ข้อความที่ศาสตราจารย์โจเซฟ สติ๊กลิทซ์-อดีตประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีคลินตัน
อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก
และผู้ร่วมรับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี ค.ศ.2001-ฟันธงว่า PRIVATIZATION =
BRIBERIZATION หรือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นของเอกชน = การติดสินบาทคาดสินบน
มีดังต่อไปนี้
"บางทีข้อวิตกห่วงใยหนักหนาสาหัสที่สุดเกี่ยวกับไปรเวไถเซชั่นดังที่มักประพฤติปฏิบัติกันมาก็คือเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น
พวกคลั่งตลาดแสดงโวหารอวดอ้างว่าไปรเวไถเซชั่นจะช่วยลดทอนสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่าพฤติกรรม
"แสวงหาค่าเช่า" ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้มักฉกฉวยเอากำไรงามๆ
ไปจากรัฐวิสาหกิจหรือยกสัญญา สัมปทาน และตำแหน่งงานให้พรรคพวกเพื่อนฝูงลง
ทว่าความจริงกลับโอละพ่อกับที่คาดหวังไว้
ไปรเวไถเซชั่นกลับทำให้เรื่องเลวร้ายลงเสียจนกระทั่งในหลายประเทศ
ผู้คนพากันล้อเลียนว่าที่แท้ไปรเวไถเซชั่นเป็น "ไบรเบอไหรเซชั่น" ต่างหาก
ในกรณีที่รัฐบาลคอร์รัปชั่น
ก็มีหลักฐานน้อยเหลือเกินว่าไปรเวไถเซชั่นจะแก้ปัญหานั้นได้
เพราะถึงยังไงเจ้ารัฐบาลขี้ฉ้อตัวร้ายที่บริหารรัฐวิสาหกิจเสียจนเละเทะมาแล้วนั่นแหละที่จะเป็นผู้จัดการดูแลกระบวนการไปรเวไถซ์รัฐวิสาหกิจนั้นเองด้วย
เจ้าหน้าที่รัฐบาลประเทศแล้วประเทศเล่ามาถึงบางอ้อว่าไปรเวไถเซชั่นมันหมายความว่าพวกตนไม่จำต้องแค่ฉกฉวยเอากำไรจากรัฐวิสาหกิจเป็นรายปีอีกต่อไป
เพียงแต่บอกขายรัฐวิสาหกิจให้ต่ำกว่าราคาตลาดเสีย
พวกตนก็สามารถฉวยเอามูลค่าสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจก้อนโตเข้าตัว
แทนที่จะทิ้งมันไว้ให้ผู้มาดำรงตำแหน่งคนต่อๆ ไปถลุง
สรุปก็คือพวกเขาสามารถลงมือขโมยเสียตั้งแต่วันนี้
ซึ่งอะไรต่อมิอะไรตั้งมากมายก่อนที่มันจะถูกชุบมือเปิบโดยนักการเมืองในภายภาคหน้า
ฉะนั้น
จึงไม่น่าแปลกใจว่ากระบวนการโกงไปรเวไถเซชั่นถูกออกแบบมาให้เม็ดเงินถูกกอบโกยเข้ากระเป๋าบรรดารัฐมนตรีมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แทนที่จะเข้าคลังหลวง มิพักต้องพูดถึงประสิทธิภาพโดยรวมของระบบเศรษฐกิจให้เมื่อยปาก
ดังที่เราจะได้เห็นกันว่าประเทศรัสเซียเป็นกรณีศึกษาอันน่าตื่นตระหนกสุดขีดว่าปฏิบัติการ
"ไปรเวไถเซชั่นให้ได้ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร" นั้นมันเป็นภัยอย่างไร"
(อ้างจาก Joseph Stiglitz, Globalization and Its Discontents, 2545, หน้า 58)
ทำไมถึงต้อง "ไปรเวไถเซชั่นให้ได้ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร" ด้วยเล่า?
