|
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป |
แถลงการณ์สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)ฉบับที่
5 วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2547 |
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ |
ตามที่นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลบางคนได้ออกมาตั้งประเด็นที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับความเป็นจริง ในประเด็นการเรียกร้องต่อรัฐบาลของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (สร.กฟผ.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)นั้น เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นข้อวิพากษ์เพื่อให้ประชาชนที่รักความยุติธรรมได้พิจารณา จึงขอเรียนชี้แจงดังนี้ 1. การที่ สร.กฟผ. และ สรส. ได้ของมาเรียกร้องนั้น มีสาเหตุมาจากการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเศรษฐกิจ 11 ฉบับ ขึ้นตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 374 / 2545 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2545 โดยมีนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการและมรผู้แทนสมาพันธ์ สภาทนายความ สมาพันธ์ประชาธิปไตย และชุมชนร่วมใจไทยกู้ชาติเป็นฝ่ายประชาชน และฝ่ายรัฐบาลได้เห็นชอบให้แบ่งกลุ่มรัฐวิสาหกิจออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่ม
1
ต้องเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือถ้าเป็นบริษัทให้ถือหุ้นร้อยละ
100
ในกลุ่มดังกล่าวมีรัฐวิสาหกิจกลุ่มไฟฟ้า
ประปา
และรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ สาธารณูปโภคสาธารณูปการ และ ความมั่นคงของรัฐ และข้อเสนอดังกล่าว ได้เสนอต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และฯพณฯนายกรัฐมนตรีก็ได้ลงนามเห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 23 พฤภาคม 2546 ท้ายหนังสือที่ ป.ทปษ. 173 / 2546 ซึ่งหมายความว่า นายกรัฐมนตรี เห็นชอบแล้วว่าให้ ไฟฟ้า ประปา ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นในหนังสือดังกล่าวยังระบุว่า เห็นควรจัดกฎหมายฉบับใหม่ คือพระราชบัญญัติปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ พ.ศ...... ขึ้นมาใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 นี่คือหลักฐานที่สำคัญควรจะตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบว่า เมื่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีลงนามเห็นชอบแล้ว ทำไมไม่ปฏิบัติตามที่ตนได้ลงนามเห็นชอบไว้แล้ว นอกจากนั้น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรียังได้ประกาศผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์ทุกช่อง เมื่อคืน วันที่ 31 กรกฎาคม 2546 ว่า ชำระหนี้ ไอเอ็มเอฟหมดแล้ว จึงยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 แต่รัฐบาลนี้ยังใช้ พ.ร.บ. ทุนฯ เป็นเครื่องมือในการแปรรูป กฟผ. และรัฐวิสาหกิจอยู่ต่อไป ขอให้พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนช่วยตรวจสอบด้วยว่า ใครกันแน่ที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ! 2. ข้อเสนอของ สร.กฟผ. เป็นข้อเสนอที่ไม่มีลักษณะแสดงความเป็นเจ้าของ สร.กฟผ. และไม่มีผลประโยชน์แม้แต่น้อย แต่สำนึกว่า กฟผ. เป็นของประชาชน และเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 บัญญัติไว้ในมาตรา 76 ความว่า รัฐต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย การติดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมทั้งการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ และมาตรา 214 บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่า กิจการในเรื่องใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติหรือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีอาจปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา เพื่อประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ให้ออกเสียงประชามติได้... จะเห็นได้ว่า กิจการไฟฟ้า ประปาเป็นกิจการที่กระทบต่อประชาชนทุกคน ดังนั้น หากรัฐบาลจะแปลรูปเปลี่ยนแปลงจากรัฐให้นายทุนเอกชนเข้าซื้อหุ้น เพื่อเปลี่ยนแปลงความเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ให้บริการประชาชนไปเป็นแสวงหากำไรจากประชาชน ก็ควรให้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนก่อน ซึ่งวิธีการทำประชามติก็มี พ.ร.บ. การทำประชามติ พ.ศ. 2542 ที่มีผลใช้บังคับแล้ว สามารถนำปฏิบัติได้ ท้ายนี้ สร.กฟผ. สรส. และประชาชนผู้รักประชาธิปไตยหลายองค์กร เรียกร้องต่อรัฐบาลว่าหากจะแปรรูปก็ควรให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจได้มีส่วนในการตัดสินใจในการลงประชามติว่าจะให้แปรรูปหรือไม่ ซึ่งข้อเรียกร้องดังกล่าว หากพิจารณาอย่างยุติธรรม ไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ ของพนักงานแอบแฝงอยู่ และเป็นการแสดงจุดยืนว่ารัฐวิสาหกิจนั้นไม่ได้เป็นของชาว กฟผ. และไม่ใช่เป็นของรัฐบาล แต่เป็นของประชาชน ดังนั้นทางออกที่พิสูจน์ชัดเจนว่าใครยืนอยู่ฝ่ายประชาชนก็ควรมอบอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน แต่ก่อนลงประชามติก็ให้จัดทำประชาวิจารณ์ก่อนโดยให้ฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยได้ใช้สื่อขิงรัฐในเวลาเท่ากัน ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างเต็มที่ ในการที่ได้ตัดสินใจลงคะแนนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่ารัฐบาลนี้จะมีความกล้าหาญและมีความศรัทธาเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่ ถ้ามีความจริงใจก็ไม่ควรกลัวการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ
นี่คือประเด็นที่สื่อมวลและประชาชนผู้เคารพในเหตุผลทุกท่านควรพิจารณาและอภิปรายถกเถียงกันด้วยสติปัญญา
ไม่ใช่กล่าวหาโดยไม่มีเหตุผล เพราะไม่เป็นการสร้างสรรค์
และไม่ก่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่ถูกต้องแต่อย่างใด สรส.
จึงชี้แจงมาเพื่อให้ได้รับความจริงโดยทั่วกัน |