การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป

ทรรศนะขายรัฐ 'วิสาหกิจ' เพื่อใคร?

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2547

ไทยโพสต์

นายสัก กอแสงเรือง ส.ว.กรุงเทพมหานคร : นโยบายจริงๆ เราได้เปลี่ยนการไฟฟ้ามาหลายครั้งแล้ว แต่เปลี่ยนจากเอกชนมาเป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะแต่เดิมฝรั่งผลิตไฟขายในราคาแพง จึงมีการตั้งการไฟฟ้าหลายๆ อันรวมกัน และพัฒนามาเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เพื่อต้องการให้ประชาชนได้ใช้ไฟในราคาที่เป็นธรรมและไม่แพง ดังนั้นรัฐจึงทุ่มสิทธิประโยชน์เข้าไปทุกอย่าง ให้สิทธิพิเศษในการใช้ทรัพยากรของชาติของแผ่นดิน โดยการไฟฟ้ามีสิทธิพิเศษมากมายสามารถที่จะได้ที่ดินในราคาที่ไม่แพงไม่ใช่ราคาตลาดมาใช้สร้างโรงไฟฟ้า สร้างเขื่อน สร้างอ่างเก็บน้ำ สร้างสายส่งทั่วประเทศ บางส่วนก็ไปเอามาจากป่าสงวน อุทยาน ทำเป็นเขื่อน อ่างเก็บน้ำ หรือกันที่ดินของทหารมาใช้เพื่อประโยชน์ของการไฟฟ้า ซึ่งเป็นการใช้ทรัพย์สินที่เป็นทรัพยากรของชาติของแผ่นดินทั้งนั้น บางส่วนก็ไปเวนคืนในราคาที่ไม่เป็นธรรม บางส่วนก็ไปใช้สัมปทาน เช่น ที่เหมืองลิกไนต์ กระบี่ กับแม่เมาะ และยังได้สิทธิประโยชน์ในเรื่องของภาษี เช่น ภาษีบำรุงท้องที่ หรือภาษีโรงเรือน ภาษีศุลกากร ได้รับการยกเว้นมาตลอด ซึ่งมาเสียแค่เมื่อไม่นานมานี่เอง และไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉบับที่ได้รับการยกเว้น และกฎหมายแรงงานก็เข้าไปไม่ถึง

          ในสภาพของการใช้ทรัพย์สินของแผ่นดิน ก็มีกฎหมายบังคับว่าหากเป็นสาธารณะของแผ่นดินที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่สามารถจำหน่ายหรือจ่ายโอนได้ หากจะจำหน่ายจ่ายโอนก็ต้องอาศัยกฎหมาย ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกา การที่การไฟฟ้าได้รับสิทธิพิเศษในการเอาทรัพยากรซึ่งเป็นทรัพย์สินของประเทศชาติและประชาชนมาใช้นั้น ก็เพื่อประโยชน์ในการผลิตไฟมาให้ประชาชนใช้ในราคาถูก ดังนั้นหากว่ามีการแปรรูปมันก็จะขัดกับเจตนาดั้งเดิมของการอนุญาตให้ใช้ ทรัพยากรทั้งหลายที่เป็นของส่วนรวมของสาธารณะ ซึ่งเห็นว่าต้องมีการพิจารณาอย่างระมัดระวังด้วย

          ที่มาของกฎหมายแปรรูป หรือ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอยู่ในกลุ่มกฎหมาย 11 ฉบับ ไม่ได้เกิดขึ้นตามความจำเป็นของคนไทย เศรษฐกิจสังคมไทย แต่เกิดขึ้นตามความต้องการของเจ้าหนี้ต่างประเทศคือไอเอ็มเอฟ และเกิดขึ้นตามหนังสือแสดงเจตนาที่เราถูกบังคับให้ต้องทำ แอลโอไอ ซึ่งเราต้องดำเนินการตามเขา เช่น ต้องแปรรูป ต้องขายรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นกฎหมายที่เป็นที่มาของการแปรรูปมันก็ไม่ได้สะท้อนว่าเราจำเป็นต้องทำหรือไม่ หรือทำแล้วมันจะเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศชาติและประชาชนอย่างไร

          ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการออกกฎหมาย มันเป็นเรื่องของความจำเป็นที่รัฐบาลขณะนั้น เลือกที่จะใช้ทางนี้ ซึ่งเวลานั้นก็ยังมีอีกหลายทาง แต่เราไม่เลือกใช้ และเกิดปัญหาต่อเนื่องมาจนกระทั่งประชาชนได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก รัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้ามาก็เห็นทุกปัญหา และข้อเสียของกลุ่มกฎหมาย 11 ฉบับ จนยอมรับว่าจะมีการยกเลิก มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย 11 ฉบับ ซึ่งเป็นสัญญาประชาคมในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง และพอหลังเป็นรัฐบาลก็ยังยืนยันว่าจะมีการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย 11 ฉบับ ซึ่งเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีนายพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ เป็นประธาน และมีตัวแทนของหลายกลุ่มเข้าไปเป็นตัวแทน เพื่อปรับปรุงแก้ไข เป็นช่วงเดียวกับที่สถานการณ์เปลี่ยนไป หนี้ไอเอ็มเอฟเราก็ใช้แล้ว ดังนั้นบทบังคับที่จะต้องปฏิบัติตามไอแอลโอก็หายไป ซึ่งรัฐบาลเองก็ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามพันธะ คณะกรรมการได้สรุปว่าในส่วนที่เป็นรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับสาธานูปโภคพื้นฐานจะต้องกำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น และจะมีการแก้ไขยกเว้นบทบังคับของกฎหมายอีกหลายฉบับ รวมทั้ง พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจด้วย เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการป้องกันผลประโยชน์ของรัฐกับผลประโยชน์ของประชาชนในฐานะผู้บริโภค และผลประโยชน์ของประชาชนในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยด้วย

          ซึ่งหลักการของคณะกรรมการก็คือว่าให้มีการแปรรูปได้ แต่ว่าให้แยกกลุ่มรัฐวิสาหกิจออกเป็น 3 กลุ่ม ที่จะแปรรูป คือ บัญชีที่ 1 ประมาณ 34 รายการ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ประปา การทางพิเศษ การท่าเรือ ซึ่งเป็นสาธาณูปโภคขั้นพื้นฐาน ให้จัดรูปแบบเป็นบริษัทโดยรัฐจะต้องเข้าไปถือหุ้น 100% บัญชีที่ 2 รัฐวิสาหกิจที่รัฐจะต้องถือหุ้น 75% ขึ้นไป และให้เอกชนร่วมจัดการและถือหุ้นบางส่วน ซึ่งมีอยู่ 11 รายการ คือ การบินไทย การท่า เป็นต้น บัญชีที่ 3 ให้รัฐถือหุ้นน้อยกว่า 75% ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ขายทุน เช่น รสพ. ขนส่ง องค์การแบตเตอรี่ เป็นต้น เมื่อรายงานไปแล้วนายกรัฐมนตรีก็เซ็นเห็นชอบในหลักการที่คณะกรรมการชุดนี้เสนอ ซึ่งไม่เข้าใจว่าเมื่อเห็นชอบในหลักการแล้วทำไมจึงไม่มีการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการชุดนี้ กลับไปมีมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 17 ก.พ.เห็นชอบให้แปรรูป กฟผ. โดยจัดตั้งให้เป็นบริษัทมหาชน และเห็นชอบอนุมัติให้ขายหุ้นของกฟผ.แลกเปลี่ยนกับของราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะขายให้บริษัท บ้านปู

          ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีก็สั่งให้ยกเลิกการขายหุ้นให้กับบ้านปู โดยบอกว่าเกิดการขัดแย้งระหว่างผู้บริหารและพนักงาน และสงสัยในความโปร่งใส ซึ่งผมรู้สึกว่า หากขายหุ้นเมื่อสงสัยสามารถยกเลิกได้ แต่การแปรรูปที่คนตั้งคำถาม และสงสัยมากกว่านี้เยอะแยะ หากหลักการเดียวกันผมคิดว่ามันก็ควรจะยกเลิกได้ ดังนั้นในมติ ครม.วันเดียวกันมันก็ปฏิบัติ 2 ทาง โดยอธิบายเหตุผลไม่เป็นทางเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ข้อมูลข่าวสารออกมามันจึงไม่ตรงกัน เพราะเหตุผลมันอธิบายไม่ไปด้วยกัน การแปรรูปตาม พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ จะโอนไปทั้งสิทธิหน้าที่ต่างๆ รวมทั้งสินทรัพย์ต่างๆ ด้วย ภาระที่กระทรวงการคลังค้ำประกันให้กับรัฐวิสาหกิจ เมื่อแปรรูปไปค้ำประกันก็ติดไปด้วยกระทรวงการคลังก็ยังค้ำประกันอยู่ สิทธิประโยชน์ของการไฟฟ้าที่ได้ใช้ที่ราชพัสดุ ใช้ที่สาธารณของแผ่นดิน มันก็จะติดไปด้วย ดังนั้นบริษัทก็สามารถใช้ได้ด้วย สัมปทานก็ติดไปด้วย รวมทั้งสิทธิที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ปฏิบัติการกฎหมาย ไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้รับยกเว้นทั้งหลาย ก็จะถูกโอนไปยังบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเป็นบริษัทเอกชนด้วย

