|
|
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป |
บทเรียนการแปรรูปไฟฟ้าที่เป็นภัยแห่งอนาคต
โดย พิทยา ว่องกุล
การยืนกระต่ายขาเดียวและดื้อรั้นที่จะขายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ นั้น รัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังพยายามใช้ความเท็จกรอกหูประชาชนว่าไม่ได้แปรรูป แต่เป็นการเพิ่มทุนอีกต่อไป โดยอาศัยสื่อวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐ พร้อมกับมีมาตรการแข็งกร้าวจะเอาผิดกับพนักงานการไฟฟ้าฯ ที่ชุมนุมประท้วง ทำไมจึงเรียกว่าใช้ความเท็จกรอกหูประชาชน เหตุผลก็คือ ในร่าง "พระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2546 ระบุชัดแจ้งว่า "... บริษัท กฟผ. จำกัด ได้จัดตั้งขึ้น โดยการเปลี่ยนทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นหุ้นของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)" ความจริงการตีความจากพระราชกฤษฎีกา และหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท กฟผ.อย่างละเอียดแล้ว เราจะพบความจริงว่า รัฐบาลไม่ได้ขายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ให้เอกชนเลย หากแต่เป็นการยกสมบัติของชาติ สมบัติของประชาชนไทยให้บริษัทใหม่ทั้งหมด และบริษัทใหม่ก็จะอาศัยทุนจากประชาชนแสวงหากำไรสูงสุดขูดรีดประชาชน ด้วยราคาไฟฟ้าที่แพงขึ้นกว่าเดิม หรือดำเนินการเพิ่มทุนจากภาคเอกชนและต่างประเทศต่อไป นี่เป็นตรรกะแห่งความละโมบ 2 ชั้น คือ เอาทุนของประชาชนไปขูดรีดประชาชน ให้บริษัทมหาชนรวย ดังจะเห็นได้จากวัตถุประสงค์ข้อ 22 ของบริษัทใหม่ ได้แก่ "ประกอบธุรกิจและดำเนินการใดๆ เพื่อใช้ทรัพยากรบุคคล วัตถุดิบ วิทยาการ และทรัพย์สินของบริษัทเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด" ขณะที่ไฟฟ้าและน้ำประปาเป็นบริการที่จำเป็นต่อชีวิต มีลักษณะผูกขาด เมื่อผนวกเข้ากับปรัชญาแสวงหากำไรสูงสุดของบริษัทแล้ว ชะตากรรมจากการขึ้นราคาไฟฟ้าในอนาคตจึงเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น บทเรียนของประชาชนในหลายประเทศ ซึ่งประสบความเดือดร้อนจากการแปรรูปไฟฟ้าและน้ำประปามาแล้ว จะเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดว่า เมื่อเกิดปัญหาไฟฟ้าราคาแพง รัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไฟฟ้าของหลายประเทศ หลังแปรรูปเป็นบริษัทไปแล้ว มักขาดทุนอันเนื่องจากเป็นแหล่งผลประโยชน์มหาศาลที่นักการเมือง และพรรคพวกรุมทึ้งในตลาดหุ้น เป็นเกมของสงครามเศรษฐกิจในอุ้งมือนายทุนต่างชาติ และสัญญาที่ทำไว้เสียเปรียบ หรือเสียค่าโง่ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าอิสระต่างประเทศ การแปรรูปทางอ้อมหรือกระบวนการแห่งภัยพิบัติจากบริษัทไฟฟ้าอิสระ การศึกษาถึงแก่นแท้ของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจประเภทไฟฟ้าและน้ำประปาในประเทศกำลังพัฒนาจะพบว่า วัตถุประสงค์สำคัญยิ่งก็คือ การแปรบทบาทหน้าที่การผลิตไฟฟ้าของแต่ละชาติไปเป็นโรงไฟฟ้าอิสระ หรือบริษัทไฟฟ้าอิสระของต่างชาติ (บางประเทศมีทุนชาติร่วมด้วย) โดยรัฐบาลแต่ละประเทศ หรือบริษัทไฟฟ้าของแต่ละประเทศทำสัญญาเปิดทางให้บริษัทเอกชนหรือบรรษัทข้ามชาติเข้าร่วมทำการผลิต ร่วมทุน และขายไฟฟ้าให้ประชาชน หรือทำสัญญาขายกระแสไฟฟ้าผ่านบริษัทที่แปรรูปมาจากรัฐวิสาหกิจ เช่น บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ในอนาคต เป็นต้น ตัวอย่างเช่น ประเทศฟิลิปปินส์ มีผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ 42 บริษัท ในรัฐกุจราช (Gujarat) ประเทศอินเดีย มี 3 บริษัท สำหรับประเทศไทยก็มีบริษัทไฟฟ้าอิสระก่อนแล้ว ได้แก่บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (กฟผ.