|
|
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป |
เตือนภัยโรคไร้พรมแดน
สูตรสำเร็จรูปที่นำไปสู่หายนะ : บทเรียนจากประเทศเม็กซิโก
(1)
ไทยโพสต์ :
5
มกราคม 2547
โดย พิทยา ว่องกุล
สวัสดีปีใหม่กันอย่างชื่นมื่น ฟุ่มเฟือย และลิงโลดใจ ท่ามกลางประกายความหวังทางเศรษฐกิจที่เลอเลิศในระบอบทักษิโณมิกส์ ซึ่งรัฐบาลปลุกระดมอย่างหวือหวาและสร้างภาพขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า นี่คือเศรษฐกิจที่มั่นคง คาดว่าปี 46 จะขยายตัวถึง 6% และในปีหน้าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตรา 8% หรืออาจสูงถึง 10% ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังตะหงิดๆ ใจว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศดูดีขึ้น แค่ดูจากธุรกิจขนาดใหญ่และตลาดหุ้นขยายตัว แต่ทำไมชีวิตเกษตรกรส่วนใหญ่และผู้ใช้แรงงานเต็มไปด้วยหนี้สินเพิ่มขึ้น ของกินของใช้แพงขึ้น อะไรคือสองด้านของความขัดแย้ง ภาพลวงตาหรือการสร้างภาพ? สำหรับปัญหานี้ถ้าหากผมไม่มีโอกาสได้ศึกษาข้อมูลบางประการ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา โบลิเวีย บราซิล และเม็กซิโก ผมคงจะยอมรับฝีมือและการคิดใหม่ถึงอนาคต (Rethinking The Future) ของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร จนอาจเลิกสงสัยว่า ท่านเป็นแค่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ หรือรัฐบาลกลุ่มทุนข้ามชาติที่มีเจตนาแฝงเร้นทางธุรกิจ คิดใหม่ทำใหม่เพื่อความมั่งคั่งทางธุรกิจของกลุ่มตน ขณะติดตามข่าวและทบทวนวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาในรอบปี ผมรู้สึกเสียววูบ สามัญสำนึกบางประการบอกว่า ภัยแห่งเศรษฐกิจกำลังแฝงตัวอยู่ภายใต้นโยบายที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่นี้อย่างรุนแรง มันเป็นการคิดใหม่ทำใหม่ในสูตรสำเร็จรูป หรือแท้จริงเป็น "สูตรสำเร็จรูป" ของกระแสโลกาภิวัตน์ และยังเป็นสูตรสำเร็จรูปและฐานคิดขององค์การการค้าโลก (WTO) ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งทำให้ประเทศละตินอเมริกาพังทลายมาแล้ว ปัจจุบันประเทศเหล่านั้นกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจแบบซ้ำซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะนี้ประเทศไทยก็เดินตามแนวทางนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดวิกฤติเลวร้ายซ้ำสองในอนาคตจึงปฏิเสธไม่ได้ เพื่อที่จะชี้ให้เห็นต้นตอความพังพินาศด้านเศรษฐกิจ ซึ่งไม่เป็นเพียงแค่ปัญหาใหญ่ทางโครงสร้างเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องปรัชญาหรือวิธีคิดลึกๆ ของรัฐบาลอีกด้วย ในที่นี้ผมขอพูดคร่าวๆ ถึงสิ่งที่รัฐบาลดำเนินเป็นนโยบายหลักทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ล้วนมีจิตวิญญาณแท้จริงหรือ ปรัชญาที่เปิดประตูรัฐชาติให้ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" อย่างเสรี ตามรอยเท้าอเมริกาและสถาบันการเงินโลก คำประกาศปลดแอกจากไอเอ็มเอฟ เป็นเพียงแค่ตัวเลขส่วนหนึ่งที่ใช้เงินชำระหนี้ แต่แนวคิดพฤติกรรมของรัฐบาลกลับยังคงยึดมั่นในปรัชญาหรือจิตวิญญาณเดิม เรื่องการค้าเสรีที่ไร้พรมแดนสุดตัว และเบื้องหลังรัฐบาลเป็นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนข้ามชาติ อยากผูกขาดเศรษฐกิจในประเทศเอาไว้โดยใช้อำนาจรัฐ และขยายกิจการออกไปครอบงำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน นโยบายเศรษฐกิจการเมืองของรัฐบาลทักษิณ อยู่ในกรอบทฤษฎีลัทธิเสรีนิยมใหม่ (Neo-liberalism) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) ลัทธิเสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย การลงทุนเสรีไร้พรมแดน ระบบการเงินเสรี และระบบการค้าเสรี (สุดขั้ว) 2) ลัทธิเสรีนิยมใหม่ทางการเมือง ได้แก่ การแปรรูปเป็นเอกชน (Privatization) การทำให้เป็นประชาธิปไตย (Democratize) ที่มุ่งหวังพัฒนาประชาธิปไตยให้เป็นแบบรวมศูนย์เบ็ดเสร็จของกลุ่มทุน