          ดังนั้นการจะแปรรูปควรที่จะต้องมีการพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบว่า หากเป็นเอกชน วัตถุประสงค์ของบริษัทเอกชน ซึ่งเป้าหมายสูงสุดคือกำไร กับรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเป็นกำไรสูงสุด ซึ่งมันคนละแบบ แต่สินทรัพย์และสิทธิประโยชน์ทั้งหลายเอาไปตอบสนองกำไรสูงสุดทั้งหมด มันจะถูกหรือไม่ เพราะสิทธิพิเศษไปหมด แต่กระเป๋าไม่ได้กลับมาเข้าสู่คลัง มันไปเข้าสู่ผู้ถือหุ้นการแปรรูป ผมมีทางเลือกอยู่ 4 ทาง คือ

1.ยกเลิกการแปรรูปไว้ก่อน และจัดการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจให้เรียบร้อยเสียก่อน อะไรที่มันไม่ดี มันเสียเปรียบ หรือเอาทรัพย์สินของแผ่นดิน จะไม่ให้เอาไปได้ไหม ซึ่งเป็นข้อเสนอเดียวกับคระกรรมการที่ตั้งขึ้นมาพิจารณากฎหมาย 11 ฉบับ ที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการแล้ว

2.แยกรัฐวิสาหกิจตามข้อเสนอของคณะกรรมการให้มีความชัดเจน ว่าอะไรที่จะให้รัฐถือหุ้น 100% หรือ 75% ลำดับความสำคัญของแต่ละประเภทให้ชัดเจน แล้วค่อยไปดำเนินการแปรรูปจากส่วนที่ไม่มีปัญหาเสียก่อน แต่ส่วนที่มีปัญหาก็เอาไว้ท้ายๆ

                3.ควรที่จะมีการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยให้คนกลางเข้ามาทำอย่างอิสระ อย่าให้กลุ่มหรือผู้แทนที่จะมาเป็นบริษัท มาทำประชาพิจารณ์ เพราะมีส่วนได้เสีย ที่จะทำประชาพิจารณ์อย่างไม่โปร่งใส ตรงไปตรงมา

4.หลังจากที่ทำประชาพิจารณ์ควรที่จะมีการศึกษาวิเคราะห์ให้ละเอียดถึงข้อดีข้อเสียต่างๆ และอาจจะต้องศึกษาว่านอกจากข้อเสนอ 2 ทางจากฝ่ายรัฐบาล และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต มันมีทางเลือกอื่นๆ หรือไม่ที่ดีกว่า 2 ทางนี้

          หากดำเนินการให้มีทางเลือกที่ดีที่ถูกต้องเป็นธรรม เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนจริงๆ ผมเชื่อว่าประชาชนรับได้บนพื้นฐานของความโปร่งใส แต่คำอธิบายของภาครัฐที่บอกว่าต้องแปรรูปอย่างเดียวถอยหลังไม่ได้ เพราะหุ้นในตลาดจะตก ยิ่งจะทำให้คนสงสัยใหญ่ขึ้นอีก เพราะเราจะไปเพิ่มประโยชน์ของแผ่นดิน หรือไปเพิ่มตัวเลขของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อกลุ่มผู้ลงทุนเท่านั้นหรือ ซึ่งมันคงจะไม่ใช่ ควรที่จะหาประโยชน์จริงๆ ของประเทศชาติและประชาชนจริง ข้อเสนอของผมเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการจัดการประโยชน์ทรัพยากรตามรัฐธรรมนูญมาตรา 46 ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและสังคม ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญมาตรา 76 ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 79 ของรัฐธรรมนูญ

นายณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจอิสระและนักวิชาการ : ผมไม่ได้คัดค้านการแปรรูป หากการแปรรูปนั้นต้องทำให้รัฐวิสาหกิจดีขึ้น สินค้าถูกลง การบริการดีขึ้น ถ้าทำให้วิสาหกิจนั้นมีการแข่งขัน ผมไม่ได้คัดค้าน ดังนั้นถ้าจะขายให้เอกชนไม่ว่าในชาติหรือต่างชาติ ถ้าขายแล้วมีการแข่งขันผมเห็นด้วย เพราะการแข่งขันจะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือก ประชาชนก็จะเลือกสินค้าที่ดีราคาถูก เอกชนรายใดที่ขายของแพง บริการไม่ได้เรื่อง ก็ไม่มีคนซื้อ ก็ต้องล้มเลิกกิจการ ฉะนั้นการแข่งขันที่ทำให้ภาคเอกชนลดต้นทุนตัวเอง ผลิตสินค้าที่ดีออกมา ถ้าไม่มีการแข่งขันหรือให้มีการผูกขาด มันเป็นเรื่องฝันร้าย เพราะว่าถ้าผูกขาดโดยรัฐ ผลกำไรก็จะเข้าไปสู่ประชาชนทั้งประเทศ แต่ถ้าผูกขาดโดยเอกชนผลประโยชน์ก็จะไปตกกับผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียว และถ้าเป็นรัฐวิสาหกิจผูกขาดซึ่งเป็นสาธารณูปโภค นั้นหมายถึงคนจนก็ต้องใช้ไม่มีทางเลือก ไฟฟ้า ประปา จนอย่างไรก็ต้องใช้ เมื่อเป็นของเอกชน ก็ต้องมาทำกำไร ผูกขาดกำไรของราคาขายที่เพิ่มขึ้น ก็คือรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นของประชาชน กำไรของรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้นก็คือภาระที่เพิ่มขึ้นของประชาชน

          ผมไม่ได้คัดค้านถ้าเราขายองค์การแบตเตอรี่ รสพ.องค์การฟอกหนัก ซึ่งขาดทุนหมด เหล่านี้ควรจะขาย เอกชนควรจะเข้ามา แต่ก็ไม่เห็นรัฐบาลจะมาขาย จะมาเอาแต่รัฐวิสาหกิจที่ทำกำไรปีหนึ่ง 27,000 ล้านบาท และเป็นรัฐวิสาหกิจที่บริหารดีมาก คือแต่ว่าก่อนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์เขาบอกว่ามันน่าจะขึ้นค่าเอฟทีก่อนเพื่อจะได้ขายหุ้นได้ง่ายขึ้น พอเข้ามาไปแล้ว จะได้เหมือนหุ้น ปตท.ที่มันพุ่งเป็นราคา 5 เท่า ครั้งนั้น ปตท.ได้เงินจากการกระจายหุ้น 28,000 ล้านบาท ตอนนี้มันกลายเป็น 1.28 แสนล้านบาท ซึ่ง 1 แสนล้านบาทไม่ได้เข้าปตท. เข้ากระเป๋าใครก็ไม่รู้ แต่เขาเรียกว่าประชาชน แต่ตอนที่ ปตท.กระจายหุ้น ประชาชนตื่นตั้งแต่ตีสี่ กรอกใบสมัครยังไม่เสร็จ เพียงแค่ 1.17 นาที ก็ขายหุ้นหมดแล้ว มันน่าเชื่อหรือว่านี่เป็นการกระจายที่โปร่งใส นักการเมืองตอนนี้ออกมาพูดว่า ก.ล.ต.มีหลักการที่รัดกุมมากการกระจายหุ้นมันจะเฉลี่ย ถ้าบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์มันจะโปร่ง แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกับ ปตท. 1.17 นาที แล้วนี่ยังจะเชื่อ ก.ล.ต.หรือ