คำตอบน่าจะอยู่ที่เดิมพันมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ(ล้านซ้ำสองที)
ในสงครามข้ามทวีประหว่างบรรษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ทั้งหลายเช่น Enron, Southern,
Entergy เพื่อแย่งกันควบคุมครอบครองโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานของชาติต่างๆ
ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นก๊าซเชื้อเพลิง, น้ำประปา, โทรศัพท์, ไฟฟ้า ฯลฯ
หากไม่นับชิลีภายใต้เผด็จการตลาดเสรีของนายพลปิโนเช่ต์(ซึ่งพวกนักเศรษฐศาสตร์ "ชิคาโก
บอยส์" ตัดแบ่งการไฟฟ้าชิลีออกขายเป็นเสี่ยงๆ กลางคริสต์ทศวรรษที่ 1930)
สงครามแย่งชิงโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านไฟฟ้าของชาติก็เริ่มที่อังกฤษปลายสมัยรัฐบาลอนุรักษ์นิยมของนายกรัฐมนตรีนางมากาเร็ต
แธตเช่อร์ ในปี ค.ศ.1990
แต่ก่อนที่นางแธตเช่อร์จะทำอะไรแผลงๆ อย่างไปรเวไถซ์ไฟฟ้าได้
(ของพรรค์นี้มันมีลักษณะพิเศษเฉพาะของมัน ซึ่งชาวบ้านเขาไม่ไปรเวไถซ์กัน
แต่เรื่องนี้ขอเก็บไว้พูดข้างหน้า...) มันต้องมีนักเศรษฐศาสตร์คิดอะไรแผลงๆ
ทำนองนั้นออกมาก่อน ดังที่ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์
เจ้าตำรับลัทธิเศรษฐกิจที่พวกคลั่งตลาดแสนเกลียดเคยกล่าวว่า : "เสียงป่าวร้องอาละวาดโวยวายของผู้กุมอำนาจนั้นมักมีกำเนิดที่มาจากโน้ตย่อที่อีตาศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์คนใดคนหนึ่งซึ่งเขาลืมกันไปแล้วเขี่ยๆ
ทิ้งไว้"
ศาสตราจารย์ที่โลกลืมในกรณีนี้ได้แก่ ด๊อกเตอร์สตีเฟ่น ลิตเติ้ลไชลด์(Dr.Stephen
Littlechild) นักเศรษฐศาสตร์หนุ่มชาวอังกฤษผู้เรียนจบมหาวิทยาลัยเท็กซัสในอเมริกา
ในคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ด๊อกเตอร์ลิตเติ้ลไชลด์(ด๊อกเตอร์ทารก?)
ได้คิดค้นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แหกคอกนอกครูขึ้นมาเพื่อที่จะแทนที่รัฐวิสาหกิจด้านสาธารณูปโภคของอังกฤษด้วย...แอ่น
แอ๊น...ตลาดไฟฟ้าเสรี
นายหน้าคนกลางผู้นำทฤษฎีตลาดไฟฟ้าเสรีของด๊อกเตอร์ลิตเติ้ลไชลด์ไปเป่าเข้าหูนายกฯ
แธตเช่อร์คือนายจอห์น เว็คแฮม รัฐมนตรีพลังงาน(John Wakeham)
ผู้ต่อมาได้รับอวยยศเป็น ลอร์ดเว็คแฮม
เขานี่แหละที่อนุมัติให้สร้างโรงไฟฟ้า "พาณิชย์" แห่งแรกขึ้นในอังกฤษ ในปี ค.ศ.1990
และบริษัทที่เข้าครอบครองดำเนินการโรงไฟฟ้าเอกชนแห่งนี้ก็คือ...อะแฮ่ม...บริษัท
Enron ของอเมริกาซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1985 นั้นเอง
