การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป

แปรรูปรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้า : ความรุ่งเรืองหรือความพินาศ?
ำนักข่าวพิมพ์ไทย : 23 เมษายน 2547

โดย
สมยศ  พฤกษาเกษมสุข
พันธมิตรสหภาพแรงงานประชาธิปไตย


"ระบบการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ สร้างผลกำไรอย่างมหาศาลให้กับเจ้าของโรงไฟฟ้าและนักการค้าพลังงาน"

"วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในมลรัฐแคลิฟอร์เนียร์ เป็นผลพวงของการดำเนินนโยบายที่ล้มเหลวของรัฐบาลและเป็นสิ่งที่คนอเมริกันจะไม่มีวันลืม"


การนำรัฐวิสาหกิจเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ย่อมหมายถึงการแปรเปลี่ยนจากวิสาหกิจสาธารณชนในนามของรัฐบาลเป็นเจ้าของ ให้กลายเป็นการครอบครองของนายทุนเอกชนโดยตรง

ซึ่งการแปรเปลี่ยนจากบทบาทของวิสาหกิจในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนและสร้างความมั่นคงให้กับสังคม ให้กลายมาเป็นธุรกิจแสวงหากำไรของนายทุนเอกชน เพื่อประโยชน์ของนายทุนกผูกขาดที่เป็นคนส่วนน้อยในสังคม โดยที่นายทุนเอกชนมักจะคำนึงถึงผลกำไรสูงสุดเป็นที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด มากกว่าจะคำนึงถึงผลกระทบหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริโภคได้

รัฐบาลได้ใช้อำนาจสื่อเพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนคล้อยตามความเห็นของรัฐบาลในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ด้วยการให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว และปกปิดข้อมูลที่เป็นผลกระทบด้านลบของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ นับเป็นสิ่งที่น่าใคร่ครวญเป็นอย่างยิ่ง เพราะการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพินาศย่อยยับที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยและมีแต่ประชาชนผู้ยากไร้และคนส่วนใหญในสังคมเท่านั้นที่จะต้องแบกรับปัญหาด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลังการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

ด้วยเหตุนี้ "พิมพ์ไทย" จึงขอนำเสนอข้อมูลที่รวบรวมขึ้นจากประสบการณ์อันเจ็บปวดของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ จากประเทศอื่นๆ มานำเสนอ เป็นการเตือนสติสำหรับทุกท่านที่กำลังจะนำความเสียหายให้เกิดขึ้น เพราะการโฆษณาชวนเชื่อเพียงด้านเดียวที่กำลังรีบเร่งในระยะนี้

นิวซีแลนด์

ประสบการณ์การแปรรูปกิจการพลังงานในนิวซีแลนด์ จัดได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความผิดหวังอย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในหมู่ประเทศที่เลือกแนวทางการเปิดเสรีและการแปรรูปกิจการพลังงานที่มีความสำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตของประชาชน

ในปี 2541 เกิดปรากฏการณ์ไฟดับบ่อยครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงพฤษภาคมทั่วเมืองโอ๊คแลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจการค้าที่มีความสำคัญมากที่สุดของนิวซีแลนด์

สาเหตุของปัญหาไฟดับครั้งนี้เกิดจากความล้มเหลวของระบบพลังงานสำรอง ส่งผลให้กิจการธุรกิจต่างๆ ต้องหันมาใช้เครื่องปั่นไฟส่วนตัวเพื่อแก้ปัญหาหรือไม่ก็ต้องย้ายกิจการไปเมืองอื่น เนื่องจากไม่สามารถทำการผลิตได้ คนงานในกิจการที่เผชิญปัญหาเหล่านี้ต้องหยุดงานอยู่บ้าน

บริษัทเมอคิวรี่ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ทำการผลิตไฟฟ้าในนิวซีแลนด์ ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินถึง 128 ล้านดอลล่าร์นิวซีแลนด์ ให้กับบริษัทธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไฟดับครั้งนี้ หลังจากนั้นในช่วงเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน บริษัทเมอคิวรี่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทได้ เนื่องจากบริษัทกำลังเผชิญกับวิกฤติทางการเงิน โดยจากที่เคยมีกำไร 82.1 ล้านดอลล่าร์นิวซีแลนด์ ในปี 2540 พอถึงเดือนมีนาคม 2541 กลับเผชิญกับภาวะการขาดทุนถึง 25.3 ล้านดอลล่าร์นิวซีแลนด์