                การแปรรูป กฟผ. นั้นผมไม่คัดค้าน แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการเอารัฐวิสาหกิจผูกขาดที่เป็นสาธารณูปโภคไปขายให้ต่างชาติ หรือการขายรัฐวิสาหกิจผ่านตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุดที่นักการเมืองบอกว่าจะเอาไปโรดโชว์ให้ต่างชาติมาซื้อจากตลาดหลักทรัพย์อีกที ซึ่งมันไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่วิธีนี้นักการเมืองน่าจะได้ผลประโยชน์มากกว่า ขายตรงๆ คือ ปั่นซักรอบหนึ่งก่อน แล้วค่อยให้ต่างชาติมารับไปในราคาที่มันแพง ก็จะได้อ้างว่า ต้นทุนมันสูงแล้วก็ต้องมาขึ้นราคา ผมจำได้ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ต่างชาติผูกขาดน้ำมันหมด เมื่อจะขึ้นราคา แต่รัฐบาลฟิลิปปินส์บอกว่า อย่าขึ้นได้ไหม แต่ต่างชาติทั้งหมดรวมหัวกันบอกว่า ถ้าไม่ขึ้น ผมเป็นบริษัทเอกชน ผมทำธุรกิจที่มันไม่คุ้มทุนไม่ได้ ผมก็จะไม่สั่งน้ำมันดิบมากลั่นแล้วคุณก็ไม่มีน้ำมันใช้ คุณก็เลือกเอาจะเอาน้ำมันราคาแพงหน่อย หรือไม่มีน้ำมันจะใช้ สุดท้ายรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ต้องเอาผ้ามาเช็ดน้ำตาออกทีวีว่า มันจำเป็นต้องให้เขาขึ้นดีกว่าไม่มีน้ำมันใช้ เช่นเดียวกับอาร์เจนตินา ประปาที่นั่น เขาให้อังกฤษและสเปนแข่งขันกัน แต่มันแข่งขันกันขึ้นราคา มันก็บอกอย่างเดียวกันว่า ถ้าไม่ยอมให้ขึ้น มันก็ไม่สามารถผลิตประปาเพื่อทำกำไรได้ สุดท้ายนักการเมืองไทยบอกว่าข้าพเจ้ายังถือหุ้นอยู่ 51% ผมว่าถึงเวลาก็มาเช็ดหน้าตาออกทีวีว่า จำเป็นต้องให้เขาขึ้นค่าไฟ

          ผมไม่เห็นด้วยกับการขายชาติของรัฐบาลนี้และรัฐบาลที่แล้ว รัฐบาลนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่เขาไม่อยากฟังคำว่า "ขายชาติ" แต่ถ้าพฤติกรรมเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ต่างกับพฤติกรรมของรัฐบาลชุดที่แล้ว และเพื่อเป็นธรรมเมื่อรัฐบาลชุดที่แล้วขายชาติ ท่านเองก็ควรจะถูกข้อกล่าวหาอันเดียวกันเพื่อจะไม่ดับเบิลสแตนดาร์ด ท่านไม่ควรจะโกรธ เพราะรัฐบาลที่แล้วเขายังมีสปิริตที่ไม่โกรธ แต่รัฐบาลนี้มาโกรธอะไรกับคำว่า "ขายชาติ" เพราะถ้าพฤติกรรมอย่างเดียวกันก็ต้องกล้ายอมรับ ถ้าทำให้ตัวเองรวยได้ ก็ไม่น่าเสียหายที่จะโกรธ ผมไม่เห็นด้วยกับปรัชญาการเมืองมากมายที่นักการเมืองมาอ้างออกทีวี เช่น

1.บอกว่าการแปรรูป หรือ ขายรัฐวิสาหกิจ ให้กับประชาชนในตลาดหลักทรัพย์ จะทำให้ประชาชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของเพิ่มขึ้น ผมว่าเห็นคนไทยโง่หรือไง รัฐวิสาหกิจมันเป็นของคนไทย 62 ล้านคนอยู่แล้ว พูดอย่างนี้ไม่รู้เอาตรรกะอะไรมาอ้าง เพราะตลาดหลักทรัพย์มีคนมาเล่นอยู่ไม่เกิน 2 แสนคน และขาใหญ่ๆ มันอาจจะมีแค่ 200 คน และเฉลี่ยลงมาอาจจะเหลือ 10 กลุ่ม

