การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปรรูป

เบื้องหลังของนายกฯ ทำไมต้องเอากฟผ.เข้าตลาดหุ้นให้ได้

วันอังคารที่ 13 เมษายน 2547

โดย สุเทพ  เจนสุข

จากการที่จะดำเนินการแปรรูป กฟผ. โดยนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แท้จริงแล้ว เขาต้องการให้หุ้น กฟผ. ไปเพิ่มมูลค่าตลาด เท่านั้น (อาจมีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นอื่น ๆ อีก เช่น อาจกระจายหุ้นอย่างกระจุกตัวอยู่ที่คนไม่กี่ตระกูล หรือในวงศ์เครือญาติ เหมือนหุ้น ปตท. ทอท. แต่บังเอิญถูกท้วงติงก่อน จึงมาบอกว่าจะไม่ให้มีหุ้นผู้มีอุปการะคุณ ถ้าไม่ได้ประท้วง/คัดค้าน ก็คงเรียบร้อยไปแล้วครับ)

เรื่องหนี้สินนั้น ถ้าเทียบเป็นร้อยละของ GDP ก็เป็นเรื่องจิ๊บจ้อย หรือเทียบกับหนี้สาธารณะรวมก็เป็นเรื่องเล็กมาก (เอกสารชี้แจง http://www.luegat.com/index/090447/loan.xls) แต่ที่สำคัญคือ เป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ โดย กฟผ. เป็นผู้ชำระหนี้เหล่านี้เองด้วย พร้อมทั้งส่งรายได้เข้ารัฐฯ อีกไม่น้อยกว่า 30-40 % ของกำไรที่ได้รับ ดังนั้นการที่ฝ่ายรัฐฯ พยายามพูดเรื่องหนี้สินนั้น เป็นเพียงการหาเหตุเท่านั้น

เรื่องการขยายกำลังผลิต โดยต้องมีทุนนั้น ก็เช่นกัน ฝ่ายรัฐฯ คิดไม่เป็นเลยหรือ ถึงคิดเพียงแค่เอาไปขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ลองคิดใหม่ซิว่า กฟผ. ก็เคยขายพันธบัตรมาแล้ว ทำอีกไม่ได้หรือไง หรือว่าใช้วิธีกู้เงินไม่ได้หรือ อ้างว่าจะไม่คำประกันให้ ก็แสดงว่ารัฐบาลจะไม่ยอมรับว่ามีหน้าที่สร้างหลักประกันการดำรงชีวิตให้กับคนไทยอีกต่อไปแล้วใช่ไหม (เนื่องจากไฟฟ้า-ประปา เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานในการดำรงชีวิต ถ้าค้ำประกันไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาเป็นรัฐบาล เพราะเราต้องการรัฐบาลที่จะมาดูแลทุกข์สุขของประชาชน ไม่ใช่มาใช้เล่ห์เหลี่ยมบีบคั้น หาเหตุเพื่อเอาสมบัติของประชาชนไปขาย และให้คนในกลุ่มเครือญาติได้รับประโยชน์)

แต่น่าเสียใจอย่างมากเลยที่ฝ่ายรัฐฯ โกหกประชาชนอย่างแรง เพราะอะไรท่านทราบไหม ก็เพราะว่าถ้าแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว รัฐบาลก็ยังต้องค้ำประกันเงินกู้อยู่ดี เนื่องจากยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ แต่อยู่ในรูปของบริษัทมหาชน ซึ่งในการกู้เงินในอนาคตจะต้องเสียดอกเบี้ยที่แพงกว่าเดิม ในฐานะที่เป็นบริษัทฯ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสียประโยชน์อย่างมาก

เรื่องการขายหุ้นนั้น ถ้าขาย 25% จะได้เงินมาใช้หนี้ และลงทุนขยายกำลังผลิต มีคำถามว่า จะได้เงินสำหรับใช้หนี้และลงทุนถึง 10 ปี หรือประมาณ 400,000 ล้านบาทหรือเปล่า ถ้าได้ไม่ถึงท่านจะทำอย่างไรกับการต้องลงทุนขยายกำลังผลิตอีก อันนี้ไม่มีการชี้แจง ต้องกู้อีกหรือเปล่า ต้องขายหุ้นออกไปอีกหรือไม่ รับรองได้ว่าจะไม่มีการชี้แจงเรื่องนี้แน่ เพราะยังไม่ได้คิด หรือคิดแล้วบอกไม่ได้เพราะจะต้องกลับมาจนมุมตัวเอง หาทางออกไม่ได้

