การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป

 

แปรรูปการไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าจะแพงขึ้น

มติชน : 8 มีนาคม 2547

โดย ฝ่ายวิชาการ มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ


 

              ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ได้มีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟฟ้า จากเดิมที่อิงต้นทุน ภาระการใช้หนี้และเงินลงทุนในโครงการใหม่ มาเป็นการประกันผลตอบแทนการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น

          ซึ่งจากผลการศึกษาของกระทรวงพลังงานเอง การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟนี้จะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับระบบเดิม

 

          ความเกี่ยวเนื่องระหว่างค่าไฟฟ้าที่ได้ขยับขึ้นแล้ว และการเปลี่ยนสถานภาพของการไฟฟ้าจากองค์การของรัฐ เป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มุ่งผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุดต่อผู้ถือหุ้นนั้น มีพัฒนาการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ดังนี้

          1.ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2546 กระทรวงพลังงานได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา Boston Consulting Group (BCG) มาศึกษาเรื่องการเตรียมการนำการไฟฟ้าเข้าตลาดหุ้น จากผลการศึกษาในส่วนของอัตราค่าไฟฟ้า มีเนื้อหาหลักที่สรุปได้ดังนี้

 

          1)หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า ควรเปลี่ยนมาใช้ระบบที่อิงผลตอบแทนการลงทุน(Return - based) แทนระบบเดิมที่อิงความต้องการรายได้ (Cash - based) เพื่อให้เหมือนกับบริษัทในต่างประเทศ ซึ่งได้ผ่านการแปรรูปแล้ว และให้เป็นที่ดึงดูดแก่นักลงทุนที่สนใจซื้อหุ้น ถึงแม้ว่าระบบใหม่จะมีข้อเสียคือ ค่าไฟฟ้าจะแพงขึ้น

          2)ภายใต้ระบบที่อิงผลตอบแทน หลักเกณฑ์ที่นิยมใช้คือเกณฑ์การประกันผลตอบแทนการลงทุน(Return on Invested Capital : ROIC) ในต่างประเทศค่าเฉลี่ยของระดับ ROIC ของบริษัทในกิจการไฟฟ้าอยู่ที่ 4.2%

          3)ถึงแม้ค่าเฉลี่ยต่างประเทศอยู่ที่ 4.2% ที่ปรึกษา BCG กลับเสนอว่า ระดับ ROIC ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย คือ 9%

          4)เนื่องจาก ROIC ในปัจจุบันของ 3 การไฟฟ้าต่ำกว่า 9% หากนำเกณฑ์ ROIC เท่ากับ 9% มาใช้ทันที จะทำให้ค่าไฟฟ้าขึ้นอีก 4% จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

          2.วันที่ 9 ธันวาคม 2546 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการศึกษาของ BCG ซึ่งรวมถึงการใช้ผลตอบแทนการลงทุน(ROIC) เป็นหลักในการคิดค่าไฟเพื่อรองรับการแปรรูป

 

          3.เดือนมกราคม 2547 กฟผ.ทำการวิเคราะห์ฐานะทางการเงินขององค์กรพบว่า หากรัฐบาลไม่ขึ้นค่าไฟฟ้า ค่า ROIC ของ กฟผ. ในปี 2547 - 2551 จะอยู่ที่ระดับ 1 - 4%(ต่ำกว่าเป้า 9% อยู่มาก ซึ่งจะทำให้ไม่ดึงดูดต่อนักลงทุน)

 

          4.วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 รัฐบาลประกาศขึ้นค่า Ft 12.16 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 4.8% โดยอ้างว่าต้นทุนสูงขึ้นเพราะต้องใช้น้ำมันเตาแทนก๊าซจากแหล่งเยตะกุน ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง ทั้งๆ ที่ภาระดังกล่าวควรเป็นความรับผิดชอบของ ปตท.ในฐานะผู้จัดหาก๊าซ ไม่ควรจะตกมาถึงผู้ใช้ไฟ(ในทางกลับกันหาก กฟผ.ไม่สามารถรับก๊าซได้ตามสัญญา กฟผ.ต้องจ่ายค่า Take - of - Pay ให้ ปตท. แต่ในหน้าที่ ปตท.ส่งก๊าซไม่ได้ตามสัญญา ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับเป็นภาระของ กฟผ.และผู้ใช้ไฟ โดยปราศจากความรับผิดชอบ)

 

          5.วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 กฟผ.และ รมว.พลังงาน ออกมาเตือนว่า งวดต่อไปค่า Ft ต้องขึ้นอีก 5 สตางค์/หน่วย โดยอ้างสาเหตุว่าก๊าซไม่พออีกเช่นเคย

 