                2.บอกว่ารัฐบาลชุดนี้มีคุณธรรมสูง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไประแวงเขาในการซื้อหุ้น แล้วที่เกิดกับการจองหุ้น ปตท. มันเป็นใครกัน ผมก็เชื่อว่าท่านทำได้ เพราะหุ้นของท่าน ท่านก็เอาไปฝากในชื่อของลูกสาว ลูกชายก็ได้ และก็ยังฝากกับคนรถ คนสวน คนใช้ที่บ้านก็ฝากได้ จะโนมินี่เท่าไหร่ มันไม่ยาก มาอ้างว่าตลาดหลักทรัพย์มีกฎเกณฑ์ ความจริงกฎเกณฑ์นั้นมาบังคับใช้เฉพาะประชาชนที่ซื่อสัตย์สุจริต เพราะเป็นคนที่เคารพกฎหมายของสังคม แต่คนที่ไม่ดีขี้โกง มันมีวิธีหลีกเลี่ยงได้ตลอด อันนี้ที่นักการเมืองบอกว่า ประชาชนจะเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจ มันโกหก แล้วก็ดูถูกประชาชน อย่าพูดดีกว่า เพราะยิ่งพูดยิ่งเข้าเนื้อ แสดงว่า คนพูดดูถูกว่า คนไทยโง่เง่า

                3.ที่ว่าถ้าเป็นของเอกชนแล้วจะมีประสิทธิภาพขึ้น แต่ที่อาร์เจนตินาเมื่อมีการแปรรูปไปสู่เอกชนก็ไม่เห็นมันจะดีขึ้น แม้แต่อังกฤษทุกอย่างแปรรูปให้เอกชนไป แต่ทุกวันนี้คนอังกฤษเสียหายเพราะทุกอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เห็นจะมีบริการดีขึ้น รถไฟอังกฤษ ปีที่แล้วก็ตายกันเยอะ เพราะมันจ้องจะเอากำไรอย่างเดียว

                4.ที่ว่าถ้ารัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วจะมีการตรวจสอบควบคุม ไม่มีการรั่วไหล ผมไม่เชื่อ ในฐานะผมเป็นนักธุรกิจ การดูแลที่ดีต้องให้เจ้าของเข้าไปควบคุม ซึ่งถ้ามันกระจายหุ้นเป็นของมหาชนแล้ว เจ้าของมันก็รายเล็กรายน้อย ไม่ได้สนใจเข้าไปควบคุมเท่าไหร่ ยิ่งเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าไม่ดีเขาก็ขายทิ้ง ตรงนี้นักการเมืองเอาอย่ามาพูด เพราะบริษัทที่มันโกงมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ในประเทศไทย คือ ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) เป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนบริษัทในโลกที่โกงหน้าด้านๆ เป็นเงินเกือบเท่ากับจีดีพีของประเทศไทย คือ บริษัท เวิร์ดคอม และเอ็นรอน อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา และถ้าบอกว่าตลาดหลักทรัพย์เรามาตรฐานไม่ดี แล้วอเมริกามันดีกว่าเราหรือเปล่า นี่ขนาดยังไม่ผูกขาด และถ้าผูกขาดมันจะเสียหายแค่ไหน ผมจึงขอร้องนักการเมืองอย่าพูดเพราะพูดไปมันอายเขา

                5.ที่บอกว่าเมื่อรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว ราคาสาธารณูปโภคจะไม่ถูกปรับขึ้นเพราะมันจะมีกรรมการตรวจสอบการขึ้นราคาอีกชุดหนึ่ง แล้วรัฐบาลก็ยังถือหุ้นอยู่ 51% ตรงนี้อย่าโกหกดีกว่า เพราะไม่มีรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภคใดๆ ในโลกนี้ที่แปรรูปให้เอกชนในตลาดหลักทรัพย์แล้วจะไม่ขึ้นราคา เพราะอย่างน้อยที่สุด ถ้าเอกชนหน้ายังบางอยู่ ขึ้นปีหนึ่ง 10% แน่นอน แต่ถ้าหนาแบบอาร์เจนตินาก็เป็นโศกนาฏกรรม หลังจากแปรรูปไปแล้วค่าไฟตกยูนิตละ 6 บาท ประเทศไทยเราขนาดแพงแล้วคนเดือดร้อนยังอยู่ที่ยูนิตละ 2.50 บาท เราใช้ไฟทั้งประเทศ 1 แสนล้านยูนิต ฉะนั้นค่าไฟถ้าขึ้นยูนิตละ 1 บาท เท่ากับปล้นคนไทยปีละ 1 แสนล้านบาท ไม่ใช่ปล้นเล็กๆ ครั้งเดียวจบ แต่ปล้นทุกปี ดังนั้นอย่าพูดดีกว่า เพราะมันไม่มีตัวอย่างในโลกนี้

