัฐอเมริกา
ภายหลังที่มีการปรับลดกฎระเบียบกิจการภาคพลังงานในปี 2541
ทำให้กิจการไฟฟ้าที่เป็นสาธารณูปโภคเปลี่ยนเป็นกิจการที่เน้นสร้างกำไรต่อผู้ลงทุน
โดยปี 2544
ผู้ลงทุนรายใหญ่แห่งหนึ่งไม่ลงทุนขยายการผลิตตามความต้องการที่สูงขึ้นทำให้ราคาค่าไฟสูงขึ้น
ขณะเดียวกันผู้บริหารของบริษัทอาศัยข้อมูลภายในทำการปั่นราคาหุ้นจนทำให้ตลาดหุ้นล้ม
ขณะที่นักลงทุนรายย่อยต้องขาดทุน
หลังจากนั้นรัฐแคลิฟลอเนียต้องตัดงบประมาณด้านการศึกษา และการสาธารณสุข
เพื่อมาลงทุนกู้ระบบไฟฟ้าของรัฐ
ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้นำมาซึ่งการบริหารงานอย่างโปร่งใส
ประชาชนได้ประโยชน์แต่อย่างใด
นางชื่นชมกล่าวว่าแม้ว่ารัฐบาลจะออกมายืนยันว่ามีการศึกษาระบบของประเทศอื่นมาแล้ว
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศจะไม่เกิดในประเทศไทย
อย่างไรก็ตามก็พบว่าบริษัทที่รัฐบาลจ้างมาเป็นที่ปรึกษาการแปรรูปนั้นไม่ได้มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรง
การศึกษาก็ไม่เป็นไปอย่างรอบด้าน
ดังนั้นจึงไม่อาจมั่นใจได้ว่าปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศภายหลังการแปรรูปจะไม่เกิดในประเทศไทย
เพราะขนาดอเมริกาได้ชื่อว่ามีระบบการตรวจสอบที่ดียังมีปัญหาได้
นายนพพร ลีปรีชานนท์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า
กรณีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับหรือ แบล็กเอาท์ เป็นเวลานานเมื่อเร็วๆ นี้ในยุโรป
และอเมริกา นั้นเกิดจากการที่ระบบสายส่งมีเอกชนเป็นเจ้าของ
และมีผู้ผลิตไฟฟ้าหลายรายต่างแยกกันขายไฟเข้าระบบสายส่ง จนระบบเกิดการโอเว่อร์โหลด
ไฟฟ้าจึงดับ
แต่กลายเป็นว่ารัฐบาลกลับฉวยโอกาสนี้ประกาศว่าเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนในต่างประเทศ
การแปรรูปจะต้องทำให้ กฟผ.เป็นผู้ควบคุมระบบสายส่งและการผลิต เท่ากับเป็นการแปรรูป
กฟผ. ทั้งองค์กร ให้เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเดียว ขณะเดียวกัน กฟผ.ก็เป็นผู้ผลิตด้วย
ทั้งนี้ตนทราบว่าภายหลังการแปรรูปแล้ว กฟผ.จะมีการแยกบัญชีระบบการผลิต
และระบบสายส่งอย่างชัดเจน หากในอนาคตความต้องการใช้ไฟสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
และต้องขยายระบบสายส่ง อาจทำให้บริษัท กฟผ
ไม่ลงทุนเพราะไม่สามารถย้ายเงินจากบัญชีหนึ่งไปอีกบัญชีหนึ่งได้
อีกทั้งระบบสายส่งจะต้องลงทุนสูง แต่มีรายได้น้อย ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
ก็จะส่งผลให้เกิดไฟดับ หรือระบบล่มได้ หรือหากลงทุนก็จะหาทางไปคิดเพิ่มค่าไฟ
ดังนั้นไม่ว่าจะลงทุนหรือไม่ลงทุนประชาชนผู้ใช้ไฟจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบ
นายนพพรกล่าวว่าในความเห็นตน การแปรรูปกฟผ.ควรที่จะแยกแปรรูปเฉพาะส่วนการผลิตไฟฟ้า
ส่วนระบบสายส่งควรเป็นของรัฐมีองค์กรขึ้นมาทำหน้าที่ดูแล
การฉวยโอกาสเหตุการณ์แบล็คเอาท์มาอ้างเพื่อให้เกิดการแปรรูป กฟผ.ทั้งองค์กรเป็นสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วย
เพราะนั่นเท่ากับเป็นการขายสมบัติของชาติ
|