ผลกระทบของมติให้ไปรเวไถซ์ไฟฟ้าของรัฐมนตรีพลังงานเว็คแฮมส่งผลให้
1)
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติใดๆ
ของโลกที่บริษัทเอกชนเจ้าของโรงไฟฟ้าสามารถเรียกเก็บค่าไฟฟ้าจากผู้บริโภคได้ใน "ราคาตลาด"
หรือนัยหนึ่งในอัตราใดก็ได้เท่าที่ตลาดมีปัญญาจ่าย
และ 2) มันทำให้ Enron เปลี๊ยนไป๋
จากบริษัทเอกชนผู้ดำเนินกิจการเศรษฐกิจจริงด้านพลังงาน
เช่นวางท่อส่งเชื้อเพลิงในอเมริกา --->
กลายมาเป็นพ่อค้าไฟฟ้าเก็งกำไรข้ามชาติปลอดการกำกับควบคุมในเศรษฐกิจฟองสบู่
แน่นอน Enron ย่อมไม่ลืมบรรดาท่านผู้มีอุปการคุณ ฉะนั้น
หลังจากรัฐมนตรีเว็คแฮมช่วยเปิดบริสุทธิ์ไฟฟ้าแห่งชาติของอังกฤษให้ Enron ไม่นาน
Enron
ก็แต่งตั้งเขาให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการตรวจสอบควบคุมบัญชีของบริษัท
อดีตรัฐมนตรีพลังงานของอังกฤษผู้นี้ได้ค่าตอบแทนจากตำแหน่งกรรมการบริหาร Enron
เดือนละหนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐ แถมด้วยค่าบริการให้คำปรึกษาแก่บริษัทเป็นครั้งๆ
ไปอีกต่างหาก
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นขณะเว็คแฮมยังดำรงตำแหน่งเป็นลอร์ดมีสิทธิลงคะแนนเสียงในสภาขุนนางของอังกฤษด้วย
นี่เป็นตัวอย่างรูปธรรมของ PRIVATIZATION = BRIBERIZATION # 1 Conflict of Interest
หรือผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะ ฯพณฯ รัฐมนตรีผู้ตัดสินใจไปรเวไถซ์ไฟฟ้า
พอพ้นตำแหน่งไม่ทันไรก็ย้ายไปเป็นผู้บริหารรับประทานเงินเดือนปีละแสนสองหมื่นดอลฯ
จนปากมันแผล็บจากไอ้บริษัทที่ตัวเองไปรเวไถซ์ไฟฟ้าของชาติไปให้นั่นแหละ
หลังไปรเวไถซ์ไฟฟ้าชาติให้ Enron เสร็จเป็นรายแรก
รัฐมนตรีพลังงานเว็คแฮมยังผลักดันรัฐบาลแธตเช่อร์ต่อให้เทขายโรงไฟฟ้าทุกโรง
และสายส่งไฟฟ้าเข้าบ้านทุกสายแก่เอกชนให้หมด
ในที่สุดนายกฯแธตเช่อร์ก็ตัดสินใจทำความฝันของด๊อกเตอร์ทารกลิตเติ้ลไชลด์ให้เป็นจริง
โดยก่อตั้งตลาดไฟฟ้าเสรีอังกฤษ-เวลส์ขึ้นในนาม the England-Wales Power Pool
นี่เป็นบ่อนเปิดประมูลกิโลวัตต์ไฟฟ้าที่จะกำหนดราคาไฟฟ้าทั่วประเทศตามหลักตลาดเสรีในทางทฤษฎี
กล่าวคือ
-บ่อนจะเปิดให้บรรดาบริษัทเอกชนเจ้าของโรงไฟฟฟ้าทั้งหลายยื่นเสนอราคาไฟฟ้าที่ตนจะขายวันต่อวัน
-ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเหล่านั้นก็จะตัดราคากันเเองแหลกลาญ
เพื่อแย่งกันประมูลสิทธิในการขายไฟฟ้าที่ตนผลิตให้แก่ผู้บริโภคชาวอังกฤษ-เวลส์
-ด้วยการแข่งขันเสรีของผู้ผลิตไฟฟ้าหลายเจ้าาดังกล่าว
ผู้บริโภคไฟฟ้าก็จะได้ประโยชน์จากค่าไฟที่ต่ำลงในที่สุด...ไชโยโห่ฮิ้วววว
อันนั้นว่ากันตามทฤษฎีนะครับ
แต่ในทางปฏิบัติ
มิช้านาน "ตลาดไฟฟ้าเสรีอังกฤษ-เวลส์"
ก็โอละพ่อกลายเป็นบ่อนพนันที่ซึ่งนักเล่นไฟฟ้าเก็งกำไรทั้งหลายทุ่มเทเทคนิคฮั้วกันบิดเบือนฉวยใช้การประมูล
จนสามารถสูบดูดเงินในกระเป๋าผู้บริโภคไฟฟ้ามาเข้าตัวจนเกลี้ยงเกลา
เทคนิคอุบาทว์เหล่านี้ก็เช่น :
-ปิดเครื่องผลิตไฟฟ้าลงบางเครื่องเพื่อ &quoot;ซ่อมบำรุง"
ในช่วงปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าขึ้นสูงสุดของปี เช่นหน้าร้อนซะอย่างนั้นแหละ
เมื่อสร้างความขาดแคลนไฟฟ้าเทียมขึ้นในตลาดแล้ว
ก็ขึ้นราคาขายไฟฟ้าที่ตนผลิตเอากับผู้บริโภคซึ่งกำลังร้อนตับแทบแตก
เหงื่อไหลไคลย้อยเหนียวเหนอะหนะตัว หน้ามืดจะเป็นลมอยู่แล้ว
แบบมัดมือชกผู้บริโภคไม่มีทางเลือก แพงหูฉี่แค่ไหนก็ต้องซื้อไฟฟ้าใช้
ผู้ผลิตเอกชนก็ฟาดกำไรเหนาะๆ หน้าตาเฉยอย่างนั้นเอง
-ลูกไม้ "ฟอกเมกะวัตต์"
คือฮั้วกันขายไฟฟ้าที่ตนผลิตผ่านบริษัทคนกลางมือที่สามเพื่อให้บริษัทดังกล่าวมาบอกขายไฟฟ้านั้นกับตลาดอีกทีหนึ่งด้วยราคาที่ปั่นสูงขึ้นกว่าเดิมลิบลิ่ว
-ลูกไม้ "เด็กอ้วน" คือทำตัวเป็นคคนกลาง
ซื้อไฟฟ้าจากในตลาดแล้วไปบอกขายที่อื่นซึ่งให้ราคาสูงกว่า
เป็นต้น
ผลก็คือ...แหะๆ...ค่าไฟฟ้าพุ่งขึ้นแพงพรวดพราดและเงินทุนที่บรรดาบริษัทเจ้าของโรงไฟฟ้าลงไปก็งอกเงยเพิ่มมูลค่าในตลาดขึ้น
300-400 เปอร์เซ็นต์
แทบว่าจะในชั่วข้ามคืน
นายกฯแธตเช่อร์ไม่ถึงกับลืมด๊อกเตอร์ทารกเจ้าตำรับทฤษฎีตลาดไฟฟ้าเสรีของเรา
นางแต่งตั้งด๊อกเตอร์ลิตเติ้ลไชลด์ให้รับผิดชอบกำกับดูแลอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าเสรีที่สร้างขึ้นตามทฤษฎีของเขา
และภายหลังด๊อกเตอร์ลิตเติ้ลไชลด์พ้นตำแหน่งดังกล่าวในปี ค.ศ.1998 แล้ว
เขาก็ได้รับตำแหน่งสมนาคุณเป็นกรรมการบริษัทเล็กๆ พิลึกแห่งหนึ่งในเครือ Enron
ตัวอย่าง PRIVATIZATION = BRIBERIZATION # 2 Conflict of Interest
หรือผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะเจ้าหน้าที่กำกับดูแลตลาดไฟฟ้าเสรี
พอพ้นตำแหน่งไม่ทันไรก็ย้ายไปเป็นผู้บริหารรับประทานเงินเดือนจากบริษัทในเครืออุตสาหกรรมไฟฟ้าที่ตัวเองกำกับดูแลอยู่หยกๆ
นั่นแหละ!
อย่างไรก็ตาม ดูท่ากฎแห่งกรรมจะมีจริง
อานิสงส์จากคุณงามความสามารถของลอร์ดเว็ดแฮมในการตรวจสอบควบคุมบัญชี Enron
ปรากฏว่าในที่สุด Enron ก็มีอันเจ๊งกะบ๊งล้มละลายเลิกกิจการในปี ค.ศ.2001
เพราะคณะผู้บริหารตบแต่งบัญชี ปิดบังหนี้สิน เลี่ยงภาษี
ปั้นตัวเลขรายได้กำไรของบริษัทขึ้นเองนับพันล้านดอลลาร์ |