ภายหลังจากที่มีการสอบสวนถึงต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาไฟดับโดยคณะกรรมการที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้น ก็พบว่า ผู้บริหารและวิศวกรไฟฟ้าของเมอร์คิวรี่ทราบมาหลายปีแล้วถึงปัญหาความไม่มั่นคงของระบบไฟฟ้าสำรอง ทว่าได้ละเลยที่จะหาทางออกต่อปัญหานี้เนื่องจากให้ความสำคัญกับกิจกรรมการซื้อขายของบริษัทมากเกินไป

ปัญหาไฟดับดังกล่าวเป็นเพียงแค่ปัญหาหนึ่งในหลายๆ ปัญหาที่ประชาชนนิวซีแลนด์ต้องเผชิญหลังจากที่ประเทศเข้าสู่ยุคที่เรียกกันว่า ‘การปรับโครงสร้าง’ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี 2527 และมีผลครอบคลุมไปยังกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทุกกิจการที่มีความสามารถในการสร้างกำไร

สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง ‘การปรับโครงสร้าง’ ที่เกิดขึ้นในนิวซีแลนด์กับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ คือ ‘การปรับโครงสร้าง’ ในนิวซีแลนด์ ไม่ได้เป็นผลมาจากการบังคับขู่เข็ญของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ แต่เกิดจากกระบวนการหล่อหลอมความคิดทางอุดมการณ์เศรษฐกิจเสรีนิยมภายในพรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรคที่ครองเสียงข้างมากอยู่ในขณะนั้น

ในยุคดังกล่าว (ช่วง พ.ศ.2523) พรรคแรงงานเปลี่ยนจากอุดมการณ์ประชาธิปไตยสังคมไปสู่เสรีนิยมแบบแธตเชอร์ และหลังจากปี 2533 เป็นต้นมา นิวซีแลนด์เดินตามระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม โดยการเมืองอยู่ภายใต้แนวคิดแบบรัฐบาลอนุรักษ์นิยมที่มีอำนาจในการแทรกแซง

การแปรรูปกิจการพลังงานในนิวซีแลนด์เริ่มขึ้นเมื่อปี 2529 โดยรัฐบาลเปลี่ยนสถานภาพของรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าไปเป็นบริษัทอิเลคทริคคอร์ป จากเดิมที่เป็นกิจการเดียว โดยรัฐเป็นเจ้าของไปเป็น 3 หน่วยงานแยกออกจากกัน โดยแบ่งเป็น หน่วยที่ทำการผลิต (Generation), ระบบสายส่ง (Transmission) และหน่วยที่ทำหน้าที่ในการจ่ายไฟ (Consumer Retail) โดยมีเจตนาที่จะให้ทุกส่วนมีการดำเนินงานบนพื้นฐานของตลาดและการแข่งขัน

ในปี 2536 รัฐบาลได้ทำการแปลงทุนให้เป็นหุ้น โดยมีการแบ่งหุ้นขายให้กับประชาชน และไม่นานหุ้นเหล่านั้นก็ตกอยู่ในมือของบรรษัทข้ามชาติเพียงไม่กี่กลุ่มที่เข้ามาควบคุมบริหารกิจการการไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ

ขบวนการการต่อต้านการแปรรูปในนิวซีแลนด์ มีศูนย์กลางอยู่ที่ชุมชนท้องถิ่น โดยองค์กรชาวบ้านได้ทำการกดดันเรียกร้องให้นักการเมืองระดับท้องถิ่นเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้กิจการเหล่านี้ตกอยู่ในมือของเอกชน เทศบาลหลายแห่งก็ถูกกดดันอย่างหนักจากประชาชน ซึ่งกฎหมายว่าด้วยการเปิดเสรีและการแปรรูปที่รัฐบาลออกมาก่อนหน้านี้ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ชุมชนไม่สามารถยุติแผนการแปรรูปไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ในหลายพื้นที่ขบวนการชาวบ้านสามารถผลักดันให้รัฐบาลท้องถิ่นเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการไฟฟ้า

สหรัฐอเมริกา: บทเรียนจากแคลิฟอร์เนียร์

สหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดว่าเป็นผู้นำของระบบเศรษฐกิจที่เน้นการเปิดเสรี ก็ได้รับบทเรียนที่แสบเจ็บปวดจากการแปรรูปกิจการพลังงาน ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนความเชื่อเดิมที่ว่าการเปิดเสรีและการแปรรูปกิจการไฟฟ้าจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน

ประชาชนในหลายมลรัฐรู้ถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาค่าไฟแพงขึ้นและการบริการที่แย่ลงโดยที่ไม่สามารถเรียกร้องกับใครได้ ในขณะที่บริษัทเหล่านี้ทำกำไรอย่างต่อเนื่อง

สำหรับที่แคลิฟอร์เนียร์ นับจากที่มีการแปรรูปกิจการไฟฟ้า ได้เกิดปรากฏการณ์ของการลดการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยไม่มีการประกาศล่วงหน้า รวมถึงปัญหาไฟดับติดต่อกันหลายครั้งในปี 2543 และ 2544

วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นที่แคลิฟอร์เนียร์ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอำนาจของกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมพลังงาน เมื่อเกิดวิกฤตพวกเขาใช้วิกฤตเป็นโอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากผู้บริโภค ธุรกิจ และประชาชนผู้เสียภาษี สร้างรายได้เข้ากระเป๋าตัวเองเป็นเงินหลายพันล้านดอลล่าร์ สิ่งที่เกิดขึ้นอาจถือได้ว่าเป็นผลพวงของการดำเนินนโยบายที่ล้มเหลวของรัฐบาลและเป็นสิ่งที่คนอเมริกันจะไม่มีวันลืม

การยกเลิกการควบคุมราคาไฟฟ้าของรัฐบาลหลังจากปี 2539 ทำให้บริษัทพลังงานทำการสร้างอุปทานลวง ประโคมข่าวปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ปั่นมูลค่าหุ้นของบริษัท เพื่อสร้างผลกำไรมหาศาลให้ตัวเอง ในขณะเดียวกันผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวแคลิฟอร์เนียร์ภายหลังการแปรรูปกิจการไฟฟ้าที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2539 คือการที่พวกเขาต้องแบกภาระการจ่ายภาษีเพิ่ม โดยมีมูลค่ารวมถึง 71 พันล้านดอลล่าร์

เป็นที่ทรารบกันดีว่าเจ้าของโรงไฟฟ้าในแคลิฟอร์เนียร์สร้างเรื่องปิดโรงไฟฟ้าเพื่อสร้างแรงกดดันในด้านอุปทานซึ่งมีผลทำให้ราคาขายส่งถีบตัวสูงขึ้น นอกจากนี้หน่วยงานที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อกำกับดูแลการทำงานของบริษัทไฟฟ้าเอกชน (California Independent System Operator) ยังพบว่าบริษัทไฟฟ้าเอกชนรวมหัวกันขึ้นราคาไฟฟ้า โดยในเดือนธันวาคม 2543 ค่าไฟที่คิดเพิ่มมีมูลค่ารวมถึง 247 ล้านดอลล่าร์ และในเดือนมกราคม 2544 คิดเป็นเงินถึง 315 ล้านดอลล่าร์

เมื่อมองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าของสหรัฐจะเห็นได้ว่ามีการเริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีแนวคิดของการคุ้มครองผู้บริโภคจากการถูกเอารัดเอาเปรียบที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจแบบผูกขาดของบริษัทธุรกิจเอกชนที่เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าและระบบสายส่ง ภายใต้ระบบนี้ซึ่งยังใช้อยู่ในหลายมลรัฐ

การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้า มีผลดีในแง่ที่เป็นการรับรองผลกำไรที่แน่นอนของกิจการการไฟฟ้าและการรักษาเสถียรภาพของราคาค่าไฟ รวมถึงความมั่นคงของอุปทานไฟฟ้า สำหรับแนวคิดการแปรรูปในแคลิฟอร์เนียร์เกิดขึ้นในช่วงปี 2533 โดยเจ้าของกิจการอุตสาหกรรมการผลิตที่จัดเป็นผู้ใช้ไฟขนาดใหญ่ทำการเรียกร้องให้มีการแปรรูป โดยหวังว่าจะทำให้พวกเขาสามารถเลือกซื้อไฟจากผู้ผลิตที่มีการแข่งขันกันได้ในราคาที่ถูกกว่าที่รัฐจัดสรรให้

เมื่อมีการแปรรูป กลไกตลาดและหลักการของอุปสงค์ อุปทานก็ถูกนำมาใช้ ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องยอมรับการขึ้นลงของราคาและปัญหาอุปทานขาดแคลนอย่างไม่มีทางเลือก โรงไฟฟ้าซึ่งแต่ก่อนเป็นของรัฐถูกขายให้เอกชน และระบบกินกำไรโดยการซื้อไฟในราคาขายส่งและขายให้กับผู้บริโภคในราคาปลีกที่แพงกว่า นักการเมืองในขณะนั้นต่างพากันคาดการณ์กันอย่างง่ายๆ ว่าจะมีบริษัทขายปลีกไฟฟ้าเอกชนเกิดขึ้นมากและในที่สุดพวกจะแข่งขันกันเอง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาไฟฟ้าถูกลง

ในขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาเรื่องกฎเกณฑ์การควบคุมบริษัทที่เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า ถึงขั้นที่มลรัฐแคลิฟอร์เนียร์สูญเสียการควบคุมทั้งในด้านราคาขายส่ง ซึ่งขณะนี้ถูกกำหนดโดยนักการตลาดในด้านพลังงาน ตลอดจนปริมาณการผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้กลายเป็นว่ามีเพียงไม่กี่บริษัทที่เข้ามาซื้อโรงไฟฟ้าภายหลังจากที่มีนโยบายการเปิดเสรีและการแปรรูป ทำให้เกิดปัญหาการผูกขาด สามารถควบคุมปริมาณการผลิตไฟฟ้าเพื่อดึงราคาไฟฟ้าให้สูงมากขึ้น

ระบบการแปรรูป สร้างผลกำไรอย่างมหาศาลให้กับเจ้าของโรงไฟฟ้าและนักการค้าพลังงาน และถึงแม้จะมีคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อดูแลในเรื่องพลังงาน (Federal Energy Regulatory Commission) ซึ่งพวกเขามีอำนาจในการควบคุมราคาไฟขายส่งในแคลิฟอร์เนียร์ แต่คณะกรรมาธิการดังกล่าวกลับไม่ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทเอ็นรอนซึ่งในขณะนั้นเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานและเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในแคลิฟอร์เนียร์ เป็นบริษัทที่มีความสำคัญอันดับต้นๆในฐานะที่เป็นผู้ให้การอุดหนุนทางการเงินแก่ประธานาธิบดี จอร์จ บุช

วิกฤตการณ์ไฟดับและราคาค่าไฟแพงที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียร์ ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักและหลายมลรัฐที่กำลังจะแปรรูปกิจการไฟฟ้า ต่างก็หยุดเพื่อทำการทบทวนกันอีกครั้ง เช่น มลรัฐอาคันซอร์, เนวาดา ซึ่งทำการหยุดแผนไว้ก่อนโดยไม่มีกำหนด มลรัฐนิวเม็กซิโก ตัดสินใจเลื่อนการแปรรูปออกไปอีก 5 ปี และโอกลาโฮมาเลื่อนออกไปอีก 2 ปี

ที่สำคัญทั่วสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ ประชาชนกำลังผลักดันนักการเมืองของพวกเขาให้หาแนวทางในการควบคุมดูแลกิจการการไฟฟ้าแทนที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของ ‘กลไกตลาด’ และการใช้อำนาจของกลุ่มทุนในอุตสาหกรรมพลังงาน และยังมีการพูดกันมากขึ้นในเรื่องการหาพลังงานทางเลือกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

ในขณะที่ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นที่แคลิฟอร์เนียร์มีการเปิดเผยและทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น เมืองลอสแองเจลิส และเมืองอื่นๆ อีก 30 แห่งที่อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียร์สามารถรักษาตัวไว้ได้ โดยไม่มีปัญหาวิกฤตในด้านพลังงาน ทั้งนี้ กิจการไฟฟ้าของเมืองเหล่านี้มีการดำเนินงานโดยเทศบาล ทำให้เกิดการเรียกร้องว่าให้เทศบาลเป็นผู้ดำเนินการในกิจการไฟฟ้า ที่ซานฟรานซิสโก, นิวออร์ลีน, พอร์ตแลนด์ และเมืองใหญ่ๆ โดยประชาชนทำการลงประชามติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และหน่วยที่ทำหน้าที่จ่ายไฟไปยังประชาชนอยู่ในการบริหารดำเนินงานของรัฐ

นอกจากนี้ยังมีการรวมตัวเป็นกลุ่มพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วย ประชาชนที่มีความห่วงใยในเรื่องนี้ นักเคลื่อนไหวในด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มผู้บริโภค สหภาพแรงงาน กลุ่มชาวบ้าน และธุรกิจขนาดเล็ก มารวมตัวกันภายใต้ชื่อว่า "กลุ่มรณรงค์เพื่อประชาชน" (Power to the People) ที่เรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบในเรื่องกิจการพลังงาน รวมถึงการเรียกร้องให้มีการหาพลังงานทางเลือกที่สะอาดและราคาถูกที่ประชาชนคนยากจนสามารถแบกภาระค่าใช้จ่ายได้

1