"ระบบการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
สร้างผลกำไรอย่างมหาศาลให้กับเจ้าของโรงไฟฟ้าและนักการค้าพลังงาน"
"วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในมลรัฐแคลิฟอร์เนียร์
เป็นผลพวงของการดำเนินนโยบายที่ล้มเหลวของรัฐบาลและเป็นสิ่งที่คนอเมริกันจะไม่มีวันลืม"
การนำรัฐวิสาหกิจเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ย่อมหมายถึงการแปรเปลี่ยนจากวิสาหกิจสาธารณชนในนามของรัฐบาลเป็นเจ้าของ
ให้กลายเป็นการครอบครองของนายทุนเอกชนโดยตรง
ซึ่งการแปรเปลี่ยนจากบทบาทของวิสาหกิจในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนและสร้างความมั่นคงให้กับสังคม
ให้กลายมาเป็นธุรกิจแสวงหากำไรของนายทุนเอกชน
เพื่อประโยชน์ของนายทุนกผูกขาดที่เป็นคนส่วนน้อยในสังคม
โดยที่นายทุนเอกชนมักจะคำนึงถึงผลกำไรสูงสุดเป็นที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด
มากกว่าจะคำนึงถึงผลกระทบหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริโภคได้
รัฐบาลได้ใช้อำนาจสื่อเพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนคล้อยตามความเห็นของรัฐบาลในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ด้วยการให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว
และปกปิดข้อมูลที่เป็นผลกระทบด้านลบของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
นับเป็นสิ่งที่น่าใคร่ครวญเป็นอย่างยิ่ง
เพราะการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพินาศย่อยยับที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยและมีแต่ประชาชนผู้ยากไร้และคนส่วนใหญในสังคมเท่านั้นที่จะต้องแบกรับปัญหาด้านต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลังการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ด้วยเหตุนี้ "พิมพ์ไทย"
จึงขอนำเสนอข้อมูลที่รวบรวมขึ้นจากประสบการณ์อันเจ็บปวดของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
จากประเทศอื่นๆ มานำเสนอ
เป็นการเตือนสติสำหรับทุกท่านที่กำลังจะนำความเสียหายให้เกิดขึ้น
เพราะการโฆษณาชวนเชื่อเพียงด้านเดียวที่กำลังรีบเร่งในระยะนี้
นิวซีแลนด์
ประสบการณ์การแปรรูปกิจการพลังงานในนิวซีแลนด์
จัดได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความผิดหวังอย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในหมู่ประเทศที่เลือกแนวทางการเปิดเสรีและการแปรรูปกิจการพลังงานที่มีความสำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตของประชาชน
ในปี 2541
เกิดปรากฏการณ์ไฟดับบ่อยครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงพฤษภาคมทั่วเมืองโอ๊คแลนด์
ซึ่งเป็นศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจการค้าที่มีความสำคัญมากที่สุดของนิวซีแลนด์
สาเหตุของปัญหาไฟดับครั้งนี้เกิดจากความล้มเหลวของระบบพลังงานสำรอง
ส่งผลให้กิจการธุรกิจต่างๆ
ต้องหันมาใช้เครื่องปั่นไฟส่วนตัวเพื่อแก้ปัญหาหรือไม่ก็ต้องย้ายกิจการไปเมืองอื่น
เนื่องจากไม่สามารถทำการผลิตได้
คนงานในกิจการที่เผชิญปัญหาเหล่านี้ต้องหยุดงานอยู่บ้าน
บริษัทเมอคิวรี่ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ทำการผลิตไฟฟ้าในนิวซีแลนด์
ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินถึง 128 ล้านดอลล่าร์นิวซีแลนด์
ให้กับบริษัทธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไฟดับครั้งนี้
หลังจากนั้นในช่วงเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน
บริษัทเมอคิวรี่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทได้
เนื่องจากบริษัทกำลังเผชิญกับวิกฤติทางการเงิน โดยจากที่เคยมีกำไร 82.1