ได้ขายหุ้นให้เอกชนตามคำบัญชาของไอเอ็มเอฟ) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด บริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไตรเอนเนอจี จำกัด บริษัท บ่อวิน เพาเวอร์ จำกัด บริษัท อีสเทิร์น เพาเวอร์ จำกัด และผู้ผลิตรายเล็กอื่นๆ จะพบหลักฐานว่าประเทศกำลังพัฒนาทั้งในแอฟริกา อเมริกากลาง อเมริกาใต้ ยุโรป และเอเชีย รัฐบาลยินยอมให้บริษัทเอกชนเข้าไปผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1990 บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระข้ามชาติจำนวนมากมาจากประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรปอเมริกา ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระกำลังตักตวงผลประโยชน์ทั่วทุกมุมโลก ด้วยสัญญาที่ได้เปรียบ และประกันกำไรจากรัฐบาลประเทศต่างๆ "ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระนำเสนอทางเลือกที่ดึงดูดใจ และทึกทักกันว่าเป็นการดึงดูดการลงทุน เพื่อทดแทนภาครัฐที่กำลังจะล้มละลาย เป็นการยอมให้ภาคธุรกิจเอกชนเข้าไปมีบทบาท โดยไม่มีการปรับแก้กฎหมายให้ครอบคลุมถึงอนาคต และเงื่อนไขการทำงานยังอยู่ในรูปของสัญญาข้อตกลง ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระจึงถือเสมือนหนึ่งเป็นการเปิดเสรีและการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน" (Kate Bayliss, David Hall, 2002.) ความจริงนั้น รัฐบาลไทยได้พยายามแปรรูปกิจการด้านไฟฟ้ามาก่อนแล้ว ในรูปแบบของบริษัทไฟฟ้าอิสระดังกล่าว โดยลดบทบาทการผลิตของ กฟผ.ให้น้อยลง ทั้งปกปิดมิให้ประชาชนรับรู้ หรือเข้าใจเพียงว่า กฟผ.เปิดให้มีบริษัทอิสระผลิตไฟฟ้าป้อน อย่างไรก็ดี ทิศทางในอนาคต ไทยจะมีปริมาณบริษัทไฟฟ้าอิสระเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จาก คำพูด นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ย้ำเสมอว่า กฟผ.จะเล็กลง ทั้งมีหนี้สินมากจนไม่สามารถจะขยายกิจการได้ สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังจะเปิดเสรีการผลิตไฟฟ้าเพื่อให้บรรษัททุนข้ามชาติมาลงทุน และนายทุนประเทศที่สนใจจะมาลงทุนบริษัทไฟฟ้าอิสระมาก ได้แก่ อเมริกา เรื่องนี้อาจเกี่ยวพันกับการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกา-ไทย ซึ่งสหรัฐมักกำหนดสัญญาไว้ข้อหนึ่งว่า นายทุนอเมริกันจะต้องมีสิทธิ์ในการลงทุนด้านไฟฟ้าเสรี ดังได้กล่าวมาแล้ว นายทุนอเมริกันเฝ้ารอคอยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไทยมานาน เนื่องจากกระแสการคัดค้านไอเอ็มเอฟของนักวิชาการ และประชาชนสูงในช่วงก่อนหน้านี้เป็นอุปสรรคขัดขวาง แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ประเทศไทยได้ออกกฎหมายที่เรียกกันว่า กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ เร่งรัดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นธุรกิจเอกชน และทบทวนกฎหมายล้มละลายตามคำเรียกร้องของเจ้าหนี้ต่างชาติ ผู้แทนการค้าสหรัฐได้รายงานต่อสภาคองเกรสว่า "การที่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ และเร่งรัดการแปรรูปในภาคสาธารณะที่สำคัญ ได้แก่ พลังงาน การขนส่ง สาธารณูปโภค และการสื่อสาร ซึ่งจะเพิ่มพูนการแข่งขันและปลดปล่อยตลาดจากการควบคุม (ของรัฐ) ยิ่งขึ้น จะสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้แก่บริษัทของสหรัฐ" (Testimony of Ambassador Chariene Barshefsky, USTR, before the House Ways and Means Trade Subcommittee, US Congress, Feb.24, 1998) ปัญหาความพยายามของสหรัฐ องค์กรการเงินระหว่างประเทศ และประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้องการผลักดันให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจในประเทศกำลังพัฒนานั้น ปัจจุบันนักคิดนักวิชาการทั้งในยุโรปและเอเชีย ต่างวิจารณ์ว่า เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่สหรัฐและบรรษัททุนข้ามชาติ ซึ่งมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังธนาคารโลก องค์การค้าระหว่างประเทศ และไอเอ็มเอฟ วางแผนเพื่อทำลายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งเดิมมีอำนาจรัฐ ทรัพยากร และต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เศรษฐกิจขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความอุดมสมบูรณ์ของประเทศในเอเชีย มีหลายประเทศกำลังพัฒนาสู่สิ่งที่เรียกว่า ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (Newly Industrializing Countries-NICs) วอลเดน เบลโล นักวิชาการชื่อดังชาวฟิลิปปินส์ เสนอทัศนะว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลกระทบต่อประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างมาก หลังสงครามเย็นสงบ สหรัฐอเมริกาจึงเริ่มสั่งสอนประเทศที่เป็น "นิกส์" เพื่อประโยชน์ของบรรษัทธุรกิจของตน โดยผ่านกระบวนการเปิดเสรี ลดการควบคุม และแปรรูปกิจการของรัฐให้เป็นธุรกิจเอกชนมากขึ้น และประเทศพัฒนาแล้วในซีกโลกเหนือ ได้ใช้ธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ เป็นเครื่องมือสั่งสอนและครอบงำทำลายประเทศนิกส์ โดยอาศัยมาตรการที่เรียกว่า "การปรับโครงสร้าง (Structural Adjustment) หมายถึง วิธีการปล่อยเงินกู้แบบใหม่ในช่วงปีสุดท้ายที่แมคนามารา ชาวอเมริกาเป็นประธานธนาคารโลก ซึ่งเปลี่ยนแปลงการจัดสรรเงินกู้ที่เดิมให้สำหรับโครงการใดโครงการหนึ่ง มาเป็นหรือต้องถูกแทนที่ด้วย เงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้าง" โดยองค์กรการเงินระหว่างประเทศ (ธนาคารโลก, ไอเอ็มเอฟ ฯลฯ) จะให้เงินกู้สำหรับ "การปฏิรูป" ทั้งระบบเศรษฐกิจ หรือทั้งภาคหนึ่งภาคใดของเศรษฐกิจ ประเทศที่เป็นหนี้สิน เมื่อกู้เงินจากธนาคารโลกหรือไอเอ็มเอฟ จะต้องปรับโครงสร้างที่สำคัญ ได้แก่ ตัดลดรายจ่ายของรัฐลงอย่างมาก เปิดให้มีการนำเข้าเสรี ขจัดข้อจำกัดเกี่ยวกับการลงทุนของต่างชาติ แปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นธุรกิจเอกชน ยกเลิกการควบคุมทั้งปวง เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดสรรและใช้ทรัพยากรการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบันขบวนการนี้ได้บรรลุความสำเร็จไปหลายตอนแล้ว ประเทศนิกส์ก็กลายเป็นง่อยทางเศรษฐกิจไป (สรุปจาก Walden Bello, The Iron Cage, 