ดับฝันรายย่อยหุ้นรัฐวิสาหกิจวูบ กองทุนสถาบันเมิน-ราคาดิ่งยาว
นักค้าหุ้นเผยกรอบการกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจใหม่แบบขั้นบันไดรัฐบาลดึงรายย่อยเป็น
"แพะ" แลกดันการแปรรูปต่อ ติงรัฐไร้หลักการ ถอยจนกลไกตลาดบิดเบี้ยว
ฟันธงราคาหุ้นดิ่ง-ประชาชนขาดทุนยับแน่เพราะขาดสถาบันคอยถ่วงดุล
มั่นใจผู้ลงทุนสถาบันเมินหุ้น IPO เพราะรอช้อนของถูกในตลาดหุ้นดีกว่า
ขณะที่รัฐวิสาหกิจเสียโอกาสทอง "พรีเมี่ยม" หาย เจอทางตันหุ้นจะขายหมดต้อง "ลดราคา"
เท่านั้น
ผลจากแรงกดดันจากกลุ่มผู้ต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ส่งผลให้รัฐบาลต้องถอยหลังตั้งรับข้อเสนอในทุกเงื่อนไขเพื่อแลกกับการคงนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่อไป
โดยไม่สนใจว่ารูปแบบการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะบิดเบี้ยวไปจากหลักการที่ถูกต้องหรือไม่
ล่าสุดการประกาศกรอบหลักเกณฑ์การกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจให้ประชาชนทั่วไป
และหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้พนักงานรัฐวิสาหกิจที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อใช้เป็นแนวทางการเสนอขายหุ้นครั้งแรก
(Initial Public Offering : IPO)
รวมทั้งการกำหนดหลักการดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน ผู้บริโภค
และพนักงานรัฐวิสาหกิจได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ชี้บิดเบือนตลาด
แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจหลักทรัพย์ให้ความเห็นต่อหลักเกณฑ์การกระจายหุ้นใหม่ว่าเป็นการบิดเบือนตลาดเพราะราคาหุ้นจะไม่สะท้อนความต้องการที่แท้จริง
ทำให้รัฐวิสาหกิจที่ต้องการระดมทุนเสียโอกาสเพราะขายได้ราคาต่ำ
เนื่องจากกรอบดังกล่าวผู้กำหนดราคาหุ้นจะมาจากความต้องการในประเทศซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อย
ทั้งนี้
เพราะแนวทางการกระจายหุ้นให้รัฐวิสาหกิจให้ประชาชนทั่วไปจะจัดสรรแบบขั้นบันได 3
กลุ่ม กลุ่มที่ 1 จองน้อย จำนวนเงินที่จอง 10,000-100,000 บาท กลุ่มที่ 2
จองปานกลางแต่ 100,000-500,000 บาท และกลุ่มที่ 3 จองมากตั้งแต่ 500,000
บาทขึ้นไป
โดยระบุว่าหากผู้จองกลุ่มที่ 1 จองรวมกันน้อยกว่าหุ้นที่กระจาย
ผู้ลงทุนจะได้หุ้นเท่ากับที่จองมาทุกราย แต่หากหุ้นไม่พอก็จะใช้วิธีเลือกสุ่ม
และกลุ่มที่จองมากขึ้นไปก็จะไม่มีใครได้หุ้น ขณะเดียวกันหากผู้จองกลุ่มที่ 1
ได้หุ้นทุกรายแล้ว และมีหุ้นเหลือ หุ้นที่เหลือนั้นจะกระจายให้กลุ่มที่ 2 และ 3
ตามลำดับ โดยใช้วิธีการเดียวกัน
"ถ้าดูตามเกณฑ์ข้างต้น ถามว่าจะมีกี่คนซื้อหุ้นได้
เพราะจากข้อมูลเบื้องต้นในประเทศไทยมีเงินฝาก 54 ล้านบัญชี และในจำนวนนี้มี
60,000 บัญชี ที่มีเงินในบัญชีเกิน 10 ล้านบาท ขณะที่อีก 700,000 บัญชี
มีเงินในบัญชีเกิน 1 ล้านบาท นับว่าคนที่มีเงินเกิน 1
ล้านบาทอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับประชากร 65 ล้านคน ที่สำคัญคนที่มีเงิน 1
ล้านบาทไม่ควรซื้อหุ้นตัวเดียวและผิดหลักการลงทุนอย่างยิ่ง
เพราะถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก
ประเด็นก็คือผู้ลงทุนเขาเข้าใจความเสี่ยงอันนี้หรือไม่ ถ้าหากเขาเข้าใจ
มีความรู้จริง เขาจะไม่ซื้อหุ้นเลย" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันคนที่มีเงินจำนวนมากหากให้จองได้แค่ 1 แสนบาท
หรือ 5 แสนบาท ซึ่งมีโอกาสได้น้อย ก็จะไม่จองซื้อ หรือ
ถ้าหากผู้มีเงินมากๆ อยากได้หุ้นมาก ก็ต้องไปเอาชื่อคนอื่นมาจองซื้อ
เป็นการใช้ระบบตัวแทนมาซื้อ ยิ่งทำให้กลไกบิดเบือนมากยิ่งขึ้น
และการที่จะได้หุ้นจอง 500,000 บาท
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการจัดสรรมากสุดก็ต่อเมื่อหุ้นนั้นไม่ฮอต
หรือขายไม่ออกเท่านั้น
"การที่ทางการออกกฎมาอย่างนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า 1.คนจะแย่งกันซื้อหุ้นเสมอ
แต่ข้อเท็จจริงมีบ่อยมากที่เปิดจองซื้อแล้วคนไม่ซื้อต้องนั่งตบยุงกัน และ 2.ราคาหุ้นจะขึ้นเสมอ
จึงเป็นข้อสมมติฐานที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
และถ้ายึดตามกรอบใหม่นี้บริษัทที่ทำอันเดอร์ไรต์หุ้นจะต้องทำสำรวจความต้องการของรายย่อยก่อน
หากรายย่อยไม่ซื้อ
การที่จะเอาหุ้นดังกล่าวไปขายอีกคนซึ่งเป็นผู้ลงทุนสถาบันก็ไม่ง่าย
เพราะหุ้นก็เหมือนสินค้า หากคนหนึ่งไม่ซื้อแล้วไปขายอีกคนทีหลังก็ยากขึ้น"
แหล่งข่าวกล่าว
รายใหญ่รอช้อนของถูก
แหล่งข่าวให้ความเห็นต่ออีกว่า
ในส่วนของนักลงทุนสถาบันไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้จัดการกองทุน
ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ทั้งบริษัทเอกชนและรัฐวิสาหกิจ
หากไม่ขายให้ผู้ลงทุนต่างชาติก็จะไม่ซื้อตามไปด้วย
หรือจะซื้อก็ต่อเมื่อขายราคาถูกเท่านั้น
หรือจะรอซื้อเมื่อหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเพราะจากประสบการณ์คนเหล่านี้จะรู้ดีว่าจะได้ราคาที่ถูกกว่าเสมอ
เพราะจากสถิตินักลงทุนรายย่อยจะไม่ถือหุ้นเกิน 3 วัน จากนั้นจะก็จะเทขายกัน
ราคาหุ้นก็จะตก ดังนั้นเมื่อกรอบดังกล่าวจำกัดการซื้อของนักลงทุนต่างชาติ
จึงมีทางเดียวที่จะขายหุ้นขนาดใหญ่ให้ได้หมด คือการลดราคาลงมาเท่านั้น
"ตรงนี้ท่านนายกรัฐมนตรีเข้าใจดี ท่านจึงกล่าวว่าพรีเมี่ยมจะหายไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้รัฐวิสาหกิจแทนที่จะได้เงินเข้ารัฐวิสาหกิจ เอาไปลงทุน
กลับกลายเป็นว่าหลักเกณฑ์ใหม่เอาหุ้นมาแจกจ่ายให้ใครก็ไม่รู้
ไม่ใช่ตัวแทนของคนทั้ง 65 ล้านคนของประเทศ เพราะคนมีเงินจริงๆ มีน้อยมาก
ตามที่กล่าวมาข้างต้น"
นอกจากนี้
กรอบดังกล่าวเป็นการกีดกันผู้ลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่และเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดหุ้นออกไป
ซึ่งผู้ลงทุนเหล่านี้เป็นผู้มีความรู้และเป็นมืออาชีพในการวิเคราะห์ข้อมูล
เนื่องจากผู้บริหารกองทุนใหญ่ๆ จะมีอำนาจต่อรองในการได้มาซึ่งข้อมูลต่างๆ
มากมาย โดยจะมีนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะแต่ละอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศ
แต่ละภูมิภาคของโลก พร้อมที่จะให้บริการ
เนื่องจากผู้จัดการกองทุนเป็นผู้บริหารเม็ดเงินที่มาจากทั่วโลก
แต่ละกองทุนมีขนาดใหญ่มาก
ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติสามารถเปรียบเทียบหุ้นแต่ละตัวในอุตสาหกรรมเดียวกันในแต่ละประเทศแต่ละภูมิภาคได้
ว่าราคาที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร
และหากจะกำหนดราคาซื้อก็จะเสนอซื้อในราคาที่สะท้อนความต้องการของตลาดจริงๆ
"ดังนั้นหากไม่ขายนักลงทุนต่างชาติพวกนี้ จึงเป็นการยากที่จะขายหุ้นได้ราคาดีๆ
และเหมาะสม รัฐวิสาหกิจจะเสียโอกาสมาก เพราะขายได้ราคาต่ำ
เนื่องจากราคาถูกกำหนดโดยดีมานด์ในประเทศ
ทำให้คนที่อยากซื้อซื้อไม่ได้เนื่องจากมีกรอบกติกากำหนดไว้
จากประสบการณ์การขายหุ้นทำให้ทราบว่าคนมีเงินจะไม่ซื้อหุ้น
หากจัดสรรให้เขาน้อยๆ เขาไม่ต้องการเสียเวลามาดูแล
เพราะเป็นเพียงเศษสตางค์ของเขา
เมื่อการจัดสรรหุ้นที่ไม่เหมาะสมก็ส่งผลให้ตลาดและราคาบิดเบือน
โยงไปถึงการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัด ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด
นั่นหมายถึงการแปรรูปก็บิดเบี้ยว" แหล่งข่าวกล่าว
ราคาหุ้นผันผวน
อย่างไรก็ตาม
แหล่งข่าวได้กล่าวย้ำว่าการกระจายหุ้นให้รายย่อยที่เป็นรายย่อยมากๆ
จะให้ราคาหุ้นหลังเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความผันผวนมากและขาดเสถียรภาพ
เพราะสิ่งที่นักลงทุนกังวลก็คือราคาหุ้นหลังการเข้าซื้อขายแล้วจะเป็นอย่างไร
หากมีรายย่อยถือจำนวนมากก็จะยิ่งทำให้ราคาตกต่ำ
ดังนั้นกรอบการกระจายหุ้นควรเป็นการเขียนไว้กว้างๆ
โดยตั้งเกณฑ์ให้คณะกรรมการระดมทุนเป็นผู้กำกับดูแล
เนื่องจากหุ้นที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแต่ละตัวมีปัจจัยที่แตกต่างกัน
ลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน
ยันเมืองไทยไม่จำเป็นต้องแปรรูป
แหล่งข่าวให้ความเห็นต่อว่า
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างสมบูรณ์จะทำได้ดีภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อ
1.ระดับการศึกษาของประชาชนในประเทศนั้นโดยรวมจะต้องสูงพอที่จะเข้าใจ
2.ประเทศนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ไม่มีทางเลือกอื่น เช่น
ประเทศที่ประสบปัญหาร้ายแรงที่รัฐไม่สามารถจัดหาเงินมาให้บริการสาธารณะได้อีกต่อไป
อาทิ มีหนี้ท่วมตัว หรือประเทศที่ไม่มีทางเลือกอื่นๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว
เป็นต้น
3.ประเทศนั้นจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี อาทิ ระบบกฎหมาย
ระบบตลาดทุน ที่มีประสิทธิภาพมาก ในการรองรับการแปรรูปที่สมบูรณ์ได้
"สำหรับประเทศไทยไม่เข้าเงื่อนไขที่กล่าวมา ต่างจากปี 2540 ว่า ที่แปรรูปฯ
เพื่อมาใช้หนี้
ยิ่งออกกรอบกระจายหุ้นใหม่มายิ่งสวนทางกับนโยบายการพัฒนาตลาดทุนที่ต้องการจะสร้างนักลงทุนสถาบันใหม่มากขึ้น
แต่กรอบใหม่กลับส่งเสริมสนับสนุนรายย่อยแทน" แหล่งข่าวกล่าว
ม็อบ กฟผ.จี้เปลี่ยนบอร์ดใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา พนักงาน กฟผ.