          ในช่วง 4-5 เดือนมานี้ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลมีความพยายามที่จะปรับแต่งตัวเลขอัตราค่าไฟฟ้าก่อนการแปรรูป ซึ่งมีผลต่อกำไรของ กฟผ.เพื่อให้เป็นที่ยอมรับแก่นักลงทุน ดังนั้น หากมีการแปลงสภาพ กฟผ.ค่าไฟฟ้าจะแพงขึ้นอย่างแน่นอน

          จากข้อเท็จจริงข้างต้น การที่รัฐบาลมักตอบคำถามเรื่อง การแปรรูปทำให้ค่าไฟแพงหรือไม่ว่า ค่าไฟฟ้าในอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับดูแลการไฟฟ้าที่จะจัดตั้งขึ้นนั้น ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏ มติ ครม.เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2546 ได้ระบุชัดเจนว่า กรอบการกำกับดูแลที่จะนำมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า คือเกณฑ์การประกันผลตอบแทนการลงทุน(ROIC)

          คณะกรรมการกำกับดูแลที่รัฐบาลจะจัดตั้งขึ้นคงทำได้ก็เพียงดำเนินการตามกรอบที่รัฐบาลได้วางแล้ว

          นอกจากนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวที่รัฐบาลมักกล่าวถึง ณ วันนี้ ยังไม่มีตัวตน ไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน และโดยโครงสร้างและที่มาแล้ว ยังไม่มีความเป็นอิสระจากการแทรกแซงทางการเมืองอีกด้วย

          ภายหลังจากที่มีเสียงคัดค้านการขึ้นค่าไฟฟ้าเพื่อรองรับการแปรรูปมากขึ้น ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานก็ได้ประกาศว่า ทางรัฐบาลจะหามาตรการตรึงค่าไฟเป็นเวลา 1 ปี นับจากการแปรรูป การตรึงค่าไฟนี้มีนัยสำคัญต่อผู้บริโภคอย่างไร

          สมมติฐานของการตรึงค่าไฟ คือไฟฟ้าขึ้นราคาเป็นการชั่วคราวเหมือนกรณีน้ำมัน ในความเป็นจริง ผลการวิเคราะห์ฐานะการเงินของ กฟผ.แสดงให้เห็นว่า หากไม่มีการขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เกณฑ์ผลตอบแทนการลงทุน(ROIC) ในปี 2547-2551 จะอยู่แค่เพียง 1-4% ไม่เป็นไปตามเป้า 9% ที่กำหนด สมมติฐานดังกล่าวจึงไม่สมเหตุสมผลกับแนวโน้มค่าไฟในความเป็นจริง

          ประสบการณ์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ภาระจากการตรึงค่าไฟฟ้าไม่ได้หายไปไหนหลังจากที่รัฐพยายามตรึงค่า Ft ในช่วง มิ.ย.46-ม.ค.47 ท้ายสุด ก็ไม่สามารถแทรกแซงได้อีก ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าพุ่งขึ้น 12 สตางค์/หน่วย หรือเกือบ 5% นอกจากนี้ ผลจากการตรึงค่า Ft ยังได้ก่อเกิดหนี้ค้างชำระอีกจำนวน 4,800 ล้านบาท เงินจำนวนนี้จะต้องทยอยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟภายใน 3 ปี

          บทเรียนจากการตรึงค่าไฟฟ้า คือภาระค่าไฟไม่ได้หายไปไหน จะช้าเร็วผู้ใช้ไฟฟ้าก็ต้องจ่ายอยู่ดี เพียงแต่อาจจะจ่ายในรูปค่า Ft ที่สูงขึ้น หรือเงินภาษีอุดหนุนค่าไฟที่รัฐต้องเจียดมาจากงบฯการศึกษา งบฯสาธารณสุข หรืออื่นๆ เท่านั้นเอง

          ทางออกหนึ่งที่รัฐบาลกำลังพิจารณาเพื่อแก้ปัญหาภาวะค่าไฟหนักอึ้ง คือมีการเสนอการจัดตั้งกองทุนไฟฟ้าจำนวน 60,000 ล้านบาท เพื่อให้บรรเทาผลกระทบค่าไฟ

          กองทุนนี้จะมีที่มาจากรายได้และเงินปันผลจากการแปรรูป กฟผ.และอาจมีเงินภาษีสมทบด้วยส่วนหนึ่ง มาตรการนี้ หากนำมาใช้จริง จะสะท้อนให้เห็นความจริงอันน่าสลดใจของการแปรรูป

          ในปัจจุบัน กฟผ.มีกำไรจากการดำเนินการสูงถึง 30,000 ล้านบาท/ปี ซึ่ง 35% ของเงินจำนวนนี้ส่งเข้าเป็นรายได้ของรัฐ แต่ในอนาคตภายหลังแปรรูปหากมีการดำเนินการตามข้อเสนอรัฐกลับต้องสูญเสียรายได้ประเทศจำนวนถึง 60,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการแปรสภาพ กฟผ.

          ทั้งๆ ที่การแปรรูปคือ การขายความเป็นเจ้าของกิจการรัฐส่วนหนึ่งให้เอกชน

1