๔. ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์(มรรค)
มรรค คือ ทางปฏิบัติ(วิธีปฏิบัติ)เพื่อให้ถึงความดับทุกข์(นิพพาน) ซึ่งมีองค์ประกอบ ๘ ประการ คือ เห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ กระทำชอบ อาชีพชอบ เพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ. การจะปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้ถึงความดับทุกข์ได้นั้น จำเป็นจะต้องศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วน เพื่อให้มีการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(เพิ่มข้อมูลอริยสัจ ๔ หรือวิชชา)ในความจำ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการเจริญสมาธิเพื่อการหยุดความคิด สลับกับการเจริญสติเพื่อการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย เพื่อให้เกิดภาวะนิพพานในจิตใจอย่างต่อเนื่องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้. หลักการสำคัญในการดับความทุกข์คือ มีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิด ให้มีความบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง หลักการในการดับกิเลสนั้นง่ายและตรงไปตรงมา กล่าวคือ ท่านต้องตั้งเจตนาที่ถูกต้อง ซึ่งประกอบด้วยความคิดเห็นชอบ(สัมมาทิฏฐิ)และความดำริชอบ(สัมมาสังกัปปะ)ที่จะเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของท่านเอง และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการเฝ้าระวังความคิด หรือคอยรู้เห็นความคิด หรือคอยรู้ทันความคิดของท่านเองอย่างต่อเนื่อง. ทันทีที่ท่านมีสติรู้เห็นหรือทราบว่า ความคิดของท่านมีกิเลสเจือปน หรือกำลังจะคิดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิเลส ให้ท่านฝึกหยุดความคิดนั้น ๆ ทันที โดยไม่รั้งรอแม้แต่วินาทีเดียว และไม่ควรมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น. การฝึกรู้เห็นความคิดและหยุดความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสเช่นนี้ ก็เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านการดับกิเลสและกองทุกข์ไว้ในความจำ รวมทั้งฝึกสมองของท่านเองให้สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายอัตโนมัติ ซึ่งจำเป็นจะต้องฝึกเป็นประจำในชีวิตประจำวันตลอดไป. การฝึกดับความคิดและการกระทำที่เป็นอกุศลเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ท่านควรเพียรฝึกมีสติในการคิดแต่กุศลและทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม รวมทั้งรักษาจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์ผ่องใสไว้เสมอ จึงจะเป็นความสมบูรณ์ของการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา(โอวาทปาฏิโมกข์). เมื่อท่านฝึกดับกิเลสเป็นประจำ ท่านจะมีความชำนาญในการดับกิเลส เมื่อท่านฝึกดับกิเลสที่เจือปนเข้ามาในความคิดและการกระทำต่าง ๆ เป็นประจำด้วยความตั้งใจมั่น(สัมมาสติและสัมมาสมาธิ) และด้วยความเพียร(สัมมาวายามะ)อย่างจริงจัง สมองของท่านก็จะทำหน้าที่จดจำประสบการณ์ของการมีสติในการเฝ้าระวังความคิด และหยุดยั้งความคิดที่มีกิเลสเจือปนอยู่ตลอดเวลา. เมื่อท่านฝึกดับกิเลสไปนาน ๆ เข้า สมองของท่านจะจดจำประสบการณ์ดังกล่าวได้มากขึ้น จึงเป็นผลให้สมองสามารถทำหน้าที่ได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้ท่านมีนิสัยหรือมีพฤติกรรมใหม่ในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีคุณธรรม. บางท่านศึกษาธรรมมามาก ทำให้มีข้อมูลทางทฤษฎีอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้ฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันโดยใช้ข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการคิด และไม่ได้ฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน จึงไม่สามารถดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสให้หมดไปได้. บางท่านศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมมามาก แต่ผิดทาง จึงไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องอยู่ในความจำสำหรับใช้ดับกิเลสและกองทุกข์. ท่านควรเริ่มต้นด้วยการมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ถูกต้องและครบถ้วนตามสมควรอยู่ในความจำ และฝึกใช้ข้อมูลดังกล่าวในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา จึงจะทำให้ท่านมีความชำนาญในการดับกิเลสและกองทุกข์อย่างมีประสิทธิภาพ. ควรฝึกมีสติอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย ธรรมชาติของมนุษย์จะไม่มีสติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกวินาทีหรือในทุกลมหายใจที่เข้าและออก. ดังนั้น ประโยคที่ว่า การฝึกให้มีสติอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นเพียงเป้าหมายของการฝึกปฏิบัติธรรมเท่านั้นเอง ทั้งนี้ ก็เพื่อเร่งรัดให้ท่านฝึกมีความเพียรพยายามที่จะมีสติในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดอยู่ตลอดเวลา. เมื่อท่านฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมไปนาน ๆ เข้า ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของท่านจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จึงเป็นผลให้สมองของท่านสามารถทำหน้าที่ในการกำกับและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมได้โดยง่าย เช่นเดียวกับการทำกิจง่าย ๆ ที่ทำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน จนสมองของท่านสามารถดำเนินการได้เองคล้ายอัตโนมัติ หรือคล้ายสัญชาตญาณเลยทีเดียว เช่น ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านเดินอย่างมีสติอยู่บ้าง พอไปพบสิ่งกีดขวางแบบง่าย ท่านจะสามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายอัตโนมัติเหมือนไม่ต้องคิดเลย. ครั้นเมื่อพบสิ่งกีดขวางที่ยาก ท่านอาจจะต้องใช้เวลาในการคิดตามสมควร เพื่อหาทางผ่านสิ่งกีดขวางไปได้โดยปลอดภัย. ปุถุชนจะสามารถเห็นสิ่งกีดขวางทั่วไปที่เป็นวัตถุและสามารถหลบหลีกได้เป็นอย่างดี แต่มักจะไม่รู้เห็นความคิดที่เป็นอกุศลและไม่สามารถหยุดยั้งความคิดที่เป็นอกุศลได้ทันที เพราะไม่เคยได้รับการฝึกฝนในเรื่องเช่นนี้มาก่อน. การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย ก็เพื่อการพัฒนาจิตใจของท่านให้รู้เห็นความคิดที่เป็นอกุศลได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งดับความคิดที่เป็นอกุศลได้ทันท่วงทีจนเป็นนิสัย ทั้งนี้ ก็เพื่อทำให้ท่านมีความทุกข์น้อยลงเหลือวันละไม่กี่วินาที หรือบางวันไม่มีความทุกข์เลย. เมื่อท่านฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย ถึงแม้จะไม่มีสติอย่างต่อเนื่องในทุกวินาที แต่สมองก็สามารถที่จะทำหน้าที่ในการดับความคิดที่เป็นอกุศลได้อย่างรวดเร็ว เพราะสมองมีความชำนาญหรือมีความเคยชินในการทำหน้าที่ทางธรรมแล้ว เมื่อถึงขั้นตอนนี้ ท่านจะรู้สึกเบาสบาย มีความสุขสงบ และมีภาวะนิพพานในจิตใจอยู่เป็นนิจ. ฝึกตั้งเจตนา พร้อมทั้งมีความตั้งใจและความเพียร ในการดับกิเลสและกองทุกข์ ในชีวิตประจำวัน ท่านจะสังเกตว่า การตั้งเจตนานี้เอง เป็นเครื่องมือตามธรรมชาติของสมองในการกำกับและควบคุมสมองให้ทำกิจต่าง ๆ ตามที่ได้มีเจตนาหรือตามที่ได้ดำริเอาไว้ เช่น เมื่อมีเจตนาจะรับประทานอาหาร สมองก็จะสั่งการให้ร่างกายทำหน้าที่เตรียมพร้อมในการรับประทานอาหาร. การที่สมองสามารถกำกับและควบคุมตัวเองให้เป็นไปตามเจตนานั้น เป็นเรื่องของวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยความจำ ความรู้สึก ความคิด การรับรู้ การเรียนรู้ การฝึกฝนตนเอง ทั้งนี้ เพื่อความอยู่รอด ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน. หลักการและวิธีการในการฝึกปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องง่าย