โดยอ้างคำว่าเพื่อให้การเมืองนิ่ง ไม่มีคนคัดค้าน หรือปกครองแบบบริษัทประเทศไทย และแอบอ้างธรรมาภิบาล (Good Governance) ที่หลายประเทศใช้ดำเนินการคอรัปชั่นทางนโยบาย และคอรัปชั่นทางการเมือง นโยบายดังกล่าว ใช้เครื่องมือทันสมัยยุคโลกาภิวัตน์สนับสนุนอย่างเต็มที่ ได้แก่ สารสนเทศใหม่กับเทคโนโลยีการสื่อสาร (New Information and Communication Technology-NICT) วาทกรรม (Discourse) การโฆษณา ตลาดเสรี (Free Market) และการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน หรือแท้จริงคือการลงทุน (Investment) ซึ่งสร้างประโยชน์ต่อทุนขนาดใหญ่และทุนข้ามชาติ จะโดดเด่นกว่าประเทศละตินอเมริกาตรงที่รัฐบาล ดร.ทักษิณ มีความสามารถในการสร้างภาพประชานิยมหรือนโยบายประชานิยม ควบคู่กับระบบการบริหารแบบเจ้าของธุรกิจ (Chief Executive Officer) หรือซีอีโอที่สูงเยี่ยมกว่า ผมขออภัยท่านผู้อ่านที่ต้องอ้างศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะบอกที่มาที่ไปว่า บรรดาคำเหล่านี้เป็นกุญแจคำที่สำคัญของลัทธิเสรีนิยมใหม่ มีอรรถาธิบายและนัยซ่อนเร้นไว้มากมาย ทั้งหมดรวมกันเป็นหลักคิดของลัทธิเสรีนิยมใหม่ หรือลัทธิการปกครองหมู่บ้านโลก โดยกลุ่มทุนผูกขาดข้ามชาติในอนาคต และเพื่อจะย้ำว่า คิดใหม่ทำใหม่ของรัฐบาล ดร.ทักษิณ เมื่อวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งแล้ว นโยบายเศรษฐกิจทั้งหมดมีเป้าหมายและตกอยู่ในกรอบลัทธิเสรีนิยมใหม่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาล่มสลายทางเศรษฐกิจมาแล้ว ผมขอความกรุณาท่านจดจำคำสำคัญเหล่านี้เอาไว้ เพื่อจะได้มองเห็นกระบวนการพัฒนาและทิศทางประเทศไทยในระบอบทักษิณาธิปไตย ซึ่งผมจะนำเสนอเชิงเปรียบเทียบกับความล่มสลายทางเศรษฐกิจของเม็กซิโก ประเทศที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็น "แม่แบบของเศรษฐกิจ" ในช่วงปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ปลายปี 1980-1990 ยุคนั้น นโยบายใหม่ทั้งหมดของเม็กซิโกล้วนอยู่ในกรอบ "ลัทธิเสรีนิยมใหม่หรือโลกานุวัตน์" ภายใต้การสนับสนุนของธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ จนเม็กซิโกได้รับการเชิดชูยกย่องว่าเป็นกรณีที่ประสบผลสำเร็จ เช่นเดียวกับประเทศไทยในขณะนี้ อีกทั้งเมื่อนำความสำเร็จของเม็กซิโกไปขยายผลใช้ในประเทศละตินอเมริกา ปรากฏว่าอาร์เจนตินา บราซิล ชิลี ก็เกิดอาการพังทลาย เช่นเดียวกับเม็กซิโกที่เป็นแม่แบบในเวลาต่อมา หลักคิดของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยภาพรวมก็เป็นเช่นเดียวกับเม็กซิโก นั่นคือหลักคิดในลัทธิเสรีนิยมใหม่ ได้แก่ การเปิดเสรีทางการค้า การลงทุนเสรี และแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หลักการลงทุนเสรี ประเทศที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทุกประเทศ ล้วนใช้สูตรสำเร็จรูปแก้ไขปัญหาเหมือนกันหมด นั่นคือ การลงทุนเสรี การใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ การนำเสนอและแก้ไขกฎหมาย เพื่อเปิดช่องให้ทุนข้ามชาติเข้ามาลงทุนภายในประเทศได้สะดวก จะได้ผลิตสินค้าออกขายและประชาชนมีงานทำ แต่หารู้ไม่ว่า ทุนข้ามชาติที่เหนือกว่าจะเข้ามาใช้ทรัพยากรและแรงงานราคาถูก พร้อมกับเบียดขับยึดครองทุนในชาติที่อ่อนแอและมีหนี้สินเอาไว้ สำหรับปัญหานี้ ประเทศเม็กซิโกได้ใช้วิธีการแก้ไขเช่นเดียวกับไทยในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย และต่อเนื่องมาสู่ยุครัฐบาลทักษิณ ช่วงสำคัญนี้จะเห็นว่า ทุนชาติที่อ่อนแอจักเปลี่ยนเป็นของทุนข้ามชาติ หรือเปิดให้ต่างชาติเข้าร่วมทุนได้มากยิ่งขึ้น จากนั้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นรายได้เต็มของประเทศ ก็กลายเป็นส่วนแบ่งของบริษัททุนข้ามชาติ จีดีพีที่ใช้เป็นฐานวัดอัตราความเจริญเติบโตของรายได้มวลรวมของประชากร จึงเป็นเท็จ ยิ่งบริษัททุนข้ามชาติเข้ามาร่วมทุนสูงเท่าไหร่ จีดีพีที่เป็นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศยิ่งน้อยตามไปด้วย ภาพลวงตาทางเศรษฐกิจตัวนี้ คือสาเหตุแห่งการพังทลายแบบล้มครืนในรอบต่อไปอย่างฉับพลันของหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราความเจริญทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เพื่อแปรรูปสินค้าอุตสาหกรรมขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แล้วส่งออกต่างประเทศนั้น รายได้จริงๆ จากการส่งออกจะน้อยนิด ขณะภาพรวมแสดงว่ารายได้จากส่งออกมากมายมหาศาล รัฐบาล ดร.