การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป

 

เตือนภัยโรคไร้พรมแดน สูตรสำเร็จรูปที่นำไปสู่หายนะ : บทเรียนจากประเทศเม็กซิโก (จบ)
ไทยโพสต์ : 12 มกราคม 2547
โดย พิทยา  ว่องกุล


          การเตือนภัยเศรษฐกิจ โดยให้ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างไทยกับประเทศกลุ่มละตินอเมริกาบางประเทศ ซึ่งเคยประสบวิกฤติครั้งแรกและซ้ำเติมอีกในครั้งหลัง จากการศึกษาพบว่า หัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญก่อนที่ประเทศใดจะเผชิญกับความล้มละลายทางเศรษฐกิจ หรือเกิดวิกฤติซ้ำซากที่ยากจะเยียวยาได้นั้น จุดชี้ขาดของปัญหาได้แก่ ช่วงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ดีขึ้น ทำให้ประชาชนเกิดความลิงโลดดีใจ เกิดโลภะจริตจนลืมตัว นักเล่นหุ้นก็คิดถึงแต่ความหวังใหม่ที่จะกลับมาร่ำรวยอีกครั้งหนึ่ง จนขาดสติไตร่ตรองให้รอบคอบ มองมิเห็นว่า ความเจริญเติบโตนั้นมาจากภาคการผลิตจริง (Real Sector) หรือเป็นเศรษฐกิจแบบกาสิโน (Casino Economy) ในตลาดหุ้น อีกทั้งยังต้องพิจารณาเงื่อนไขเศรษฐกิจการเมืองอีกหลายด้าน รวมถึงกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้นมีฐานที่มั่นอะไร

          ผมไม่อยากให้เศรษฐกิจประเทศไทยเกิดวิกฤติครั้งที่ 2 จึงจำเป็นต้องเตือนประชาชนให้อยู่ในความไม่ประมาท ดังปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ที่ว่า "จงยังกิจที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด" แม้ว่านายทุนใหญ่หรือผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจะไม่ชอบใจ คิดจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็ตาม

          และผมจำเป็นต้องย้ำอีกว่า ไทยคงไม่สามารถแก้ไขจุดอ่อนแอทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่เปราะบางต่อการโจมตีจากต่างชาติ นั่นคือตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เลย หากอยู่ในระบอบเสรีนิยมใหม่ เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นที่รวมศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนทั้งภาคการผลิตจริง การขายบริการอนาคต และธุรกิจมายา ซึ่งเป็นโครงสร้างชั้นบนของเศรษฐกิจการเงินปัจจุบัน ดังนั้นเศรษฐกิจไทยทั้งระบบย่อมมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติได้ทุกเมื่อ หากนักลงทุนไทยและเทศมะรุมมะตุ้มเข้ามาปั่นกัน ยิ่งปั่นขึ้นสูงเท่าใด ยิ่งต้องระมัดระวังอันตรายมากขึ้นเท่านั้น

          แม้ว่ารัฐบาลไทย จะใช้มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งเรียกว่า ภาษีโทบิน (Tobin Tax) เป็นเครื่องมือสกัดการเคลื่อนย้ายเงินตราต่างประเทศ และการเก็งกำไรจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราระยะสั้น ด้วยการเก็บภาษีและตรวจสอบการเคลื่อนไหวของของนักเล่นหุ้นก็ตามที หากแต่เป็นมาตรการยับยั้งระยะสั้นเท่านั้น ยังมีปัญหาสำคัญอย่างอื่นที่จะต้องคำนึงถึงอยู่หลายประการ

          บทเรียนช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นในประเทศเม็กซิโก สมัยอดีตประธานาธิบดี คาร์ลอส ซาลินาส (Carlos Salinas) ควรที่นายทุนชาติไทยและประชาชนไทยพึงรับรู้อย่างยิ่งว่า ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในรัฐบาล Salinas คือการคอรัปชั่นทางการเงิน และการคอรัปชั่นทางนโยบาย โดยเฉพาะปัญหาการคอรัปชั่นทางนโยบายนั้น ประธานาธิบดีได้ใช้นโยบายเศรษฐกิจเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนที่สนับสนุนตนให้ร่ำรวยมหาศาล และขยายกิจการ หรือการเก็งกำไรในตลาดหุ้นขณะที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะเพิ่งฟื้นตัว รวมทั้งการซื้อขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ

          คริสโตเฟอร์ วาเลน (Christopher Whalen- Chief financial officer of Legal Research International) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการเงิน ที่มีฐานอยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. ให้สัมภาษณ์หนังสือ Multinational Monitor ฉบับเดือนเมษายน 1995 ความว่า รูปแบบเศรษฐกิจของเม็กซิโกถูกออกแบบมาเพื่อล่าเงินสกุลดอลลาร์ เพื่อกู้เงินดอลลาร์ ส่วนใหญ่ของเงินดอลลาร์นี้จะใช้ไปในการจ่ายค่าสิ่งอุปโภคบริโภคที่นำเข้า หรือถูกลอบเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศไปอีกครั้งหนึ่งโดยการคอรัปชั่น เช่น ประธานาธิบดี Carlos Salinas ไม่เคยมีธุรกิจเป็นชิ้นเป็นอันตลอดชีวิต มีเงินในบัญชีหลายพันล้านเหรียญหลังออกจากตำแหน่ง

          รูปแบบเศรษฐกิจเม็กซิกัน ทำให้เศรษฐกิจแบบตลาดการค้าเสรีเสียชื่อ นั่นคือเป็นรัฐที่ถูกแปลงเป็นบริษัทส่วนตัวของ Salinas เขาเปลี่ยนการผูกขาดในภาครัฐ (รัฐวิสาหกิจ) ไปเป็นกลุ่มเอกชนที่มีแก๊งของเขาดำเนินงาน ไม่ได้สร้างโอกาสการลงทุนเพิ่มขึ้น ไม่ได้เปิดตลาดให้มีการแข่งขันอย่างแท้จริง

          ประธานาธิบดีรับทรัพย์จากบรรดาผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและพรรคพวก โดยเฉพาะคาร์ลอส แฮ็งค์ กอนซาเลส (Carlos Hank Gonzalez) รัฐมนตรีคมนาคมผู้กว้างขวาง และคลุกคลีการเมืองมาถึง 40 ปี เคยเป็นเจ้าของสายการบินเม็กซิกัน ลูกชายเพิ่งซื้อกิจการธนาคาร Laredo National Bank เขามีทรัพย์สินที่เปิดเผยเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เช่น สายการบิน ไร่ขนาดใหญ่ เครื่องบิน ที่ดินทั่วโลก และบัญชีธนาคาร โดยไม่รวมบัญชีลับทั้งในและนอกประเทศ

          วาเลนเชื่อว่า ประธานาธิบดี Carlos Salinas เป็นนักฟอกเงินตัวใหญ่ที่สุดของเม็กซิโก เพราะฉะนั้นจึงเห็นรัฐบาลกดขี่ประชาชน ขโมยเสียงเลือกตั้ง ขาดความโปร่งใส ไม่มีกฎหมายที่ได้รับการปฏิบัติตาม (กมล กมลตระกูล (แปล), ทรราชย์การเงินโลก, 2543)

          สูตรสำเร็จรูปที่ 2 ของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ได้แก่ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นของเอกชน หรือขายทรัพย์สมบัติของประเทศของประชาชนไปให้เอกชน

          การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในเม็กซิโก แตกต่างกับประเทศไทยที่รัฐบาลดำเนินการเอง ส่วนเม็กซิโกนั้น ประธานาธิบดี Carlos Salinas มอบให้ธนาคารเพื่อการลงทุนอเมริกันชื่อ โกลด์แมน แซทส์ เป็นผู้จัดการเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากธนาคารนี้มีผลประโยชน์ในเม็กซิโกมหาศาล

          การแปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นประเภทโทรศัพท์ ไฟฟ้า ประปา รถไฟ การขนส่งมวลชน การบิน ฯลฯ เป็นที่มาของรายได้เข้ารัฐมหาศาล กระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี แต่การขึ้นราคาเพื่อกำไรทางธุรกิจแต่ละครั้ง กลับส่งผลกระทบที่นำไปสู่การเสื่อมเสียทางเศรษฐกิจมากมายกว่า โดยเฉพาะปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จากปัญหาปัจจัยพื้นฐานของชีวิตสูงขึ้น เช่น น้ำและไฟฟ้า กลายเป็นสินค้าที่แสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ ผลยิ่งทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนและทุกข์ยากเดือดร้อนยาวนานตลอดชีวิต ดังเช่นปัญหาที่สะสมและหมักหมมในละตินอเมริกา และเป็นส่วนสำคัญของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจซ้ำซากที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

          ประเทศเม็กซิโก การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในยุคประธานาธิบดี Carlos Salinas กลายเป็นกระบวนการจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์กันในกลุ่มธุรกิจที่สัมพันธ์กับรัฐบาล โดยการใช้อำนาจรัฐ กฎหมาย และนโยบายเศรษฐกิจเอื้อประโยชน์กันอย่างเต็มที่ เป็นเหตุให้เม็กซิโกมีมหาเศรษฐีติดอันดับโลกเพิ่มขึ้นจาก 2 เป็น 24 ทุกคนล้วนมีสายสัมพันธ์กับ Carlos Salinas ทั้งสิ้น และหลายคนรวยยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเข้าไปซื้ออุตสาหกรรมของรัฐเมื่อแปรรูปเป็นเอกชน ทรัพย์สินของผู้ที่รวยที่สุดเพียงคนเดียว รวมแล้วมากกว่ารายได้ต่อปีของคนที่จนที่สุด 17 ล้านคน ประชาชน 17 ล้านคนนี้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินวันละหนึ่งดอลลาร์

          การแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการยกเลิกการควบคุม นำไปสู่การกระจุกตัวของความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น คนรวยที่สุด 20% ได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ของชาติเพิ่มขึ้นจาก 48.4% เป็น 54.2% ในช่วงปี 1984 กับ 1992 ในขณะที่คนจนที่สุด 20% พบว่าส่วนแบ่งของตนลดลงจาก 5% เป็น 4.3%

          ผลกระทบที่สำคัญยิ่งคือ ระหว่างเดือนธันวาคม 1987 กับพฤษภาคม 1994 สินค้าพื้นฐานขึ้นราคาเกือบเป็น 3 เท่าของค่าแรงขั้นต่ำ และสถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกเมื่อเงินเปโซลดค่าลง (Equipo Pueblo, The Polarization of Mexican Society:A Grassroots Views of World Bank Economic Adjustment Policies,1994.- กมล กมลตระกูล แปล, อ้างแล้ว)

          การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามสูตรของลัทธิเสรีนิยมใหม่ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจตามองค์กรการเงินโลกและไอเอ็มเอฟ เพียง 2 ประการ ก็นำไปสู่แนวโน้มล้มละลายอย่างเห็นได้ชัด สัจธรรมได้พิสูจน์ว่า การเดินตามแนวปรัชญาลัทธิเสรีนิยมใหม่ยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้ทุนใหญ่กลืนกินทุนเล็กทั้งระดับชาติและระหว่างประเทศ สุดท้ายนายทุนชาติและประชาชนก็ต้องตกในวังวนวิกฤติเศรษฐกิจซ้ำซากแบบเม็กซิโก

          นับเป็นชะตากรรม นายทุนชาติไทย ทุนขนาดกลาง และรายย่อย รวมทั้งประชาชนไทย ซึ่งยังไม่คิดไม่รู้สึกตน ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อกลุ่มทุนใหญ่ในรัฐบาลเคลื่อนไหวจัดตั้งบริษัทต่างๆ ที่เชื่อมโยงเข้ากับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง กอปรกับนายทุนบางคนมีอำนาจรัฐในมือ และกำลังดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจขณะนี้ เพื่อใคร? และอะไรจะเกิดขึ้น จักบังเกิดสงครามน้ำเช่นโบลิเวียหรือไม่? ระบบนิเวศน์จะเสื่อมโทรม คนไทยไม่รดน้ำต้นไม้รอบบ้านเมื่อราคาน้ำแพงหรือไม่? คงต้องติดตามดูกันต่อไป

          บทเรียนจากประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจนเกินดุลการค้า และมีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้า จากความสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดย 1.การพยุงความต้องการทุนให้สูงอยู่ในประเทศ (buoyancy of demand) เช่น มีบริษัทต่างชาติต้องการลงทุนที่นั่น 2.การเปลี่ยนสภาพประเทศเป็นเวทีการส่งออกราคาถูกเช่นเดียวกับเม็กซิโก 3.การแปรรูปกิจการสาธารณะ เช่น บริการสาธารณะ (utilities) ประเภทรถเมล์ รถราง รถไฟ โทรศัพท์ ไฟฟ้า ประปา ซึ่งเดิมมีหลักประกันการไหลเข้าของรายได้อย่างมั่นคงตลอดเวลาของรัฐให้หมดสิ้นไป และ 4.การกู้ยืมจากตลาดการเงินระหว่างประเทศ อันจุดประกายความหวังแก่ประชาชนอาร์เจนตินามาแล้ว เช่นเดียวกับประเทศไทยตอนนี้ เพราะมันมีปฏิกิริยาด้านกลับ หรือผลกระทบด้านลบที่พร้อมจะเชือดเฉือนให้ล้มได้เช่นกัน

          ในเงื่อนไขแรก การพยุงความต้องการลงทุนจากต่างชาติให้สูงไว้ เป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง (nonexistent) โดยลักษณะทุนข้ามชาติ หรือทุนเก็งกำไรนั้น เป็นที่รู้กันว่าเป็นทุนไม่มีสัญชาติ แห่งใดมีผลประโยชน์ ลดต้นทุนการผลิตและทำกำไรสูง ย่อมไป ณ ที่แห่งนั้น ดังเช่นประสบการณ์ที่อาร์เจนตินาได้จมปลักแห่งความยากลำบากตลอดทั้งทศวรรษ 1980 ในสภาพวิกฤติเศรษฐกิจด้วยเงินเฟ้อ ความเท่าเทียมกันระหว่างเปโซกับดอลลาร์นั้นลดแรงดึงดูดของประเทศ เช่น การเป็นเวทีการส่งออกลงไป (การแข็งตัวของเงินบาทก็เช่นกัน) ดังนั้น โครงการที่ใช้วิธีการทำให้เกิดเสถียรภาพ ที่ตั้งบนความเท่ากันของดอลลาร์-เปโซ จึงขึ้นอยู่กับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งหมายถึงการทำลายรายได้ของรัฐที่มีกำไรออกไป พร้อมกับทำลายฐานเศรษฐกิจที่จำเป็นต่อชีวิตประชาชน ในทำนองเดียวกันการแปรสินทรัพย์ให้เป็นทุนของไทย ก็คือการทำลายความมั่นคงในชีวิตประชาชนจากที่ดินและทรัพย์สิน ล่อเข้าสู่สนามแห่งความเสี่ยงที่ไม่มีอนาคตและไร้หลักยึด ส่วนการกู้ยืมยาวนานจากตลาดการเงินระหว่างประเทศ หมายถึงการตกเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจนั่นเอง

          อีกทั้งสูตรสำเร็จรูปว่าด้วยการเปิดการค้าเสรี หรือที่เรียกว่า นาฟต้า (NAFTA) ทำให้เม็กซิโกขาดดุลการค้าอย่างมหาศาล ประมาณ 23,000 ล้านดอลลาร์ในปี 1993 ส่งผลกระทบในการทำลายอุตสาหกรรมภายในประเทศส่วนใหญ่ให้ย่อยยับจนหมดสิ้น รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตด้านเกษตร และเกษตรกรที่มิอาจต่อสู้กับการไหลบ่าเข้ามาของสินค้าเกษตรราคาถูกได้

          นี่เป็นการประมวลภาพกว้างๆ เพื่อเตือนให้ประชาชนไทยเข้าใจถึงผลกระทบของการยึดมั่นในสูตรสำเร็จรูปของลัทธิเสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลไทยกำลังเดินตามรอยประเทศเม็กซิโก และเป็นผลสรุปเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจว่า มีแนวโน้มไปสู่ความล่มสลายได้ทุกเมื่อ หากยังคิดอยู่ในกรอบและปรัชญาเดิม

1