1999) สำหรับไทย สิ่งที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กำลังดำเนินการ ได้แก่ ลดจำนวนข้าราชการด้วยการจ้างให้ออกก่อนเวลา การเปิดการค้าเสรีในภูมิภาคเอเชียกับอเมริกา ออสเตรเลีย และชิลี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็นการท่าอากาศยาน การสื่อสารแห่งประเทศไทย การบินไทย การไฟฟ้า แปรรูปการศึกษา และจะตามมาด้วยประปา ฯลฯ ล้วนเป็น การปรับโครงสร้าง ตามไอเอ็มเอฟ หรือธนาคารโลกทั้งสิ้น ในบรรดาการปรับโครงสร้างทั้งหมด หัวใจสำคัญของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การแปรรูปน้ำประปาและไฟฟ้าไปเป็นบริษัท จะนำไปสู่ความล่มสลายทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น รวมไปถึงการขึ้นราคาน้ำและไฟฟ้าที่ผูกขาดหลายครั้ง จะทำให้ประเทศพัฒนาต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพสูงมาก จนหมดสิ้นสภาพในการแข่งขันเสรีทางการค้าไปโดยปริยาย ดังนั้น เจตจำนงที่ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ และบรรษัททุนข้ามชาติต้องการอย่างยิ่งย่อมหลีกไม่พ้นการแปรรูปน้ำและไฟฟ้านั่นเอง เพราะผลที่ตามมาประเทศที่แปรรูปน้ำและไฟฟ้าจะต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจดักดาน และกลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจไปในที่สุด กระบวนการแปรรูปไฟฟ้า ขั้นตอนและหายนภัยแห่งอนาคต การแปรรูปไฟฟ้าของไทยที่รัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร กำลังดำเนินการ เมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับบรรดาประเทศในลาตินอเมริกา ยุโรปเหนือ แอฟริกา และเอเชีย จะพบขั้นตอนและกระบวนการแปรรูปมิได้แตกต่างไปจากประเทศกำลังพัฒนาอื่นเลย ดังต่อไปนี้ 1. แปรรูปการไฟฟ้าการผลิตของแต่ละประเทศเป็นบริษัทธุรกิจ เพื่อให้หลุดพ้นจากกฎหมายรัฐวิสาหกิจที่ให้ความสำคัญในการคุ้มครองกิจการของรัฐ และการบริการประชาชน เข้าสู่การดำเนินธุรกิจที่ค้ากำไรสูงสุด บริษัทที่จัดตั้งใหม่มีบทบาทหน้าที่ และอำนาจในเบ็ดเสร็จในตัวเองในการประกอบการการให้เช่า ซื้อขายทรัพย์สิน การบริหารจัดการ การร่วมทุน เพิ่มทุนในตลาดหุ้น สัมปทาน บางประเทศยังออกกฎหมายให้อำนาจและฐานะความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน รวมถึงสิทธิพิเศษเช่นเดียวกับรัฐวิสาหกิจ กฟผ.ที่เป็นบริษัทใหม่ในอนาคต จะทำหน้าที่รับซื้อไฟฟ้าส่วนหนึ่งจากบริษัทไฟฟ้าอิสระ ในราคาประกันกำไรไว้แล้วเป็นเวลานาน อีกทั้งการปรับการให้เงินกู้ขององค์กรการเงินระหว่างประเทศ เป็นการปรับโครงสร้าง รัฐบาลที่สมยอมกับต่างชาติ จึงไม่อาจคิดหาเงินกู้รูปแบบอื่นได้ 2. การเปิดโอกาสสนับสนุนบริษัทไฟฟ้าอิสระเข้าร่วมผลิต ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่งที่จะมีผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าสูงขึ้น และผูกขาดราคาไฟฟ้าในอนาคต เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องลงทุนในการสร้างเครื่องจักรหรือเขื่อน รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ขณะที่รัฐบาลไม่สามารถที่จะกู้เงินเป็นโครงการทีละมากๆจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศมาลงทุนได้เฉพาะกิจเช่นเดิม เพราะธนาคารโลกหรือไอเอ็มเอฟหันมาใช้การให้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้าง มาเป็นเครื่องมือบีบหรือเงื่อนไขบีบรัฐบาล จำเป็นต้องเปิดช่องให้บริษัทไฟฟ้าอิสระทำการผลิต หรือสร้างระบบผลิตไฟฟ้าเสรีของภาคเอกชนขึ้น ประเทศที่ไม่มีเงินลงทุนจำต้องยอมสยบต่อคำบงการของธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยินยอมกลายเป็นเบี้ยล่างแห่งการยึดครองทางเศรษฐกิจในอนาคต น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รมว.