ทักษิณ ชอบอ้างรายได้จากการส่งออกคอมพิวเตอร์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนและเครื่องยนต์กลไก หากผู้ใดรู้จักประเมินตัวเลขส่งออกทั้งหมดอย่างจำแนกแยกแยะ ก็จะพบว่าตัวเลขนั้นเป็นภาพลวงตา และรายได้จริงไม่ได้สูงตามเลย ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการหักลบต้นทุนการนำวัสดุเข้าจากต่างประเทศ และการลงทุนของบริษัทข้ามชาติที่จะต้องได้รับส่วนแบ่งออกไปด้วย บทเรียนในประเทศเม็กซิโก ระหว่างปี 1990-1993 นักลงทุนต่างชาติแห่เข้ามาลงทุนอย่างหนัก จำนวนมากกว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ 2 ใน 3 เป็นแค่การลงทุนระยะสั้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามิใช่ภาคการผลิตจริง เรียกกันว่า เศรษฐกิจแบบกาสิโน (Casino Economy) ที่มีปัจจัยความเสี่ยงตลอดเวลา สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติแห่เข้ามาเม็กซิโกมาก เนื่องจากภาพอัตราความเจริญเติบโตของจีดีพีสูงขึ้นในอัตราเฉลี่ย 3.1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี (1988-1994) อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงจากเกือบ 145 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 6 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาอัตราดอกเบี้ยต่ำและเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอในสหรัฐ ดังนั้นนักเก็งกำไรจึงหาแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ใหม่ อีกทั้งเงินทุนที่เคยไหลออกจากเม็กซิโกในช่วงวิกฤติหนี้ปี 1980 ก็กลับเข้ามาเก็งกำไรจากตลาดหุ้นและตราสารอื่นๆ อีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลเม็กซิโกยุคนั้นก็เหมือนรัฐบาล ดร.ทักษิณยุคนี้ รัฐบาลไทยยิ่งโอ้อวดความสำเร็จลวงตามากเท่าไหร่ กองทุนการเงินข้ามชาติ นักเก็งกำไรข้ามชาติยิ่งให้ความสนใจมากเท่านั้น ตลาดหุ้นไทยจึงตกเป็นศูนย์รวมแห่งการเก็งกำไรมากขึ้น อัตราความเจริญเติบโตของจีดีพีที่ประโคมกันว่าสูงถึง 6.6% และตีปี๊บล่วงหน้าว่าอาจถึง 8% หรือ 10% จึงเป็นเหยื่อล่อใจให้อีแร้งนักเก็งกำไรเข้ามาทึ้ง ขณะที่ความจริงตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายตัวขึ้นจากการเข้ามาของนักลงทุนระยะสั้นที่แอบแฝงในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งแอบแฝงในบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ต่อจากนั้นบรรดาแมลงเม่าที่เป็นนักเล่นหุ้นไทยก็จะเข้ามาร่วมเสวนาด้วย มีความพยายามปั่นหุ้นของบริษัทต่างๆ ในประเทศ ครอบครัวนักธุรกิจการเมืองและต่างประเทศให้สูงขึ้น เศรษฐกิจกาสิโนจึงโตขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างผิดสังเกต ท่ามกลางความยินดีปรีดาของรัฐบาลและประชาชนไทยที่คิดว่าเป็นของจริง ปัญหาสำคัญก่อนวันแตกดับทางเศรษฐกิจยุครัฐบาลทักษิณ คือยิ่งโหมประโคมความสามารถตนเองเท่าไหร่ ตลาดหลักทรัพย์ไทยที่โตขึ้นจากเศรษฐกิจกาสิโน ก็ยิ่งเป็นศูนย์รวมการเข้าตีของทุนต่างชาติ และเสี่ยงอันตรายสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะโดยกลไกระบบทุนนิยม ที่ใดมีการรวมศูนย์เศรษฐกิจสูง ที่นั่นย่อมเป็นแหล่งแย่งชิงผลประโยชน์สูงตามไปด้วย โดยเฉพาะในยุคที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจไปทั่วโลก และนี่คือลางบอกเหตุถึงวันคืนแห่งการแตกสลายด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับประเทศเม็กซิโกในอดีต ซึ่งคนไทยควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง (โปรดติดตามตอนต่อไป) |