                6.นักการเมืองออกมาพูดว่า ถ้าไม่แปรรูป กฟผ.ครั้งนี้ แล้วหุ้นจะตก ถ้าจะบริหารประเทศโดยดูดัชนีจากตลาดหลักทรัพย์ว่า มันขึ้นแล้วบริหารดี แล้วถ้ามันตก บริหารไม่ดี ผมว่าประชาชนเลือกคนผิดแล้ว อย่าพูดดีกว่า เพราะพูดไปแล้วอายเขา โตๆ กันแล้ว พูดตรงนี้มันน่าเกลียด มีบริษัทชั่วๆ ในอเมริกาที่ผู้บริหารยึดเอาดัชนีหุ้นของบริษัทขึ้นลงเป็นเป้าหมาย จึงบริหารเป็นรายไตรมาสเลย การบริหารประเทศชาติต้องยึดเอาปากท้องประชาชนเป็นหลัก อย่าไปยึดเอาดัชนีตลาดหุ้น หรือค่าเงินบาทหรือค่าจีดีพี จะไปบอกว่าตลาดต้องหุ้นดี อย่างนี้ก็ต้องช่วยกันปั่น นักการเมืองอาจจะได้กำไร แต่อยากบอกว่า กำไรที่ได้นั้นเป็นเงินบาป เพราะตลาดหุ้นไม่ใช่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะสร้างความเสียหายเพราะเมื่อมีคนหนึ่งร่ำรวยขึ้นมา ก็ต้องมีคนหนึ่งโดยเฉพาะแมงเม่าจะเสียหาย ดังนั้นถ้าท่านคิดว่าการทำความร่ำรวยจากตลาดหลักทรัพย์เพื่อเอาเงินไปเล่นการเมือง ผมว่ามันบาปมาก อย่าทำเลย ไม่คุ้ม บาปกรรมนี้มหาศาล

                7.ที่นักการเมืองบอกว่า เขามาจากการเลือกตั้ง และได้แถลงต่อรัฐสภาแล้วว่า จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถือว่ามีความชอบธรรม ถ้าไม่ทำถือว่าผิดคำมั่น ผมว่านักการเมืองอาจจะเข้าใจผิด ท่านอาจจะเข้าใจว่า เมื่อชนะการเลือกตั้ง มี ส.ส.เกินครึ่งของสภา เป็นเจ้าของประเทศไทย วันนี้จึงทำอะไรก็ได้ ผมอยากจะบอกว่า การเมืองในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเขาไม่ได้เลือกนายเขาเลือกลูกจ้าง ดังนั้นรัฐบาลจึงเป็นลูกจ้าง ประชาชนเป็นนายจ้าง ถ้าประชาชนมีบ้านซักหลัง แล้วเราเลือกหัวหน้าคนใช้ไปดูแล ดังนั้นเขาจะไปเอาตู้เย็น ทีวีของบ้านไปขายไม่ได้นะครับ ไม่ใช่ว่าได้รับเลือกจากเสียงส่วนใหญ่ของเจ้าของบ้าน แล้วคุณจะไปเอาทีวี ตู้เย็น รถยนต์ในบ้านไปขาย ไม่มีสิทธิ์ เข้าใจผิดแล้ว หรือคนใช้จะเอาทรัพย์สินมาเอื้ออาธรกับเจ้าของบ้าน

          ผมว่าท่านเข้าใจผิดแล้วเช่นกัน ดังนั้นทำอะไรต้องถามเจ้าของบ้าน ถ้าจะขายสมบัติที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เหมือนที่สวิตเซอร์แลนด์ทำ ตอนนี้ท่านกำลังดูถูกคนการไฟฟ้า ว่าพวกนี้เป็นกลุ่มผลประโยชน์ เดี๋ยวเอาเงินฟาดหัวมันไป เดี๋ยวมันก็เลิก ท่านกำลังดูถูก คนที่กำลังทำธรรมยาตราอย่างสงบที่หัวหิน แต่กลับถูกอำนาจรัฐอย่างป่าเถื่อน สึกพระโดยไม่มีความผิด แล้วก็จับกุมเพื่อให้เรื่องจบง่ายๆ ผมขอบอกว่า การเมืองวันนี้มันฮึกเหิม ไม่ใช้การเมืองแบบประชาธิปไตยแล้ว


1