ท่านสามารถศึกษาและเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ. เรื่องที่ยาก แต่ไม่ยากจนเกินไปคือ การมีความเพียรที่จะฝึกฝนตนเองให้ฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีความต่อเนื่องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้. เพื่อให้ท่านสามารถฝึกฝนตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านควรศึกษา สังเกต พิสูจน์เรื่องของการตั้งเจตนา การมีความตั้งใจ และความเพียรว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกสมองให้รู้เห็นและควบคุมความคิดของท่านได้อย่างไร ตามหัวข้อดังต่อไปนี้ :- ความเจตนา(ความเห็นชอบและดำริชอบ) ในที่นี้หมายถึงการตั้งเจตนาอย่างจริงจัง ที่จะทำกิจตามหลักธรรมให้สำเร็จ ซึ่งเกิดขึ้นสืบต่อจากการมีความเห็นชอบ(สัมมาทิฏฐิ)ที่จะศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำและใช้ข้อมูลดังกล่าว ทำการดับกิเลสและกองทุกข์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง. ในยุคปัจจุบัน คำว่า "ความเจตนา" มีความหมายที่ชัดเจน หนักแน่น จริงจัง และตรงประเด็นมากกว่าคำว่า "ความดำริ" ดังนั้น ในที่นี้จึงใช้คำว่า "เจตนา" แทนคำว่า "ดำริ" เป็นการชั่วคราว เพื่อให้ท่านผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญของการตั้งเจตนา. ถ้าท่านไม่มีเจตนาในการศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง สมองก็จะไม่กำกับและควบคุมให้ท่านศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง. ดังนั้น การตั้งเจตนาจึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องกำหนดขึ้น เพื่อให้สมองทำหน้าที่ตามที่ท่านมีความประสงค์ เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง. คนสมัยก่อนใช้คำว่า "อธิษฐานจิต" ซึ่งมีความไพเราะและดูศักดิ์สิทธิ์ เช่น ตั้งสัจจะอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป หรือหลังการสวดมนต์ หรือหลังการทำบุญ หรือหลังศาสนพิธี ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการตั้งเจตนาอย่างจริงจังนั่นเอง. โดยหลักการแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องรอวันเวลาและสถานที่ในการอธิษฐานจิตเลย เพราะท่านสามารถมีเจตนาสั่งสอนตนเอง หรือตักเตือนตนเองได้วันละหลาย ๆ ครั้งด้วยความจริงใจและจริงจัง แต่ไม่ควรบ่อยครั้งเกินไปจนกลายเป็นความเฝือ หรือไม่ควรน้อยเกินไปจนไม่เกิดผล ควรตั้งอยู่ในความพอเหมาะพอควรเช่นกัน. การสอนและตักเตือนตนเองจะช่วยให้ท่านมีข้อมูลความเจตนาอยู่ในความจำมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการพึ่งตนเองที่เรียบง่ายและได้ผลดีมาก. ความตั้งใจ(ความมีสติชอบ) ในที่นี้หมายถึงการมีจิตใจจดจ่อหรือการมีสติตั้งมั่นในการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำและใช้ข้อมูลดังกล่าว ในการดับกิเลสและกองทุกข์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยไม่ปล่อยให้มีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสและไม่ให้เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ. การที่ท่านมีความตั้งใจอย่างจริงจัง(มีสติชอบ)ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ นี้เอง จึงทำให้ท่านมีสติสัมปชัญญะในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมได้เป็นอย่างดี เป็นผลให้เกิดการคิดและการกระทำกิจต่าง ๆ ที่มีความบริสุทธิ์ มีความยุติธรรม และมีคุณค่า. ถ้าท่านไม่มีความตั้งใจอย่างจริงจัง(ไม่มีสัมมาสติ) จะเป็นผลให้ท่านไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจเกิดการคิดฟุ้งซ่านได้บ่อยหรือนาน. เมื่อมีการคิดฟุ้งซ่านบ่อยเข้า ข้อมูลด้านความคิดฟุ้งซ่านในความจำก็จะมีมากขึ้น จนกลายเป็นคนชอบคิดฟุ้งซ่าน ขณะเดียวกัน ข้อมูลด้านการมีสติปัญญาทางธรรมในความจำก็มักจะลดลง เป็นผลให้ความสามารถในการรู้เห็นและควบคุมความคิดลดลงไปด้วย. การตั้งเจตนาว่า จะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรม แต่ยังไม่มีความจริงใจ จึงทำให้ไม่มีความตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำให้เป็นไปตามเจตนาดังกล่าว เป็นผลให้ไม่ประสบความสำเร็จตามที่ควรจะเป็น. ความเพียร(ความเพียรชอบ) ในที่นี้หมายถึงการมีความพยายามอย่างจริงจัง ที่จะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องด้วยความตั้งใจตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้. ความยากของการปฏิบัติธรรม คือ ทำอย่างไรจึงจะมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน. การมีความเพียรที่ยังไม่ดีพอ ก็เพราะสมองยังมีข้อมูลของความเพียรในด้านการปฏิบัติธรรมอยู่ในความจำน้อย เนื่องจากมีการฝึกฝนด้านความเพียรน้อยนั่นเอง. วิธีที่จะทำให้มีความเพียรอย่างต่อเนื่องนั้น ท่านควรฝึกตั้งเจตนาว่า จะมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งหมั่นฝึกฝน หมั่นประเมินผล และคอยตักเตือนตนเองอยู่เสมอว่า "ต้องมีความเพียร ต้องมีความเพียร........". เมื่อท่านฝึกมีความเพียรในการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมไปนาน ๆ เข้า สมองจะมีข้อมูลด้านความเพียรทางธรรมในความจำมากขึ้น จนทำให้ท่านมีนิสัยของการมีความเพียรที่จะศึกษาธรรม พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ส่งผลให้ท่านมีความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์ได้มากขึ้น. ขอเน้นว่า การตั้งเจตนา พร้อมทั้งมีความตั้งใจ และความเพียร ที่จะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมเพื่อการดับกิเลสและกองทุกข์ตามอริยสัจ ๔ เช่นนี้ เป็นกลวิธีที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับใช้ในการกำกับและควบคุมสมองของท่านเองให้ทำกิจต่าง ๆ ตามที่ท่านได้ตั้งเจตนาไว้อย่างมีประสิทธิภาพ. การรู้เห็นและดับความคิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ท่านต้องฝึกฝนเป็นประจำ การรู้เห็นความคิดเป็นเรื่องที่ยากกว่าการรู้เห็นและรู้ทันการกระทำทางร่างกายและคำพูด เพราะการรู้เห็นความคิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขณะเดียวกัน ธรรมชาติของความคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว จนสังเกตหรือรู้เห็นได้ยาก ถ้าไม่มีการตั้งเจตนา ไม่มีความตั้งใจ และไม่มีความเพียร หรือไม่มีประสบการณ์ในการรู้เห็นความคิด แต่จะเป็นเรื่องง่าย ๆ คล้ายอัตโนมัติ ถ้าได้มีการฝึกรู้เห็นและดับความคิดที่เป็นอกุศลเป็นประจำ. วิธีดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสนั้นมีวิธีการที่ง่ายมาก กล่าวคือ เมื่อท่านมีสติรู้เห็นความคิดว่า มีกิเลสเจือปน ให้ท่านตั้งใจมั่นว่า จะไม่คิดต่อไป ความคิดดังกล่าวก็จะดับ(หมดไป)ทันที. เมื่อมีการคิดอย่างเดิมอีก ก็ให้ท่านมีความเพียรที่จะฝึกอย่างเดิมอีก เพื่อที่จะไม่ให้มีการคิดด้วยกิเลสตลอดไป. เมื่อท่านฝึกปฏิบัติธรรมเช่นดังกล่าวแล้วไปสักระยะหนึ่ง ท่านจะพบกับความก้าวหน้าคือ พอเริ่มคิดถึงเรื่องที่อาจจะก่อให้เกิดความทุกข์ ทั้ง ๆ ที่ท่านยังไม่ทันที่จะคิดด้วยกิเลส ท่านก็จะรู้เห็นความคิดและสามารถดับความคิดในเรื่องนั้น ๆ ได้ทันที เช่น เมื่อท่านคิดถึงคนที่ท่านเคยโกรธ ท่านก็รู้เห็นความคิดดังกล่าว พร้อมกับเลิกคิดเรื่องนั้น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสในขั้นต่อไป. ควรฝึกลดหรือดับข้อมูลด้านกิเลสในความจำ เมื่อท่านมีเจตนาคิดด้วยกิเลส หรือมีการคิดฟุ้งซ่านด้วยกิเลส จะทำให้สมองของท่านมีการตื่นตัวที่จะคิดทบทวนข้อมูลด้านกิเลสที่มีอยู่ในความจำ เป็นผลให้ข้อมูลด้านกิเลสในความจำยังคงมีอยู่หรือมีมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก. การทำงานของสมองเช่นนี้ มีลักษณะเหมือนการทบทวนบทเรียนหรือการทำแบบฝึกหัด เพื่อทำให้ข้อมูลวิชานั้น ๆ ยังคงมีอยู่ในความจำ หรือเพิ่มพูนมากขึ้น. การไม่ใช้ข้อมูลด้านกิเลสเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาประกอบการคิด จะทำให้ไม่มีการทบทวนข้อมูลด้านกิเลสเรื่องนั้น ๆ ในความจำ เป็นผลให้ข้อมูลด้านกิเลสในความจำของเรื่องนั้น ๆ ลดลงตามธรรมชาติของสมอง และบางเรื่องอาจหมดไปได้ในที่สุด เช่นเดียวกันกับการที่ท่านลืมเรื่องต่าง ๆ เป็นจำนวนมากที่เกิดขึ้นในอดีต เมื่อท่านไม่ได้คิดทบทวนเรื่องนั้น ๆ อยู่เสมอ. การจะลบข้อมูลด้านกิเลสในความจำให้หมดสิ้นภายในเวลาวันเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะธรรมชาติของสมองในเรื่องของการจางหายของข้อมูลในความจำนั้น ต้องใช้เวลานาน. ยิ่งมีการจดจำข้อมูลด้านกิเลสไว้มาก จำไว้นานและมีการ คิดทบทวนไว้เสมอ ยิ่งจำเป็นจะต้องใช้เวลานานมากขึ้น อาจเป็นแรมปี หรือชั่วชีวิตกันเลยทีเดียว จึงจะสามารถลดข้อมูลดังกล่าวได้เป็นจำนวนมาก. โดยหลักการแล้ว ถ้าท่านสามารถดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส(ดับสังขารในปฏิจจสมุปบาท)ได้หมดอย่างต่อเนื่องตามสมควร ท่านก็จะสามารถลดหรือดับข้อมูลด้านกิเลสในความจำให้หมดไปตามวันเวลาที่ผ่านไปได้ตามสมควรเช่นกัน. ประเด็นสำคัญคือ การจดจำข้อมูลด้านกิเลสนั้น มักจะจดจำได้ง่ายและนาน แต่การจะลบข้อมูลด้านกิเลสในความจำนั้น จะทำได้ยากและใช้เวลานานมาก. ดังนั้น ในทางปฏิบัติ ท่านควรเพียรพยายามที่จะไม่คิดด้วยข้อมูลด้านกิเลสแม้แต่วินาทีเดียว. ควรใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปจึงจะประสบความสำเร็จ การจะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพตามแบบของบุคคลที่ประเสริฐนั้น จะต้องใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและสติปัญญา ทางธรรมที่มีอยู่ในความจำของท่าน ควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน. ถ้าท่านใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกเพียงอย่างเดียวในชีวิตประจำวัน ท่านจะสามารถดับความทุกข์ทางร่างกายได้ แต่ไม่สามารถดับความทุกข์ทางจิตใจของตนเองได้ จึงอาจก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น สังคม สัตว์ สิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในการแก้ปัญหาความทุกข์ทางจิตใจของตนเอง. ถ้าท่านใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมเพียงอย่างเดียวในชีวิตประจำวัน ท่านจะสามารถดับกิเลสและความทุกข์ทางจิตใจของตนเองได้ แต่อาจมีความทุกข์ทางร่างกาย เพราะไม่มีการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกในการแก้ปัญหาความทุกข์ทางร่างกายของตนเอง. การคิด การพิจารณาแก้ปัญหา และการทำกิจต่าง ๆ โดยการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน จะทำให้ท่านสามารถดับความทุกข์ทางร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้น จนทำให้ความคิดของท่านอยู่ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์ได้มากขึ้น และประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรมไปพร้อม ๆ กัน ตามสมควรกับเหตุปัจจัย. การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมควรเริ่มฝึกตั้งแต่ยังเป็นเด็ก การศึกษาเล่าเรียนวิชาการทางธรรมที่น้อยเกินไป อาจทำให้ผู้จบการศึกษาขาดคุณธรรมในการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิต จึงเป็นเหตุให้เกิดความเห็นแก่ตัว ถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นได้อย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งมีความทุกข์ได้โดยไม่รู้ตัวด้วย. การศึกษาเล่าเรียนด้านวิชาการทางโลกและวิชาการทางธรรมจึงจำเป็นต้องทำควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนจบการศึกษา เพื่อช่วยให้ผู้ศึกษาเล่าเรียนมีข้อมูลในเรื่องอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติตั้งแต่อายุยังน้อย จนสามารถฝึกดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพตามแบบอย่างของบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล) ด้วยการมีและการใช้ความรู้คู่คุณธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน. การบริหารจัดการและการให้บริการด้านการศึกษาเพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของเด็กนักเรียน นักศึกษาและนิสิตนั้น เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำมาก ซึ่งต้องการความจริงใจ ความจริงจัง และความเร่งด่วนจากทุกฝ่ายที่รับผิดชอบ. การปล่อยให้สมองของเด็กนักเรียน นักศึกษา และนิสิตจดจำข้อมูลด้านกิเลสไว้เป็นเวลานานและเป็นจำนวนมาก จะเป็นผลให้เด็กนักเรียน นักศึกษาและนิสิตไม่มีความสนใจหรือไม่พอใจที่จะศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เพราะข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมมักจะขัดแย้งกับข้อมูลด้านกิเลสที่ฝังแน่น(หมักดอง)อยู่ในความจำเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว(อาสวะ). ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรที่สามารถดับความทุกข์ได้อย่างจริงจัง ความสามารถในการดับกิเลสและความทุกข์ต้องอาศัยข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติที่มีอยู่ในความจำของท่านเอง เช่นเดียวกันกับความรู้และความสามารถทางโลก(วิชาการ)ของท่าน ซึ่งเกิดขึ้นจากการศึกษาเล่าเรียนและประสบการณ์ชีวิต. วิธีการที่พระพุทธเจ้าช่วยให้ผู้อื่นดับกิเลสและความทุกข์ได้คือ ทรงตรัสสอนเรื่องอริยสัจ ๔ และทรงฝึกอบรมการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้กับผู้สมัครใจที่จะศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมเท่านั้น นั่นก็คือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการดับความทุกข์อย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา. ความคาดหวังที่จะดับความทุกข์โดยขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ช่วยเหลือนั้น เป็นเรื่องของความเชื่อที่สืบต่อกันมาในสังคมไทย และเป็นเรื่องตรงกันข้ามกับหลักการและวิธีการในพระพุทธศาสนา(มีความหลงหรือมีอวิชชา) เพราะพระพุทธศาสนามุ่งเน้นไปที่เรื่องของการพัฒนาสติปัญญาทางธรรม(เพิ่มวิชชา) เพื่อการดับความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔(ดับอวิชชา) และดับความคิดที่เจือปนด้วยข้อมูลด้านกิเลส(ดับสังขารในปฏิจจสมุปบาท)ให้หมดสิ้น. ดังนั้น จึงไม่มีพลังจิตใด ๆ และไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ในโลกนี้หรือนอกโลกนี้ ที่จะทำให้ท่านมีความรู้ความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์ได้โดยไม่ต้องศึกษาธรรมและไม่ต้องฝึกปฏิบัติธรรม หรือมาช่วยดลบันดาลให้ความคิด(จิตใจ)ของท่านบริสุทธิ์ผ่องใสได้เลย. การดับความทุกข์ต้องพึ่งสติปัญญาของตนเอง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ยังไม่มีใครสามารถดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสแทนกันได้เลย แม้กระทั่งในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อทำการเผยแพร่หลักการและวิธีการต่าง ๆ ในการดับกิเลสและกองทุกข์ตามอริยสัจ ๔ ให้กับผู้ที่สนใจจะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นลักษณะของการถ่ายทอดข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของพระพุทธเจ้าไปให้ผู้อื่น ซึ่งไม่ต่างกับการศึกษาเล่าเรียนทั่วไป. การจะดับความทุกข์ทางจิตใจของท่านได้เองนั้น จำเป็นจะต้องพึ่งข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำของ ท่านเอง นั่นคือการที่จะต้องศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร เพื่อให้มีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมอยู่ในความจำ พร้อมทั้งนำเอาความรู้และความสามารถทางธรรมที่เกิดขึ้น มาใช้ในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา.