ล้านดอลล่าร์นิวซีแลนด์ ในปี 2540 พอถึงเดือนมีนาคม 2541
กลับเผชิญกับภาวะการขาดทุนถึง 25.3 ล้านดอลล่าร์นิวซีแลนด์
ภายหลังจากที่มีการสอบสวนถึงต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาไฟดับโดยคณะกรรมการที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้น
ก็พบว่า
ผู้บริหารและวิศวกรไฟฟ้าของเมอร์คิวรี่ทราบมาหลายปีแล้วถึงปัญหาความไม่มั่นคงของระบบไฟฟ้าสำรอง
ทว่าได้ละเลยที่จะหาทางออกต่อปัญหานี้เนื่องจากให้ความสำคัญกับกิจกรรมการซื้อขายของบริษัทมากเกินไป
ปัญหาไฟดับดังกล่าวเป็นเพียงแค่ปัญหาหนึ่งในหลายๆ
ปัญหาที่ประชาชนนิวซีแลนด์ต้องเผชิญหลังจากที่ประเทศเข้าสู่ยุคที่เรียกกันว่า การปรับโครงสร้าง
ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี 2527
และมีผลครอบคลุมไปยังกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทุกกิจการที่มีความสามารถในการสร้างกำไร
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง การปรับโครงสร้าง
ที่เกิดขึ้นในนิวซีแลนด์กับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ คือ การปรับโครงสร้าง
ในนิวซีแลนด์
ไม่ได้เป็นผลมาจากการบังคับขู่เข็ญของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
แต่เกิดจากกระบวนการหล่อหลอมความคิดทางอุดมการณ์เศรษฐกิจเสรีนิยมภายในพรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรคที่ครองเสียงข้างมากอยู่ในขณะนั้น
ในยุคดังกล่าว (ช่วง พ.ศ.2523)
พรรคแรงงานเปลี่ยนจากอุดมการณ์ประชาธิปไตยสังคมไปสู่เสรีนิยมแบบแธตเชอร์
และหลังจากปี 2533 เป็นต้นมา นิวซีแลนด์เดินตามระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม
โดยการเมืองอยู่ภายใต้แนวคิดแบบรัฐบาลอนุรักษ์นิยมที่มีอำนาจในการแทรกแซง
การแปรรูปกิจการพลังงานในนิวซีแลนด์เริ่มขึ้นเมื่อปี 2529
โดยรัฐบาลเปลี่ยนสถานภาพของรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าไปเป็นบริษัทอิเลคทริคคอร์ป
จากเดิมที่เป็นกิจการเดียว โดยรัฐเป็นเจ้าของไปเป็น 3 หน่วยงานแยกออกจากกัน
โดยแบ่งเป็น หน่วยที่ทำการผลิต (Generation), ระบบสายส่ง (Transmission)
และหน่วยที่ทำหน้าที่ในการจ่ายไฟ (Consumer Retail)
โดยมีเจตนาที่จะให้ทุกส่วนมีการดำเนินงานบนพื้นฐานของตลาดและการแข่งขัน
ในปี 2536 รัฐบาลได้ทำการแปลงทุนให้เป็นหุ้น โดยมีการแบ่งหุ้นขายให้กับประชาชน
และไม่นานหุ้นเหล่านั้นก็ตกอยู่ในมือของบรรษัทข้ามชาติเพียงไม่กี่กลุ่มที่เข้ามาควบคุมบริหารกิจการการไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
ขบวนการการต่อต้านการแปรรูปในนิวซีแลนด์ มีศูนย์กลางอยู่ที่ชุมชนท้องถิ่น
โดยองค์กรชาวบ้านได้ทำการกดดันเรียกร้องให้นักการเมืองระดับท้องถิ่นเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้กิจการเหล่านี้ตกอยู่ในมือของเอกชน
เทศบาลหลายแห่งก็ถูกกดดันอย่างหนักจากประชาชน
ซึ่งกฎหมายว่าด้วยการเปิดเสรีและการแปรรูปที่รัฐบาลออกมาก่อนหน้านี้
เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ชุมชนไม่สามารถยุติแผนการแปรรูปไว้ได้ อย่างไรก็ตาม
ในหลายพื้นที่ขบวนการชาวบ้านสามารถผลักดันให้รัฐบาลท้องถิ่นเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการไฟฟ้า
สหรัฐอเมริกา:
บทเรียนจากแคลิฟอร์เนียร์
สหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดว่าเป็นผู้นำของระบบเศรษฐกิจที่เน้นการเปิดเสรี
ก็ได้รับบทเรียนที่แสบเจ็บปวดจากการแปรรูปกิจการพลังงาน
ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนความเชื่อเดิมที่ว่าการเปิดเสรีและการแปรรูปกิจการไฟฟ้าจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน
ประชาชนในหลายมลรัฐรู้ถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี
พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาค่าไฟแพงขึ้นและการบริการที่แย่ลงโดยที่ไม่สามารถเรียกร้องกับใครได้
ในขณะที่บริษัทเหล่านี้ทำกำไรอย่างต่อเนื่อง
สำหรับที่แคลิฟอร์เนียร์ นับจากที่มีการแปรรูปกิจการไฟฟ้า
ได้เกิดปรากฏการณ์ของการลดการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยไม่มีการประกาศล่วงหน้า
รวมถึงปัญหาไฟดับติดต่อกันหลายครั้งในปี 2543 และ 2544
วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นที่แคลิฟอร์เนียร์
แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอำนาจของกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมพลังงาน
เมื่อเกิดวิกฤตพวกเขาใช้วิกฤตเป็นโอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากผู้บริโภค ธุรกิจ
และประชาชนผู้เสียภาษี สร้างรายได้เข้ากระเป๋าตัวเองเป็นเงินหลายพันล้านดอลล่าร์
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจถือได้ว่าเป็นผลพวงของการดำเนินนโยบายที่ล้มเหลวของรัฐบาลและเป็นสิ่งที่คนอเมริกันจะไม่มีวันลืม
การยกเลิกการควบคุมราคาไฟฟ้าของรัฐบาลหลังจากปี 2539
ทำให้บริษัทพลังงานทำการสร้างอุปทานลวง ประโคมข่าวปัญหาการขาดแคลนพลังงาน
ปั่นมูลค่าหุ้นของบริษัท เพื่อสร้างผลกำไรมหาศาลให้ตัวเอง
ในขณะเดียวกันผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวแคลิฟอร์เนียร์ภายหลังการแปรรูปกิจการไฟฟ้าที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี
2539 คือการที่พวกเขาต้องแบกภาระการจ่ายภาษีเพิ่ม โดยมีมูลค่ารวมถึง 71
พันล้านดอลล่าร์
เป็นที่ทรารบกันดีว่าเจ้าของโรงไฟฟ้าในแคลิฟอร์เนียร์สร้างเรื่องปิดโรงไฟฟ้าเพื่อสร้างแรงกดดันในด้านอุปทานซึ่งมีผลทำให้ราคาขายส่งถีบตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้หน่วยงานที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อกำกับดูแลการทำงานของบริษัทไฟฟ้าเอกชน
(California Independent System Operator)
ยังพบว่าบริษัทไฟฟ้าเอกชนรวมหัวกันขึ้นราคาไฟฟ้า โดยในเดือนธันวาคม 2543
ค่าไฟที่คิดเพิ่มมีมูลค่ารวมถึง 247 ล้านดอลล่าร์ และในเดือนมกราคม 2544
คิดเป็นเงินถึง 315 ล้านดอลล่าร์
เมื่อมองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าของสหรัฐจะเห็นได้ว่ามีการเริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่
20
โดยมีแนวคิดของการคุ้มครองผู้บริโภคจากการถูกเอารัดเอาเปรียบที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจแบบผูกขาดของบริษัทธุรกิจเอกชนที่เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าและระบบสายส่ง
ภายใต้ระบบนี้ซึ่งยังใช้อยู่ในหลายมลรัฐ
การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้า
มีผลดีในแง่ที่เป็นการรับรองผลกำไรที่แน่นอนของกิจการการไฟฟ้าและการรักษาเสถียรภาพของราคาค่าไฟ
รวมถึงความมั่นคงของอุปทานไฟฟ้า
สำหรับแนวคิดการแปรรูปในแคลิฟอร์เนียร์เกิดขึ้นในช่วงปี 2533
โดยเจ้าของกิจการอุตสาหกรรมการผลิตที่จัดเป็นผู้ใช้ไฟขนาดใหญ่ทำการเรียกร้องให้มีการแปรรูป
โดยหวังว่าจะทำให้พวกเขาสามารถเลือกซื้อไฟจากผู้ผลิตที่มีการแข่งขันกันได้ในราคาที่ถูกกว่าที่รัฐจัดสรรให้
เมื่อมีการแปรรูป กลไกตลาดและหลักการของอุปสงค์ อุปทานก็ถูกนำมาใช้
ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องยอมรับการขึ้นลงของราคาและปัญหาอุปทานขาดแคลนอย่างไม่มีทางเลือก
โรงไฟฟ้าซึ่งแต่ก่อนเป็นของรัฐถูกขายให้เอกชน
และระบบกินกำไรโดยการซื้อไฟในราคาขายส่งและขายให้กับผู้บริโภคในราคาปลีกที่แพงกว่า