เรื่องการตรวจสอบ โปร่งใส ขอให้ผู้อ่านเทียบกับ 56 ไฟแน้นซ์ในไทยนี่เอง ที่ถูกยุบไปก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตรวจสอบอย่างไร โปร่งใสอย่างไร ในขณะที่ กฟผ.นั้น มีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตั้งสำนักงานอยู่ใน กฟผ. เลย มีการตรวจสอบความโปร่งใสด้อยกว่าอย่างนั้นหรือ หน่วยงาน กฟผ.เองก็มีฝ่ายตรวจสอบภายใน ทำงานการตรวจสอบโดยเฉพาะ และที่อ้างประชาชนตรวจสอบได้ ถามว่าประชาชนคนไหนจะไปตรวจสอบในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าทำได้นะ ขอโทษ ผมจะไปตรวจสอบ ปรส.ก่อนอันดับแรกเลย เพราะทำให้ประชาชน-ประเทศชาติเสียหายไม่น้อยกว่า หกแสนล้านบาท

เรื่องถ้าไม่เอา กฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ หุ้นจะหัวดิ่งลง ท่านผู้อ่านลองคิดดูนะครับ ตกลงจะดูแลกันเฉพาะคนที่เล่นหุ้นใช่หรือเปล่า แล้วสำหรับประชาชนไม่เห็นท่านพูดถึงเลยว่าจะได้อะไรถ้าเอา กฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่อันทึ่จริง เราขอรบกวนท่านลองคิดต่ออีกนิดนึงนะครับว่า เมื่อก่อนที่ท่านทักษิณฯ ยังไม่ได้มาบริหารประเทศ ทำไมหุ้นสามารถขึ้นได้ไปถึง 1700 จุด ทั้งๆ ที่ กฟผ.ก็อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ นี่แสดงว่าท่านพยายามโกหกทุกอย่างเท่าที่ท่านจะโกหกได้ เพื่อเอา กฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ ถึงกับพูดว่า ตายเป็นตาย ก็ให้สมพรปากก็แล้วกัน

เรื่องอ้างว่าเป็นนโยบาย ถ้าไปตรวจดูให้ดี ๆ นะครับ ไม่แน่ใจว่านโยบาย 16 ข้อหรือเปล่า หนังสือพิมพ์ก็ลง ไม่มีข้อไหนเลยที่พูดว่าจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจ พอพูดถึงตรงนี้ ก็ขอคิดย้อนไปตั้งแต่ตอนหาเสียง ท่านหาเสียงโดยบอกกับประชาชนเรื่อง กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ จะต้องมายกเลิก พอได้เป็นรัฐบาล กลับมาหาประโยชน์จากกฎหมาย 11 ฉบับนั้นเสียเอง

เรื่องค่าไฟฟ้าแพงขึ้น เรื่องนี้ฝ่ายรัฐบาลถึงขนาดออกมาสัญญากับประชาชนว่าค่าไฟฟ้าจะไม่แพงขึ้น จึงเกิดคำถามว่า กองทุนพยุงค่ากระแสไฟฟ้า ที่คิดจะตั้งขึ้น (ไม่แน่ใจว่าตั้งแล้วหรือยัง) ตั้งขึ้นเพื่ออะไร ท่านผู้อ่านคิดต่อเองได้อย่างแน่นอนนะครับว่า ตั้งเพื่ออะไร และก่อนหน้านี้ ค่า Ft ที่ขี้นไป 12 สตางค์นั้น ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องแปรรูปโดยตรง เพราะนี่เป็นคำแนะนำของบริษัทฯ ที่ปรึกษาในการแปรรูป กฟผ. ขอสรุปสั้น ๆ ก็แล้วกัน ก่อนแปรรูปมีการคิดค่าไฟฟ้าจากองค์ประกอบ 6 อย่าง หลังแปรรูป การคิดค่าไฟจะต้องคิดจากองค์ประกอบ 6 อย่างเหมือนก่อนแปรรูปและยังต้องมีรายจ่ายค่าภาษี 3-4 อย่าง ค่าเช่า ค่าบำรุงรักษาส่วนที่กระทบสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ 3-4 อย่าง และที่สำคัญกำไรก่อนแปรรูป กฟผ.ไม่เกิน 2 % ของทุนดำเนินการ แต่หลังแปรรูปจะคิดกำไรถึง 9% เพื่อจะได้จูงใจต่อผู้ซื้อหุ้น กฟผ. เรียกว่าเป็นหลักประกันการถือหุ้นก็ได้ เพราะฉะนั้น ค่าไฟฟ้าจะไม่แพงขึ้นได้อย่างไร แต่ฝ่ายรัฐบาลพยายามเถียงข้างๆ คูๆ ว่าค่าไฟฟ้าก็ขึ้นทุกปีอยู่แล้ว แต่เราไม่ต้องการให้ขึ้นจากเหตุของการแปรรูป ถ้าแปรรูปแล้วค่าไฟขึ้นประชาชนจะต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน ในขณะที่ผู้ได้รับประโยชน์จากการแปรรูปมีจำนวนไม่กี่คน เช่น นายทุนไม่กี่ตระกูล หรือผู้ซื้อหุ้นในตลาดประมาณ 200,000 คนเท่านั้น ส่วนพนักงาน กฟผ.จะได้รับประโยชน์ทั้งหุ้น ทั้งเงินเพิ่ม ทั้งเงินได้เปล่า ซึ่งพนักงาน กฟผ. ก็ยืนยันว่าจะไม่ขอรับผลตอบแทนเหล่านี้บนความเดือดร้อนของประชาชน เรียกได้ว่า งานนี้ทำเพื่อประชาชนจริง ๆ ครับท่าน