๔. หลักการและวิธีฝึกเจริญสมาธิ
การฝึกเจริญสมาธิ คือ การฝึกมีสติตั้งมั่นอยู่กับกิจเล็ก ๆ และง่าย ๆ เพียงกิจเดียว เพื่อหยุดความคิด ดับความทุกข์ พร้อมทั้งพักผ่อนการทำงานของสมองและร่างกายอย่างมีสติสัมปชัญญะในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ. หลักการสำคัญของการเจริญสมาธิ คือ ให้ฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียว(เอกัคคตา) โดยไม่ใช้สมองไปในการรับรู้ข้อมูล หรือนึกคิดเรื่องอื่นใด(อุเบกขา). วิธีการในการฝึกเจริญสมาธิเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ทุกท่านสามารถฝึกได้และได้รับผลทันทีที่ฝึก ยกเว้นผู้ที่มีปัญหาทางสมอง หรือเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง. ขอให้ทุกท่านสบายใจได้ว่า การบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องมีสมาธิตั้งมั่นเป็นเวลานาน ๆ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว การบรรลุธรรมในสมัยพุทธกาลคงต้องใช้เวลานานมาก เพื่อฝึกฝนการเจริญสมาธิให้ตั้งมั่นเป็นเวลานาน. การจะบรรลุธรรมในขั้นต้นนั้น เกิดขึ้นได้จากการที่ท่านเข้าใจเนื้อหาของอริยสัจ ๔ และเริ่มฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ในขั้นเริ่มต้นได้ถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร จึงจะทำให้ท่านสามารถเริ่มรู้เห็นและควบคุมความคิดของท่านไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสได้ตามสมควรกับเหตุปัจจัย. สติสัมปชัญญะคืออะไร ขณะที่ท่านมีเจตนาทำกิจใด ๆ ด้วยความตั้งใจ ภาวะของการมี สติ จะเกิดขึ้นทันที เมื่อมีสติเกิดขึ้น สัมปชัญญะ คือ การรู้รายละเอียดในเรื่องที่กำลังตั้งใจกระทำอยู่นั้น ก็จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง. ดังนั้น ที่ไหนมีสติ ที่นั่นจะมีสัมปชัญญะ. เพื่อให้ข้อความกระชับ คำว่า "สติ" จึงหมายถึงสติและสัมปชัญญะ แต่เนื่องจากสติที่กล่าวถึง ส่วนใหญ่เป็น "สติทางธรรม" ดังนั้น "สติ" ในที่นี้จึงหมายถึง "สติทางธรรม" ด้วย. สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นในขณะที่ท่านกำลังทำกิจต่าง ๆ ด้วยความตั้งใจ ไม่ว่ากิจนั้นจะดี หรือชั่ว หรือไม่ดีไม่ชั่ว. เพื่อป้องกันความสับสน จึงไม่ใช้ประโยคที่ว่า "สติสัมปชัญญะในด้านกิเลส" แต่จะใช้คำว่า "กิเลส" หรือ "ข้อมูลด้านกิเลส" แทน. ในหนังสือเล่มนี้จะใช้คำว่า "ข้อมูลด้านกิเลส" บ่อยครั้ง เพื่อเน้นให้ท่านรู้เห็นพิษภัยจากการมีข้อมูลด้านกิเลสอยู่ในจิตใจ. การฝึกเจริญสมาธิต้องใช้ข้อมูลด้านสมาธิในความจำ การศึกษาเรื่องสมาธิชอบในมรรคมีองค์ ๘ และการฝึกเจริญสมาธิ จะทำให้มีการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสมาธิในความจำ. ถ้าข้อมูลด้านสมาธิในความจำไม่ถูกต้อง การฝึกเจริญสมาธิก็จะผิดทาง และอาจเป็นทุกข์มากขึ้น. ถ้าข้อมูลด้านสมาธิในความจำถูกต้อง การฝึกเจริญสมาธิจะถูกทาง เป็นผลให้ท่านสามารถหยุดความคิด ได้พักสมอง ได้พักร่างกายอย่างมีสติ มีความสุขสงบ และไม่มีความทุกข์. การฝึกเจริญสมาธิต้องใช้ข้อมูลด้านการเจริญสมาธิที่มีอยู่ในความจำมาเป็นข้อมูลในการฝึก. เมื่อฝึกไปนาน ๆ เข้า ข้อมูลด้านสมาธิในความจำก็จะมีมากขึ้นตามลำดับ เป็นผลให้ท่านมีความสามารถในการหยุดความคิดได้เร็วขึ้นและนานขึ้นด้วย. ถ้าท่านว่างเว้นจากการเจริญสมาธิเป็นเวลานาน ข้อมูลความรู้และความสามารถด้านการเจริญสมาธิในความจำของท่านก็จะลดลงไปด้วย เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง. ตามพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าทรงเจริญสมาธิจนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ(ปรินิพพาน) ซึ่งเป็นตัวอย่างให้ท่านรู้ว่า การปฏิบัติธรรมเป็นกิจของชาวพุทธตลอดชีวิต. การเจริญสมาธิเป็นการฝึกสติทางธรรมล้วน ๆ การฝึกเจริญสมาธิด้วยการฝึกมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก ซึ่งเป็นกิจเล็ก ๆ และง่าย ๆ เพียงกิจเดียว โดยไม่คิดเรื่องใด ๆ และไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน จึงเท่ากับเป็นการฝึกสติทางธรรมล้วน ๆ อย่างเข้มข้น. การฝึกเจริญสมาธิโดยมีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ เพียงกิจเดียว(เอกัคคตา) จะช่วยให้ท่านสามารถตรวจสอบความต่อเนื่องของการมีสติได้โดยง่ายว่า มีการเผลอสติบ่อยและนานเพียงใด. ขณะฝึกเจริญสมาธิแล้วเผลอสติไปคิดเรื่องอะไรก็ตาม สมองก็จะจดจำความคิดบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้วไว้ได้ ครั้นเมื่อท่านมีสติกลับคืนมา ท่านก็จะสามารถรู้เห็นเรื่องราวต่าง ๆ ของจิตใจ(ความรู้สึกนึกคิด)ของท่านเอง ว่ามีการคิดวนเวียนในเรื่องอะไร มีกิเลสเจือปนหรือไม่ และถ้ามีกิเลสเจือปน เป็นผลให้ท่านมีความทุกข์เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด. การฝึกเจริญสมาธิล้วน ๆ จะไม่พ้นทุกข์อย่างต่อเนื่อง การฝึกเจริญสมาธิเพียงอย่างเดียวจะพ้นทุกข์ในขณะที่มีสมาธิตั้งมั่น เพราะขณะที่สมาธิกำลังตั้งมั่นอยู่นั้น จะไม่มีการคิดเรื่องอื่นใด(หยุดคิด) แต่เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ท่านจำเป็นจะต้องอาศัยทั้งสติทางธรรมและปัญญาทางธรรมในการรู้เห็นและควบคุมความคิดอยู่ตลอดเวลา จึงจะสามารถป้องกันไม่ให้มีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้อย่างต่อเนื่อง. พระพุทธเจ้าทรงเคยฝึกเจริญสมาธิหรือฝึกสติล้วน ๆ มาก่อน จนสามารถมีสมาธิตั้งมั่น(บรรลุฌาน)ขั้นสูงสุด แต่พระองค์ก็ยังไม่สามารถพ้นทุกข์หรือบรรลุภาวะนิพพานในพระทัยได้อย่างต่อเนื่อง ทรงมีแค่ความพ้นทุกข์ชั่วคราวในขณะที่ทรงเจริญสมาธิเท่านั้น. ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงใช้พระสติปัญญาในการศึกษาพระวรกายและพระทัยของพระองค์เองอย่างละเอียดและแยบคาย(โยนิโสมนสิการ) จนสามารถตรัสรู้ธรรมชาติของพระวรกายและพระทัยของพระองค์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์ทางพระทัย หรือตรัสรู้อริยสัจ ๔ พร้อมทั้งทรงปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้พระพุทธเจ้าทรงพ้นจากทุกข์ทางพระทัยได้อย่างต่อเนื่อง. รูปแบบต่าง ๆ ในการฝึกเจริญสมาธิ พระอาจารย์หลายท่านที่ผ่านมาในอดีต ได้คิดค้นหาวิธีฝึกเจริญสมาธิหรือฝึกเจริญสติเบื้องต้น เพื่อช่วยให้ผู้ที่ไปฝึกด้วยสามารถเริ่มต้นฝึกได้โดยง่าย เช่น การใช้วิธีรับรู้ความรู้สึกที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของอวัยวะ หรือสร้างมโนภาพ หรือบริกรรมต่าง ๆ เป็นต้น. ทั้งนี้ เพื่อให้ท่านที่ฝึกปฏิบัติธรรม สามารถฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ได้ง่าย ชัดเจน และเกิดภาวะของการมีสติตั้งมั่นได้ง่ายขึ้น. การสอนปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่าง ๆ ที่นอกเหนือไปจากที่ได้แสดงไว้ในพระไตรปิฎกนั้น จัดว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะข้อมูลพื้นฐานของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน การตีความก็แตกต่างกัน จึงทำให้การสอนแตกต่างกันไป ตามแต่เหตุปัจจัยเหล่านั้น. พระอาจารย์และอาจารย์บางท่านสอนให้นับเลขทุกครั้งที่หายใจเข้าออก หรือสอนให้บริกรรมเป็นคำพูดต่าง ๆ ร่วมด้วย เพื่อเพิ่มกิจให้สมองทำงานมากกว่าหนึ่งอย่าง. การบริกรรมร่วมด้วยจะช่วยลดจำนวนครั้ง และลดระยะเวลาของการเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน เพราะขณะบริกรรมอยู่นั้น จะมีการใช้สมองให้ทำงานมากขึ้น จนสมองมีโอกาสน้อยลงที่จะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้เจตนาคิด. การมีสติใช้สมองและร่างกายให้ทำงานน้อยที่สุดในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ โดยการมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก ซึ่งเป็นกิจเล็ก ๆ ง่าย ๆ เพียงกิจเดียวเท่านั้น(เอกัคคตา) จัดว่า เป็นหลักการและวิธีการเจริญสมาธิ ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานที่ทุกท่านควรทดลองฝึกดู. การฝึกเจริญสมาธิตามแบบต่าง ๆ เป็นของดีแต่อย่าหยุดอยู่เพียงแค่นั้น การฝึกปฏิบัติธรรมตามรูปแบบต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ดีงาม