นักการเมืองในขณะนั้นต่างพากันคาดการณ์กันอย่างง่ายๆ
ว่าจะมีบริษัทขายปลีกไฟฟ้าเอกชนเกิดขึ้นมากและในที่สุดพวกจะแข่งขันกันเอง
ซึ่งจะส่งผลให้ราคาไฟฟ้าถูกลง
ในขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาเรื่องกฎเกณฑ์การควบคุมบริษัทที่เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า
ถึงขั้นที่มลรัฐแคลิฟอร์เนียร์สูญเสียการควบคุมทั้งในด้านราคาขายส่ง
ซึ่งขณะนี้ถูกกำหนดโดยนักการตลาดในด้านพลังงาน ตลอดจนปริมาณการผลิตกระแสไฟฟ้า
นอกจากนี้กลายเป็นว่ามีเพียงไม่กี่บริษัทที่เข้ามาซื้อโรงไฟฟ้าภายหลังจากที่มีนโยบายการเปิดเสรีและการแปรรูป
ทำให้เกิดปัญหาการผูกขาด
สามารถควบคุมปริมาณการผลิตไฟฟ้าเพื่อดึงราคาไฟฟ้าให้สูงมากขึ้น
ระบบการแปรรูป สร้างผลกำไรอย่างมหาศาลให้กับเจ้าของโรงไฟฟ้าและนักการค้าพลังงาน
และถึงแม้จะมีคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อดูแลในเรื่องพลังงาน (Federal Energy
Regulatory Commission) ซึ่งพวกเขามีอำนาจในการควบคุมราคาไฟขายส่งในแคลิฟอร์เนียร์
แต่คณะกรรมาธิการดังกล่าวกลับไม่ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทเอ็นรอนซึ่งในขณะนั้นเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานและเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในแคลิฟอร์เนียร์
เป็นบริษัทที่มีความสำคัญอันดับต้นๆในฐานะที่เป็นผู้ให้การอุดหนุนทางการเงินแก่ประธานาธิบดี
จอร์จ บุช
วิกฤตการณ์ไฟดับและราคาค่าไฟแพงที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียร์
ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักและหลายมลรัฐที่กำลังจะแปรรูปกิจการไฟฟ้า
ต่างก็หยุดเพื่อทำการทบทวนกันอีกครั้ง เช่น มลรัฐอาคันซอร์, เนวาดา
ซึ่งทำการหยุดแผนไว้ก่อนโดยไม่มีกำหนด มลรัฐนิวเม็กซิโก
ตัดสินใจเลื่อนการแปรรูปออกไปอีก 5 ปี และโอกลาโฮมาเลื่อนออกไปอีก 2 ปี
ที่สำคัญทั่วสหรัฐอเมริกาในขณะนี้
ประชาชนกำลังผลักดันนักการเมืองของพวกเขาให้หาแนวทางในการควบคุมดูแลกิจการการไฟฟ้าแทนที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของ
กลไกตลาด และการใช้อำนาจของกลุ่มทุนในอุตสาหกรรมพลังงาน
และยังมีการพูดกันมากขึ้นในเรื่องการหาพลังงานทางเลือกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ในขณะที่ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นที่แคลิฟอร์เนียร์มีการเปิดเผยและทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น
เมืองลอสแองเจลิส และเมืองอื่นๆ อีก 30
แห่งที่อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียร์สามารถรักษาตัวไว้ได้
โดยไม่มีปัญหาวิกฤตในด้านพลังงาน ทั้งนี้
กิจการไฟฟ้าของเมืองเหล่านี้มีการดำเนินงานโดยเทศบาล
ทำให้เกิดการเรียกร้องว่าให้เทศบาลเป็นผู้ดำเนินการในกิจการไฟฟ้า ที่ซานฟรานซิสโก,
นิวออร์ลีน, พอร์ตแลนด์ และเมืองใหญ่ๆ
โดยประชาชนทำการลงประชามติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
และหน่วยที่ทำหน้าที่จ่ายไฟไปยังประชาชนอยู่ในการบริหารดำเนินงานของรัฐ
นอกจากนี้ยังมีการรวมตัวเป็นกลุ่มพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วย
ประชาชนที่มีความห่วงใยในเรื่องนี้ นักเคลื่อนไหวในด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มผู้บริโภค
สหภาพแรงงาน กลุ่มชาวบ้าน และธุรกิจขนาดเล็ก มารวมตัวกันภายใต้ชื่อว่า "กลุ่มรณรงค์เพื่อประชาชน"
(Power to the People) ที่เรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบในเรื่องกิจการพลังงาน
รวมถึงการเรียกร้องให้มีการหาพลังงานทางเลือกที่สะอาดและราคาถูกที่ประชาชนคนยากจนสามารถแบกภาระค่าใช้จ่ายได้
|