พลังงาน ได้เผยไต๋ออกมาจากการแถลงข่าว 19 มีนาคม ว่าช่วงที่ผ่านมา กฟผ.ผลิตไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ และต่อมาภาระการกู้เงินมีมาก หนี้สาธารณะก็สูง จึงต้องเปิดให้เอกชนเข้ามาผลิตร่วมด้วย ใน 10 ปีข้างหน้า กฟผ.ต้องการเงินลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 8% สูงถึง 400,000 ล้านบาท เพียงเพื่อรักษาสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าที่ระดับ 50% นี่เป็นคำพูดแบบสิ้นคิด แอบอ้างลอยๆ มิได้พิจารณาบนพื้นฐานที่เป็นจริง ว่าไฟฟ้ายังเหลือใช้ในประเทศไทย และมีกำไรอยู่ในปัจจุบัน หากใช้ฐานนี้วางโครงการ ย่อมจะเห็นทางออกในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาจากคำอ้างของ รมว.พลังงาน คงเห็นชัดเจนว่า อย่างไรก็ตามบริษัทไฟฟ้าอิสระจักต้องเข้ามาทำการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างแน่นอนอีก 50% ดัชนีตัวนี้ชี้วัดถึงอันตรายและภัยพิบัติของเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะบทเรียนจากหลายประเทศ เมื่อบริษัทไฟฟ้าอิสระของต่างชาติเข้ามา และเพิ่มปริมาณมากขึ้นระดับหนึ่ง ปริมาณที่เพิ่มจำนวนโรงไฟฟ้ามากขึ้นของบรรษัทต่างชาติจึงเป็นพลังในการต่อรอง และกำหนดราคาไฟฟ้าตามที่พวกเขาต้องการ รัฐบาลหรือคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเพื่อควบคุมดูแลค่าไฟฟ้า ย่อมจัดการอะไรไม่ได้ ดังเช่น นายกฯ ทักษิณ อวดอ้างหรือคิดฝัน อีกทั้งการเติบใหญ่ของบริษัทไฟฟ้าอิสระ (ต่างชาติ) จะนำไปสู่การผูกขาดไฟฟ้าและราคาสูง ผลจะทำให้ค่าครองชีพและสินค้าขึ้นราคาครั้งแล้วครั้งเล่า ชีวิตประชาชนยากจนเพิ่มขึ้นและนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจที่แก้ไขได้ยาก เช่น อาร์เจนตินา บราซิล อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ การแปรรูปไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ เปิดโอกาสให้โรงไฟฟ้าอิสระ 42 รายลงทุนทำการผลิตป้อนบริษัทไฟฟ้าแห่งชาติ (Napocor) ซึ่งจะคล้าย บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ในอนาคต ในสัญญาที่ให้ไว้ในสมัยประธานาธิบดีรามอส กับบริษัทไฟฟ้าอิสระ ทำให้เกิดปัญหาบริษัทไฟฟ้าอิสระได้สูบเลือดจาก Napocor เพราะค่าใช้จ่ายการผลิตไฟฟ้าของบริษัทไฟฟ้าอิสระในปี ค.ศ.1996 เฉลี่ย 76 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ MWh เมื่อเปรียบเทียบกับสาธารณูปโภคของรัฐที่มีค่าใช้จ่ายเพียง 57 ดอลลาร์ ดังนั้น Napocor ต้องจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระไปถึง 51,000 ล้านเปโซ ในระหว่างปี 1999 ซึ่งเท่ากับ 60% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของ Napocor ซึ่งในที่สุด นาโปคอร์ก็ต้องกู้ต่างประเทศ 12,000 ล้านเปโซ เพื่อจ่ายให้แก่ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ สาเหตุเนื่องจากรายได้ Napocor ไม่พอเพียง ในอินโดนีเซีย ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ ทำให้บริษัทกิจการไฟฟ้าสาธารณูปโภคของรัฐ (PLN) ประกาศผลการดำเนินงานที่ขาดทุนเพิ่มขึ้น 12 เท่าในครึ่งปีแรกของ ค.