เพราะมีพระอาจารย์และอาจารย์ช่วยฝึกอบรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ท่านสามารถเริ่มต้นฝึกปฏิบัติธรรมได้โดยง่าย และอาจตรงกับจริตของท่านในช่วงที่ท่านเริ่มต้นฝึก. ต่อมา ท่านควรศึกษารูปแบบของการเจริญสมาธิที่ได้แสดงไว้ในพระไตรปิฎก รวมทั้งจากพระอาจารย์และอาจารย์ต่าง ๆ ด้วย เพื่อเปิดวิสัยทัศน์ของท่านเองให้กว้างขวางออกไป พร้อมกับทดลองฝึกปฏิบัติธรรมเพื่อพิสูจน์ผลด้วยตนเอง โดยเทียบเคียงกับเนื้อหาที่ศึกษาจากพระไตรปิฎกเสมอ จึงจะเป็นการศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์ที่สุด. ส่วนใหญ่ของพระอาจารย์และอาจารย์ในพระพุทธศาสนา ต่างก็ศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎกและพยายามทำหน้าที่ในการช่วยให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าใจเนื้อหาของอริยสัจ ๔ ในพระไตรปิฎก(ของประเทศไทย). ความรู้ต่าง ๆ ที่ท่านได้รับมาจากพระอาจารย์และอาจารย์ต่าง ๆ จะช่วยให้ท่านสามารถฝึกปฏิบัติธรรมและพิสูจน์ผลของการปฏิบัติธรรมว่า ตรงกับเนื้อหาในอริยสัจ ๔ ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎกหรือไม่ ด้วยตัวของท่านเอง นี่คือโอกาสดีของคนไทยเลยทีเดียว. เนื้อหาในพระไตรปิฎกที่ท่านควรศึกษา คือ เรื่องอริยสัจ ๔ ซึ่งท่านสามารถศึกษาจากเอกสารทางธรรมต่าง ๆ เช่น หนังสือพุทธธรรม โดยพระธรรมปิฏก(ป.อ.ประยุตฺโต) หนังสือต่าง ๆ และแผ่นซีดีที่สำเนาเนื้อหามาจากพระไตรปิฎก รวมทั้งพระไตรปิฎกฉบับย่อและฉบับต่าง ๆ ทั้งเล่มเล็กเล่มใหญ่ โดยท่านไม่จำเป็นต้องจัดซื้อพระไตรปิฎกทั้งตู้ไว้เป็นของส่วนตัว. ท่าของการฝึกเจริญสมาธิ ท่านควรเลือกที่นั่งให้เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการฝึกเจริญสมาธิ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายจากการเผลอสติหรือหลับในแล้วพลัดตกลงมา. ท่านควรฝึกนั่งตัวตรง ดำรงจิตมั่น ไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน แต่ไม่ควรเร่งสติหรือตั้งใจมากเกินไป จนเกิดความเครียดหรือมีอาการเกร็งไปหมด. ท่านควรฝึกตั้งจิตมั่นในระดับพอเหมาะพอควร(ตามทางสายกลาง) โดยสังเกตว่า ขณะฝึกปฏิบัติจะต้องมีความรู้สึกเบาสบาย กล้ามเนื้อทั้งตัวมีความผ่อนคลาย มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปล่อยวางทุกเรื่องให้หมด คงเหลือแต่เพียงการรับรู้ความรู้สึกแผ่ว ๆ ของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียวเท่านั้น. เพื่อที่ท่านจะได้ฝึกเจริญสมาธิในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ ท่านควรฝึกเจริญสมาธิในท่าที่ท่านเคยนั่งตามปกติ โดยไม่ต้องรอโอกาสที่จะนั่งขัดสมาธิกับพื้นตามรูปแบบที่นิยมกันในอดีตเสียก่อน แล้วจึงค่อยฝึกเจริญสมาธิ. ถ้าท่านมีความพร้อมที่จะนั่งขัดสมาธิบนพื้นตามรูปแบบเดิม ท่านก็สามารถทำได้ตามอัธยาศัย. การฝึกเจริญสมาธิในท่านอนก็ทำได้เช่นกัน แต่ต้องระวัง เพราะท่านอาจจะเผลอสติหรือนอนหลับไปได้โดยง่าย. ถ้าจะฝึกเจริญสมาธิ ท่านควรอยู่ในท่านอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ ตามความเหมาะสมกับเหตุปัจจัย. การฝึกเจริญสมาธิในท่านอนตะแคง จัดว่าเป็นท่าที่เป็นทางสายกลางของอิริยาบถนอน คือ จะไม่หลับง่ายเหมือนท่านอนหงาย และไม่ลำบากร่างกายเหมือนในท่านอนคว่ำ. การเจริญสมาธิในอิริยาบถนอนจะช่วยให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนดีที่สุด จึงเหมาะสำหรับใช้ในการปรับเปลี่ยนอิริยาบถเป็นครั้งคราว. การฝึกปฏิบัติธรรมในท่ายืน ในท่าเดิน และในขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ใช่การฝึกเจริญสมาธิ ในที่นี้จัดว่าเป็นการฝึกเจริญสติ เพราะต้องแบ่งสติไปใช้หลายด้าน(หลายกิจ) เพื่อให้มีความปลอดภัย เช่น ใช้ในการรับรู้ข้อมูลการทรงตัว การก้าวเดิน การคิด เป็นต้น. วิธีฝึกเจริญสมาธิและแก้ปัญหาต่าง ๆ ของการเจริญสมาธิ วัตถุประสงค์ของการฝึกเจริญสมาธิ(สัมมาสมาธิ) คือ การฝึกมีสติทำกิจเล็ก ๆ และง่าย ๆ เพียงกิจเดียว(เอกัคคตา) หรือ "มีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเพียงกิจเดียวเท่านั้น" ซึ่งเป็นการฝึกกำกับและควบคุมการทำงานของสมอง ให้มีสติหรือมีความตั้งใจในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียวอย่างต่อเนื่องและนานตามสมควร โดยไม่รับรู้ข้อมูลอื่น ๆ ไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน และไม่หลับใน. ตามพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าทรงเจริญอานาปานสติสมาธิมาโดยตลอด ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ในระหว่างการค้นคว้าธรรมก่อนการตรัสรู้ ภายหลังการตรัสรู้แล้ว จนถึงวาระของปรินิพพาน. ตามหลักฐานที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสสอน "อานาปานสติสมาธิ" เป็นหลัก ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานของการเจริญสัมมาสมาธิตามมรรคมีองค์ ๘. วิธีฝึกเจริญสมาธิตามรูปแบบอานาปานสติสมาธิ คือ การฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียว กล่าวคือ พอลมหายใจผ่านเข้าตรงรูจมูก ก็มีสติรับรู้ความรู้สึกตรงรูจมูกว่า ลมหายใจกำลังผ่านเข้า พอลมหายใจผ่านออกตรงรูจมูก ก็มีสติรับรู้ความรู้สึกว่า ลมหายใจกำลังผ่านออก เท่านั้นเอง. บางท่านที่ไม่เคยฝึกอานาปานสติสมาธิมาก่อน อาจจะรู้สึกว่า การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเป็นของยาก แต่ขอยืนยันว่า เมื่อท่านตั้งใจฝึกฝนตนเองได้ไม่นานนัก ก็จะกลับกลายเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ เหมือนกับการที่ท่านรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสต่าง ๆ นั่นเอง เพียงแต่เป็นการรับรู้ความรู้สึกสัมผัสเบา ๆ ของลมหายใจผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเท่านั้นเอง. ท่านที่เริ่มฝึกใหม่ ๆ อาจรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกนั้น จะสัมผัสเบา ๆ ที่รูจมูก. ถ้าท่านประสงค์จะรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น ท่านควรหายใจให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย แล้วท่านจะรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น จากนั้นจึงค่อย ๆ ผ่อนการหายใจให้กลับมาเป็นปกติ. เมื่อท่านฝึกได้สักระยะหนึ่ง ท่านจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า การรับรู้ความรู้สึกสัมผัสที่เบา ๆ กลับกลายเป็นของดี เพราะมีความละเอียดอ่อน มีความสงบทั้งใจและกาย มีความประณีต มีความเบาสบาย(ปีติ) มีความสุขสงบ(ปัสสัทธิ) ไม่เครียด ไม่ต้องใช้ตาเพ่ง ไม่ต้องใช้ใจเพ่ง ไม่เหนื่อยกาย ไม่เหนื่อยใจ ไม่ต้องใช้สมองมาก จึงทำให้สมองและร่างกายได้พักผ่อนอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับได้ดีที่สุด. เมื่อท่านรู้เห็นว่า มีการเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน หรือสร้างจินตนาการ หรือสร้างมโนภาพ ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกต่อไป. เมื่อท่านสามารถหยุดความคิดได้ดี สมองก็จะทำหน้าที่เพียงแค่การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก เพียงกิจเดียวเท่านั้นเอง จึงเป็นผลให้ร่างกาย สมองหรือจิตใจได้รับการพักผ่อนด้วยความมีสติ. ท่านไม่ควรเร่งสติ(เร่งความตั้งใจ)มากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด เพราะจะทำให้สมองและร่างกายไม่ได้พัก และไม่ควรทำแบบสบายจนเกินไป จนกลายเป็นความย่อหย่อน หรือง่วงนอน แต่ให้ตั้งอยู่ในทางสายกลาง. ท่านไม่ควรฝึกเจริญสมาธินานเกินไปจนกลายเป็นการเบียดเบียนร่างกายของท่านเอง และไม่ควรฝึกน้อยจนเกินไปกลายเป็นความเกียจคร้าน คงให้ถือปฏิบัติตามทางสายกลาง คือ ความพอเหมาะและพอควรกับสภาพของร่างกาย จิตใจ เพศ อายุ ประสบการณ์ของแต่ละท่าน และเหตุปัจจัยในขณะนั้นด้วย. ขณะฝึกเจริญสมาธิอยู่นั้น ท่านควรมุ่งตรงต่อการมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียว(เอกัคคตา)โดยไม่ต้องคอยเป็นห่วงว่า ท่านกำลังมีสมาธิตั้งมั่นอยู่ที่ระดับใด(ระดับของฌาน) เพราะอาจทำให้ท่านคิดฟุ้งซ่านได้โดยง่าย. ในช่วงแรกของการฝึกเจริญสมาธิ บางท่านอาจบริกรรมร่วมด้วยก็ได้ เช่น นับจำนวนครั้งของการหายใจ หรือบริกรรมอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อให้จิตใจของท่านสงบเร็วขึ้นก็ได้. เมื่อท่านเก่งขึ้นบ้างแล้ว ท่านควรฝึกมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียว(เอกัคคตา)โดยไม่ต้องบริกรรม เพื่อลดการใช้งานของสมอง หรือให้สมองได้พักผ่อนมากที่สุดในขณะที่กำลังเจริญสมาธิอยู่ ซึ่งเป็นหลักการและวิธีปฏิบัติธรรมที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก. ขณะฝึกเจริญสมาธิ ท่านควรพยายามฝึกให้มีสติตั้งมั่นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อให้มีความชำนาญในการหยุดความคิดได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน. ขณะที่ท่านสามารถหยุดความคิดไม่ให้ไปคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่นั้น จิตใจของท่านจะว่างจากกิเลสและกองทุกข์ เข้าถึงภาวะนิพพานเป็นการชั่วคราว. ความยากของการเจริญสมาธิ คือ ความต่อเนื่องของสมาธิ ซึ่งต้องอาศัยความเพียรพยายามที่จะฝึกฝนการเจริญสมาธิเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ข้อมูลด้านการเจริญสมาธิในความจำมีมากขึ้น และท่านควรเจริญสมาธิในชีวิตประจำวันตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการลดลงของข้อมูลด้านนี้. ปัญหาที่พบของผู้เริ่มต้นฝึกเจริญสมาธิและมักเป็นเหตุให้เลิกลาไป คือ ไม่สามารถหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้ดีตามต้องการ ซึ่งน่าจะเป็นข้ออ้างมากกว่า. อันที่จริงแล้ว ยิ่งมีความคิดฟุ้งซ่านมากเท่าไร ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ให้รู้เห็นชัดเจนว่า จะต้องฝึกเจริญสมาธิอย่างจริงจังต่อไป. การรู้ทันความขี้เกียจ พร้อมกับมีความตั้งใจและความเพียรอย่างจริงจังในการฝึกเจริญสมาธิเป็นประจำ จะทำให้สติมีพละกำลัง(มีความสามารถ)ที่จะหยุดความคิดได้ดี หยุดได้รวดเร็ว และหยุดได้นานขึ้น เนื่องจากมีข้อมูลในเรื่องการเจริญสมาธิทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอยู่ในความจำมากขึ้น. โดยธรรมชาติของคนทั่วไป การเจริญสมาธิจนถึงขั้นเกิดความตั้งมั่นของจิตใจในทุกขณะ คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสมองมนุษย์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์หรือเครื่องกล. หน้าที่ของท่าน คือ พยายามที่จะฝึกให้มีสมาธิตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องได้นานตามสมควรกับเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง. ครั้นเมื่อท่านออก(เปลื้องออก)จากสมาธิแล้ว ท่านจะได้ใช้สมองที่ได้ผ่านการพักผ่อนมาตามสมควรแล้ว ไปทำหน้าที่ในเรื่องของการมีสติใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมคำสอนอย่างต่อเนื่องทั้งวัน. การเจริญสมาธิสลับกับการเจริญสติในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการปฏิบัติธรรมด้วยความพอเหมาะพอควร จะป้องกันปัญหาความล้าของสมอง. เพราะถ้าสมองล้ามาก ๆ ก็จะไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ดีเช่นยามปกติ จึงอาจทำให้เกิดอาการของสติฟั่นเฟือนไปชั่วคราวได้โดยง่าย. ภาวะนิพพานชั่วคราวขณะมีสมาธิตั้งมั่น ในขณะฝึกเจริญสมาธิและไม่ได้เผลอสติคิดฟุ้งซ่านเรื่องต่าง ๆ ท่านจะไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง และไม่มีความทุกข์ ภาวะเช่นนี้ตรงกับภาวะของความพ้นทุกข์ทางจิตใจ(ภาวะนิพพาน)ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก. ถ้าท่านมีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิได้นาน ภาวะนิพพานในจิตใจก็จะเกิดขึ้นได้นานด้วย. ในชีวิตประจำวัน การเจริญสมาธิอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น เมื่อท่านเจริญสมาธิได้สักระยะเวลาหนึ่งแล้ว ท่านก็ควรออกจากสมาธิเพื่อทำกิจต่าง ๆ ต่อไป. ขณะที่ท่านทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ท่านควรเจริญสติเพื่อการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสอยู่ตลอดเวลา. เมื่อใดก็ตามที่ท่านมีเจตนาคิดหรือเผลอสติไปคิดด้วยข้อมูลด้านกิเลส เมื่อนั้น จิตใจของท่านก็จะขุ่นมัว ไม่บริสุทธิ์ผ่องใส(ไม่ประภัสสร) เป็นผลให้ภาวะนิพพานในจิตใจของท่านพลอยจางหายไปหรือหมดไปด้วย. การฝึกเจริญสมาธิพร้อมกับหลับตาไปด้วย คนทั่วไปมักจะคุ้นกับการฝึกเจริญสมาธิพร้อมกับหลับตาไปด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับท่านที่เริ่มต้นฝึกใหม่ ๆ หรือเหมาะสมกับการฝึกที่บ้าน ที่วัด และในที่ปลอดภัย. การฝึกเจริญสมาธิพร้อมกับหลับตา หรือปิดตา หรืออยู่ในที่มืด หรืออยู่ในสถานที่มิดชิด จะทำให้ท่านสามารถหยุดความคิด(จิตใจสงบ)ได้เร็ว เพราะไม่มีสิ่งกระตุ้นที่เข้ามาทางตา. เนื่องจากการรับรู้ข้อมูลทางตานั้น สามารถรับข้อมูลได้มาก ได้กว้าง ได้ไกล และละเอียดอ่อน. ดังนั้น การเจริญสมาธิพร้อมกับลืมตาไปด้วย จึงทำให้มีโอกาสที่จะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านตามข้อมูลต่าง ๆ ที่รับเข้ามาทางตาได้โดยง่าย. การฝึกเจริญสมาธิพร้อมกับหลับตาจะช่วยให้สมาธิตั้งมั่นได้เร็ว ทำให้ร่างกาย สายตา และสมองได้พักผ่อนมากขึ้น ถึงแม้จะใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ในการเจริญสมาธิ จึงเหมาะสำหรับการฝึกพักผ่อนสมอง ร่างกาย และสายตาอย่างมีสติในสถานที่ปลอดภัย แต่ไม่เหมาะสำหรับการฝึกเจริญสมาธิในระหว่างปฏิบัติงาน และระหว่างการทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน. การฝึกเจริญสมาธิพร้อมกับหลับตาในสถานที่ไม่ปลอดภัย อาจเป็นเหตุให้ท่านได้รับอันตรายจากสิ่งแวดล้อม การโจรกรรม และอุบัติเหตุได้โดยง่าย เนื่องจากขณะเจริญสมาธิอยู่นั้น สมองของท่านจะมุ่งไปในเรื่องของการรับรู้ข้อมูลอยู่กับกิจเล็ก ๆ เพียงกิจเดียวเท่านั้นเอง จะไม่มีการใช้สติปัญญาในเรื่องอื่น ๆ จึงทำให้ท่านไม่สามารถรับรู้ข้อมูลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทางตาและทางอวัยวะต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ท่านไม่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เช่นปกติ อีกทั้งยังเป็นเป้าสายตา และบางครั้งอาจถูกตำหนิจากผู้ข้างเคียงได้อีกด้วย. ควรฝึกเจริญสมาธิโดยไม่ต้องหลับตาด้วย การเจริญสมาธิในพุทธศาสนาไม่ต้องหลับตาก็ได้ เพราะข้อมูลด้านการเจริญสมาธิในพระไตรปิฎกไม่ได้แสดงไว้ว่า จะต้องหลับตาในขณะเจริญสมาธิ. ในระหว่างปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกเจริญสมาธิในสถานที่ปลอดภัย โดยไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องรอเวลา และไม่ต้องแสวงหาสถานที่สงบสำหรับการฝึกอีกต่อไป เพราะวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติธรรม คือ ควรปฏิบัติธรรมควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องรอเวลาและสถานที่สงบเสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติธรรม. การเจริญสมาธิพร้อมกับหลับตาก็เหมือนกับการเจริญสมาธิโดยการอุดหู เพราะเป็นการบังคับไม่ให้เห็นและไม่ให้ได้ยิน. ในชีวิตประจำวัน ท่านจะไปบังคับตัวเองให้ไม่เห็น ให้ไม่ได้ยิน ให้ไม่ได้กลิ่น ให้ไม่ได้รส ให้ไม่รับรู้การสัมผัสทางกายและทางใจนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และไม่ควรคิดทำด้วย เพราะการฝึกปฏิบัติธรรมเป็นการฝึกหยุดความคิด ฝึกรู้เห็นและควบคุมความคิดในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน หรือในขณะที่มีการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ตลอดเวลา. ดังนั้น ถ้าท่านไม่ฝึกเจริญสมาธิในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน ท่านก็จะไม่มีความสามารถในการหยุดความคิด และไม่สามารถดับความทุกข์ในชีวิตประจำวันได้. ควรฝึกเจริญสมาธิในระหว่างทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกเจริญสมาธิในระหว่างทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อการพักผ่อนร่างกายและสมองอย่างมีสติ. ท่านจะนั่งแบบไหนก็ได้ ขอเพียงให้ท่านฝึกมีสติตั้งที่ฐานหลักของสติเพียงกิจเดียวเท่านั้น