เรื่องประสิทธิภาพ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่น่าจะต้องพูดถึงมากมายอะไร เพราะถ้าไม่มีประสิทธิภาพ คงไม่เจริญก้าวหน้ามาถึงขนาดนี้ และที่นำส่งเงินเข้ารัฐบาลมาแล้ว 95,000 ล้านบาท มันขาดประสิทธิภาพตรงไหน และถ้าจะแก้เรื่องประสิทธิภาพในการทำงาน ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์เลยสักนิดเดียว แล้วทำไมพยายามเอาตลาดหลักทรัพย์มาแก้เรื่องประสิทธิภาพของ กฟผ. การเชื่อมโยงนี้ไร้สาระมากเลยครับ

หลายฝ่ายพูดถึงการต่อสู้ว่า เอาประชาชนเป็นตัวประกันนั้น ถ้าดูเผินๆ ก็คล้าย แต่มองให้ลึกลงไปจริง ๆ ซิครับ จะทราบว่าเหตุผลของผู้ประท้วง/คัดค้านนั้น มีน้ำหนักหรือเปล่า และท้ายสุดผู้ประท้วง/คัดค้าน ก็ยังให้ฝ่ายรัฐบาลไปถามประชาชน ถ้าประชาชนยินยอม ก็จบ ดังนั้น ถ้าพิจารณาให้ดี ๆ ก็จะรู้ว่า ใครกันแน่ที่เอาประชาชนเป็นตัวประกัน เพราะอย่างน้อยคนที่ประท้วง/คัดค้าน ก็เป็นประชาชนเหมือนกัน ทำไมรัฐบาลไม่ฟัง ไม่แก้ปัญหา และการที่ท่านได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน ไม่ได้หมายความว่าท่านจะทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ เพราะคนที่เขาประท้วง/คัดค้าน ก็คือประชาชนเช่นกัน

ท่านผู้อ่านครับ เมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้ ผมยอมรับครับว่าถ้าให้ผมเขียนต่อ ยังมีอีกเยอะครับ ยิ่งฝ่ายรัฐบาลจะหาเหตุอย่างไรมาอ้างอิง ก็สามารถตอบโต้ได้หมดครับ เพราะสิ่งที่ฝ่ายรัฐฯ ใช้เป็นข้อมูลในการหาเหตุนั้น ไม่ได้ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และที่ฝ่ายรัฐฯ พยายามทำอยู่เพียงเพื่อเอา กฟผ. เข้าตลาดให้ได้โดยไม่สนใจว่าพร้อมหรือยัง ขาดตกบกพร่องตรงไหน เช่น ถูกท้วงติงเรื่องหุ้นกระจุกตัวก็หันมาตั้งกติกากระจายหุ้น ถูกท้วงติงเรื่องน้ำ และอำนาจรัฐฯ บางอย่าง ก็มาคิดเรื่องโอนถ่ายอำนาจการดูแล ถูกท้วงติงเรื่องการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ก็มาคิดเรื่ององค์กรอิสระกำกับดูแล ท่านผู้อ่านลงคิดดูนะครับว่า เรื่องที่ยกตัวอย่างมานี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลย เขาคิดแต่เรื่องหุ้นอย่างเดียว เหมือนมันมีผลประโยชน์รออยู่รำไรแค่มือเอื้อม (แค่เอา กฟผ.เข้าตลาดให้ได้ นอกนั้นไม่สนใจ รวมทั้งชะตากรรมของประชาชนด้วย) โดยใช้การบิดเบือนข้อมูล การปิดข่าว (ปิดหูปิดตาประชาชน) และให้ข้อมูลฝ่ายเดียวถึงขนาดลงทุนซื้อหน้าหนังสือพิมพ์จำนวนมาก ออกโฆษณาทางทีวี 15 ล้านบาท ก็แล้วทำไมไม่จัดเวทีประชาพิจารณ์เสียเลย แล้วตามด้วย ประชามติ แค่นี้ก็ยุติปัญหาต่างๆ ได้แล้วครับ


1