เดินทางมาที่กระทรวงพลังงาน
เพื่อเรียกร้องให้นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทบทวนการแต่งตั้งคณะกรรมการ กฟผ. (บอร์ด) ชุดใหม่
โดยต้องการเสนอให้มีอดีตผู้บริหาร กฟผ.
และตัวแทนขององค์กรผู้บริโภคเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย
นายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กฟผ. กล่าวว่า
การที่รัฐบาลเป็นผู้เลือกคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาทั้งหมดอาจทำให้เกิดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองได้
อีกทั้งคณะกรรมการบางคนไม่มีความรู้เกี่ยวกับ กฟผ.อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ยังต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการแพร่ภาพโฆษณาชี้แจงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ตั้งคณะ กก.แก้ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.
2542 โดยมี ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการประกอบ ได้แก่
รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านทรัพย์สิน, อัยการสูงสุด,
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา, ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ,
ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ, เลขาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), นายศิววงศ์ จังคศิริ,
นายรังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, ดร.ปราณี ทินกร, รศ.สุธีร์ ศุภนิตย์, ดร.เดือนเด่น
นิคมบริรักษ์, นางดนุชา ยินดีพิธ นักวิชาการ 9
ผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นกรรมการและเลขานุการ,
นายเสรี นนทสูติ ที่ปรึกษากฎหมายสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ 1.ศึกษาวิเคราะห์
และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจให้สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
มีความคล่องตัวและมีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันและในอนาคต 2)ยกร่างกฎหมายใหม่หรือดำเนินการตามที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปรับปรุง
พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ และ 3)ปฏิบัติงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามที่กระทรวงการคลังมอบ
ชี้จุดบกพร่อง พ.ร.บ.ทุน
ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ วิเคราะห์จุดบกพร่องของ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจว่า
โครงสร้างของกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายการเมืองอย่างมาก
เริ่มตั้งแต่ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้มี "อำนาจในการเลือก"
รัฐวิสาหกิจที่จะนำมาแปลงทุนเป็นหุ้น
การกำหนดให้องค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจก็มาจากฝ่ายการเมืองเป็นส่วนใหญ่
และการให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจที่จะ "ควบคุม" ทุกขั้นตอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเศรษฐกิจ
11 ฉบับที่มีนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี
ได้เคยเสนอให้ยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 โดยร่าง พ.ร.บ.การปรับปรุงและพัฒนารัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
พ.ศ. ...ขึ้นมาใช้แทน หลักการสำคัญคือ การจัดแบ่งรัฐวิสาหกิจทั้งระบบเป็น 3
บัญชี บัญชีแรกเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐถือหุ้น 100% เช่น การไฟฟ้าฯ การประปาฯ
การท่าเรือฯ บัญชีสองรัฐถือหุ้น 75% ขึ้นไป เช่น การบินไทย การท่าอากาศยานฯ
ธนาคารกรุงไทย การสื่อสารฯ ทศท คอร์ปอเรชั่น และบัญชีสามคือรัฐถือหุ้นน้อยกว่า
75% เช่น บริษัทขนส่ง องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ องค์การสุรา
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ
ที่มีนาย ชัยอนันต์เป็นประธาน อาจเป็นแค่การสร้างภาพ
เพราะเอาเข้าจริง
การจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจใดจะต้องกระทำโดยพระราชกฤษฎีกาและต้องรับฟังความเห็นของประชาชน
และที่สำคัญเวลาของรัฐบาลชุดปัจจุบันอาจเหลือไม่พอสำหรับการแก้ไขกฎหมายสำคัญฉบับนี้
|