คือ มีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียวโดยพยายามไม่รับรู้ข้อมูลอื่น ๆ แต่ท่านต้องอยู่ในสถานที่ปลอดภัยตามสมควร. ท่านควรฝึกพักการทำงานของร่างกายและสมองในชีวิตประจำวันอย่างมีสติด้วยการเจริญสมาธิโดยไม่ต้องหลับตา. ในที่ทำงาน ท่านอาจใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ในการเจริญสมาธิครั้งละไม่ถึง ๓๐ - ๖๐ วินาทีหลังจากทำงานไปแล้ว ๓๐ - ๖๐ นาที หรือตามความเหมาะสมกับเหตุปัจจัยต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ใครสังเกตรู้ว่า ท่านกำลังพักด้วยการเจริญสมาธิอยู่. ที่บ้าน ท่านอาจจะเจริญสมาธิครั้งละ ๕ - ๓๐ นาที หรือตามความเหมาะสมกับเหตุปัจจัยต่าง ๆ. ถึงแม้จะเป็นการเจริญสมาธิในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็สามารถช่วยให้สมองของท่านได้พักผ่อนอย่างรวดเร็ว เป็นการลดความล้าของสมองลงได้บ้าง ขณะเดียวกัน จะป้องกันความคิดฟุ้งซ่านในขณะทำงานอย่างต่อเนื่องโดยไม่พัก และช่วยให้ท่านสามารถทำงานต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ในขณะปฏิบัติงาน ท่านควรเจริญสมาธิในท่าปกติที่ท่านกำลังทำกิจอยู่ เช่นกำลังนั่งเขียนหนังสือ ท่านก็สามารถเจริญสมาธิในท่านั่งเขียนหนังสือ ไม่ควรปรับเปลี่ยนมาเป็นท่านั่งสมาธิตามรูปแบบที่นิยมกันในสถานฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้ไม่เป็นที่สะดุดตาของผู้พบเห็น. ท่านไม่ควรบอกใครแม้แต่คนเดียว และไม่แสดงตัวเลยว่า ท่านฝึกเจริญสมาธิในขณะทำงาน เพื่อป้องกันการเพ่งเล็งและกล่าวร้ายจากผู้ข้างเคียง. ขณะที่ท่านอยู่ในสถานที่ไม่ปลอดภัย เช่น ขณะนั่งอยู่ในรถส่วนตัวหรือรถโดยสาร ท่านไม่ควรฝึกเจริญสมาธิ เพราะขณะสมาธิตั้งมั่น ท่านจะไม่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่จะแก้สถานการณ์จากการโจรกรรมและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ แต่ให้ฝึกเจริญสติหรือฝึกมีสติในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกควบคู่ไปกับการใช้สติปัญญาทางธรรม ทำการระมัดระวังตนเองให้ปลอดภัยในขณะเดินทาง หรือให้รอดพ้นจากอันตรายรอบด้านโดยไม่มีความทุกข์.
๔. หลักการและวิธีฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรม (เจริญสติ)
การเจริญสติปัญญาทางธรรม(เจริญสติ)เป็นเนื้อหาสำคัญของสัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘ และเป็นวิธีการสำคัญมาก ๆ สำหรับใช้ดับกิเลสและกองทุกข์ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ท่านไม่ได้เจริญสมาธิอยู่. คนไทยส่วนมากไม่ค่อยได้ศึกษาธรรมและไม่ได้ฝึกปฏิบัติธรรมตามเนื้อหาของสัมมาสติอย่างจริงจัง จึงทำให้ความรู้และความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์มีไม่มากเท่าที่ควร. ในชีวิตประจำวัน การเจริญสมาธิอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกท่านจำเป็นจะต้องทำกิจต่าง ๆ มากมาย เพื่อดับความทุกข์ทางร่างกาย ดับความทุกข์ทางจิตใจ รวมทั้งรักษาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน. การดำเนินชีวิตประจำวันโดยไม่ให้มีความทุกข์ได้นั้น จำเป็นจะต้องเจริญสติปัญญาทางธรรมเพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ และใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อการรู้เห็นและควบคุมความคิด ไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสอย่างต่อเนื่อง จึงจะไม่เกิดความทุกข์. การเจริญสติปัญญาทางธรรมตามแบบมาตรฐาน การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมในหนังสือเล่มนี้ เป็นรูปแบบของการเจริญสติที่ย่อมาจากเรื่องสติชอบ(สติปัฏฐาน ๔ และอานาปานสติวิปัสสนาสติปัฏฐาน ๔) ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก พร้อมทั้งปรับเนื้อหาให้เหมาะกับการสื่อ ความหมายเป็นภาษาปัจจุบัน เพื่อแนะนำให้ท่านผู้อ่านสามารถทดลองฝึกปฏิบัติธรรมด้วยตนเองได้โดยง่าย. การเข้าใจและจดจำเนื้อหาในเรื่องของสัมมาสติ รวมทั้งมีประสบการณ์ในการฝึกเจริญสติตามรูปแบบที่นำเสนอจนได้รับผลตามสมควรแล้ว จะช่วยให้ท่านสามารถศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎก พระอาจารย์ อาจารย์ต่าง ๆ ได้โดยง่าย และช่วยลดปัญหาการหลงทาง ลดความสงสัยในเนื้อหาของอริยสัจ ๔ (ลดวิจิกิจฉา) เพราะท่านจะสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาของธรรม พร้อมทั้งคัดแยกธรรมที่ต้องการศึกษาและจดจำได้ง่ายขึ้น. ท่านที่ยังไม่เคยฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมมาก่อน หรือเคยฝึกแบบอื่น ๆ มาบ้างแล้ว ก็ควรถือโอกาสนี้ฝึกตามรูปแบบที่ นำเสนอเสียเลย เพื่อเสริมความรู้ของท่าน เพราะเป็นเรื่องง่าย ๆ ถ้าท่านเข้าใจหลักการ วิธีการ และเหตุผลต่าง ๆ ที่นำเสนอได้ตามสมควร. องค์ประกอบของการเจริญสติปัญญาทางธรรมในสัมมาสติ การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมเป็นกิจส่วนใหญ่และเป็นกิจกรรมหลักของการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นการเจริญวิปัสสนาเพื่อการดับกิเลสและกองทุกข์ ซึ่งมีขั้นตอนง่าย ๆ ที่ท่านสามารถทำความเข้าใจ นำไปทดลองฝึกปฏิบัติธรรม และพิสูจน์ผลได้ด้วยตัวของท่านเอง. เนื่องจากเป็นหนังสือฉบับย่อ จึงสรุปองค์ประกอบที่จะต้องฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมในชีวิตประจำวันเป็นข้อ ๆ ดังนี้ :- ๑. ฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันความคิดฟุ้งซ่าน ๒. ฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติหรือแบ่งความตั้งใจไปใช้ในการรู้เห็นความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ว่ามีกิเลสเจือปนหรือไม่ ๓. ฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติหรือแบ่งความตั้งใจไปใช้ในการควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ไม่ให้มีกิเลสเจือปน ๔. ฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติหรือแบ่งความตั้งใจไปใช้ในการพิจารณาธรรม ซึ่งประกอบด้วยการศึกษาธรรม ทบทวนธรรม และแก้ปัญหาความทุกข์ต่าง ๆ โดยใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำมาประกอบการคิดและพิจารณา ๕. ฝึกใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน. เนื้อหาขององค์ประกอบทั้งหมด เป็นคำแนะนำให้ท่านฝึกใช้สติในการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างเป็นขั้นตอนโดยย่อ เพื่อให้ท่านฝึกดับสาเหตุของความทุกข์ คือ อวิชชา(ความหลง) และฝึกดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส(สังขารในปฏิจจสมุปบาท). เมื่อฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมได้ครบทั้ง ๕ องค์ประกอบในชีวิตประจำวันแล้ว จะเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำอย่างรวดเร็ว และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ท่านที่ต้องการฝึกเจริญสติอย่างย่อ ๆ ก็อาจฝึกตามองค์ประกอบที่ ๑ ถึง ๓ ในขั้นตอนเดียวกัน โดยฝึกดังนี้ "ให้ฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ พร้อมทั้งตั้งใจ(มีสติ)รู้เห็นว่า มีการคิดด้วยกิเลสหรือไม่ ทันทีที่รู้เห็นว่ามี ก็ให้ดับความคิดนั้น ๆ ทันที พร้อมกับตักเตือนตนเองว่า จะไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป".
วิธีฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมในแต่ละองค์ประกอบ
ท่านที่ไม่เคยฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมมาก่อน ควรฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมทีละองค์ประกอบ เรียงตามลำดับ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่า ท่านสามารถปฏิบัติธรรมได้ถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร. การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมเริ่มต้นด้วยการศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ พร้อมทั้งฝึกใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำ รู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ไม่ให้คิดหรือมีการกระทำต่าง ๆ ที่เจือปนด้วยกิเลสอย่างต่อเนื่อง.