ศ.2000 การขาดทุนนี้เกิดขึ้นในขณะรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากรายได้ช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะปัญหาค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งแกร่ง (แต่รูเปียห์ผันผวนอ่อนค่า) เป็นสาเหตุหลักของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการผลิตของบริษัทไฟฟ้าอิสระ ฝ่ายบริษัท PLN ต้องซื้อไฟในราคาเฉลี่ย 5.5 เซนต์ (ดอลลาร์สหรัฐ) หรือประมาณ 453 รูเปียห์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ขณะที่ขายให้กับประชาชนที่ราคาเฉลี่ย 250 รูเปียห์ บริษัท PLN ต้องแบกหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในสาธารณรัฐโดมินิกัน เมื่อไฟฟ้าขึ้นราคา 51% จากสาเหตุการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ผลทำให้ผู้บริโภคต้องทนทุกข์แสนสาหัส และธุรกิจการขายส่งทางตอนเหนือประเทศต้องระงับการจ่ายค่าไฟฟ้าเพื่อคัดค้าน แต่เมื่อบริษัทอิสระดับไฟเป็นเวลากว่า 20 ชั่วโมง ในที่สุดรัฐบาลโดมินิกันก็ต้องเจรจาดูดซับเอาค่าไฟที่บริษัทขึ้นไว้ 42% และให้ผู้บริโภครับผิดชอบแค่ 9% การจ่ายเงินชดเชยแทนนี้ รัฐบาลโดมินิกันต้องจ่ายเงินราว 5 ล้านดอลลาร์ทุกเดือน จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2543 การไฟฟ้าของรัฐ (CDE) มีหนี้สะสมที่ต้องจ่ายให้บริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนกว่า 135 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายหลังหนี้ค้างชำระสูงขึ้น ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ซึ่งผลิตไฟฟ้าเพียง 40% ของกระแสไฟฟ้าทั้งประเทศ) ก็ตัดไฟฟ้า สถานการณ์ไม่มีไฟฟ้าใช้นานถึง 24 ชั่วโมง ส่งผลให้ธุรกิจ โรงเรียน และโรงพยาบาลกระเทือนอย่างหนัก (Kate Bayliss, David Hall, รายงานของ PSIRU เรื่องผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ : บทเรียนการแปรรูป, 2002) นี่เป็นเพียงบทเรียนเพียงน้อยนิดจากตัวอย่างบางประเทศ ซึ่งเดินไปในวิถีการแปรรูปไฟฟ้าของชาติ โดยให้บทบาทการผลิตไปตกอยู่กับบริษัทไฟฟ้าอิสระที่เพิ่มปริมาณมากขึ้น ตามแนวคิดธุรกิจไฟฟ้าเสรีที่ธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟต้องการให้ประเทศกำลังพัฒนาปรับโครงสร้าง อันจะนำไปสู่หายนะของเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ จนรัฐบาลต้องเข้าไปแบกรับค่าไฟที่แพงขึ้นแทน เพราะหากรัฐบาลผลักราคาไฟฟ้าที่บริษัทอิสระกำหนดขายไปให้ประชาชนทั้งหมด การพังทลายทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้านก็จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีในประเทศนั้นๆ ทิศทางการแปรรูป กฟผ.ของไทย กำลังเดินไปตามสูตรเช่นนี้ คือรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะมุ่งไปเพิ่มบทบาทและอำนาจการผลิตแก่บริษัทไฟฟ้าอิสระถึง 50% ส่อชี้ให้เห็นเส้นทางที่เดินไปสู่หายนะหรือการขาดทุนของ กฟผ.ในอนาคต บทเรียนจากสาธารณรัฐโดมินิกันที่บริษัทไฟฟ้าอิสระมีกำลังผลิตแค่ 40% บริษัทก็กำรัฐบาลเอาไว้ในกำมือได้เรียบร้อยโรงเรียนนายทุนต่างชาติ คือบทเรียนที่อาจจะเกิดขึ้นในไทย |