๑. วิธีฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่อง
การดำเนินชีวิตประจำวันให้บริสุทธิ์ผ่องใสตามวิธีการในพระพุทธศาสนานั้น จะต้องมีสติ(สติทางธรรม)หรือมีความตั้งใจในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่แล้วในความจำ มารู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้มีกิเลสเจือปนอย่างต่อเนื่อง. ดังนั้น สติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะสติอุปการะต่อการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมโดยตรง จึงควรฝึกให้มีสติขั้นพื้นฐานเสียก่อน เมื่อฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติได้ต่อเนื่องตามสมควรแล้ว จากนั้น จึงค่อยฝึกเจริญสติตามองค์ประกอบต่อไปทีละองค์ประกอบโดยไม่ข้ามขั้น. ทำไมต้องฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ ในขณะที่ท่านไม่มีเจตนาทำกิจอะไร หรือระหว่างที่ท่านอยู่เฉย ๆ ท่านมักจะคิดฟุ้งซ่านได้โดยง่าย และขณะที่ท่านกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น ท่านจะไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง. ความคิดฟุ้งซ่านอาจเจือปนด้วยกิเลสได้โดยง่ายและไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่ท่านกำลังเจ็บป่วย หรือมีปัญหาเรื่องงาน หรือมีปัญหาชีวิต หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี จะเป็นสาเหตุให้จิตใจของท่านขุ่นมัว เกิดภาวะของความทุกข์ทางจิตใจได้โดยง่ายและรวดเร็ว. การฝึกมีสติทางธรรมอยู่ตลอดเวลา โดยฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นวิธีการง่าย ๆ ที่ใช้ในการฝึกพักอย่างมีสติ และป้องกันไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน. ฐานหลักของสติเป็นฐานหลักของการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ในชีวิตประจำวัน คนทั่วไปจะมีการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกเพื่อการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่มักจะไม่รู้เรื่องของการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้มีกิเลสเจือปน. เมื่อสมองว่างจากกิจต่าง ๆ ก็จะทำหน้าที่ในการคิดฟุ้งซ่านไปตามธรรมชาติ. ขณะคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น จะไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดให้บริสุทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง และเมื่อใดมีการคิดฟุ้งซ่านด้วยกิเลส เมื่อนั้นความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นทันที. เพื่อป้องกันการคิดฟุ้งซ่านและความทุกข์ จึงต้องมีกิจเล็ก ๆ และง่าย ๆ ให้สมองมีงานเบา ๆ ทำอยู่ตลอดเวลา โดยฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ การฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน. ในเบื้องต้นของการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ท่านควรพยายามที่จะฝึกมีสติส่วนหนึ่งอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ เพื่อให้ท่านสามารถมีสติได้ต่อเนื่องตามสมควรเสียก่อน ซึ่งเป็นการฝึกให้มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา ที่จะรู้เห็นและดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้ทุกขณะ. ถึงแม้ท่านสามารถมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติได้ดีแล้วก็ตาม แต่ถ้าประมาท ไม่มีความเพียรที่จะฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ ไม่นานนัก ความสามารถในการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ รวมทั้งการมีสติเพื่อรู้เห็นและควบคุมความคิดก็จะลดลงไปด้วย เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง. ดังนั้น การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำตลอดชีวิต. วิธีฝึกในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม สถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม คือ ที่บ้าน หรือที่วัด หรือที่ใด ๆ ก็ ได้ที่มีความสงบ มีความปลอดภัย ไม่เป็นเป้าสายตาให้ใครติเตียน. ท่านที่ไม่ประสงค์จะฝึกปฏิบัติธรรมในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวตามเนื้อหาขององค์ประกอบใดก็ตาม ถือว่าไม่เป็นไร เพราะท่านสามารถฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้เลย เนื่องจากเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ท่านควรศึกษาและทำความเข้าใจในเนื้อหาของวิธีฝึกในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรมไว้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันต่อไป. ท่านควรเริ่มต้นด้วยการฝึกเจริญสมาธิเสียก่อน พอจิตใจของท่านสงบได้ตามสมควรแล้ว จึงค่อยเริ่มฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ(ฝึกตามองค์ประกอบที่ ๑) และควรเริ่มต้นฝึกในท่านั่งก่อน เพราะเป็นท่าที่เหมาะสมที่สุด ควรนั่งในท่าปกติ หรือในท่าที่เหมาะสมกับสภาพของร่างกาย ไม่ต้องหลับตา ขอเพียงให้มีความตั้งใจ และมีความเพียรอย่างจริงจังในการฝึกหัดรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก เพื่อเป็นฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่อง. ท่านที่เริ่มฝึกใหม่ ๆ จะพบว่า การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะท่านไม่เคยฝึกมาก่อน. วิธีการง่าย ๆ ที่จะสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้นคือ หายใจเข้าออกให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อรับรู้ได้ดีขึ้นแล้ว จึงค่อยผ่อนลงมาเป็นการหายใจตามปกติ. ท่านจะไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกได้ชัดเจนแบบเดียวกันกับการรับรู้ความรู้สึกสัมผัสที่บริเวณอื่น เพราะตามปกติ มนุษย์จะไม่ค่อยมีการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก. แต่เมื่อท่านฝึกบ่อย ๆ จนชำนาญ ท่านก็จะมีความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกได้ชัดเจนขึ้น จนกลายเป็นของธรรมดา. ท่านไม่ควรใช้คำบริกรรมเข้าร่วมด้วย เพราะต้องการให้ใช้สมองไปในด้านการรู้เห็นความคิดเป็นหลัก เพื่อจะได้ควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมที่จดจำไว้ในสมอง แทนที่จะใช้สมองไปกับการบริกรรมเป็นส่วนใหญ่. สำหรับท่านที่เริ่มฝึกเจริญสติ และสติยังไม่ค่อยจะมีพละกำลัง เมื่อต้องการหยุดความคิดฟุ้งซ่าน หรือดับความคิดปรุงแต่ง หรือดับความโกรธ หรือดับความโลภที่รุนแรง ท่านอาจใช้คำบริกรรมร่วมด้วยก็ได้ เพื่อเร่งสติ หรือเพื่อใช้สมองให้มากขึ้น จะได้ไม่มีส่วนของสมองเหลือพอที่จะไปคิดฟุ้งซ่านอีก ครั้นเมื่อท่านมีความสามารถมากขึ้น ท่านควรหยุดคำบริกรรมทุกรูปแบบ เพื่อลดการทำงานของสมอง แล้วใช้สมองไปในเรื่องของการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ไม่ให้มีกิเลสเจือปน. สำหรับท่านที่เริ่มฝึกใหม่ หรือกำลังมีความคิดฟุ้งซ่านมาก ๆ ท่านจะสามารถลดความคิดฟุ้งซ่านลงได้ โดยใช้วิธีเพิ่มความจดจ่อ(เร่งสติ)ในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกในทุกวินาที ไม่ว่าลมหายใจนั้นจะสั้นหรือยาว และพยายามรับรู้ความรู้สึกโดยตลอด ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรู้ความรู้สึกอย่างละเอียดนั่นเอง(อานาปานสติวิปัสสนาสติปัฏฐาน ๔ หมวดกาย ข้อ ๑ และ ๒). การฝึกเร่งสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกอย่างละเอียดเช่นนี้ ใช้แทนคำบริกรรมได้เป็นอย่างดี เพราะขณะเร่งสติจะมีการใช้สมองมากขึ้น ทำให้ความคิดฟุ้งซ่านลดลง แต่ไม่ควรเร่งสติติดต่อกันนานเกินไป เพราะอาจทำให้สมองล้าและรู้สึกอ่อนเพลียเร็วกว่าปกติ. ครั้นเมื่อท่านสามารถลดความคิดฟุ้งซ่านลงได้ตามสมควรแล้ว ก็ควรหยุดการเร่งสติลง เพื่อลดการทำงานของสมองลงด้วย. เมื่อจิตใจของท่านสงบลงได้บ้างแล้ว หรือท่านมีความชำนาญมากขึ้นตามสมควรแล้ว จึงค่อยลดความตั้งใจในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกอย่างละเอียดมาเป็นเพียงว่า เมื่อหายใจเข้าก็รู้ เมื่อหายใจออกก็รู้ รู้เพียงเท่านี้เอง ซึ่งเป็นการตั้งใจรับรู้ที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไป. ถ้าเป็นไปได้ ท่านควรฝึกตามรูปแบบที่ได้กล่าวแล้ว เพราะจะช่วยให้ท่านสะดวกสบายในการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมในขั้นต่อ ๆ ไป พร้อมทั้งรักษารูปแบบที่ได้แสดงไว้ในพระไตรปิฎกได้อีกด้วย. ขณะฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอยู่นั้น เมื่อท่านได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดทางใจ ก็ให้ท่านฝึกรู้แล้ววาง เพราะท่านกำลังฝึกควบคุมสมองของท่านให้ทำหน้าที่เพียงแค่มีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ และรับรู้ข้อมูลโดยไม่คิดฟุ้งซ่าน. ถ้ามีการรับรู้ข้อมูลที่ต้องการคิด พิจารณา และดำเนินการด่วน ท่านก็สามารถทำกิจด่วนเป็นการชั่วคราว แต่อย่าลืมฝึกมีสติ(สติทางธรรม)ส่วนหนึ่งอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ ไม่ว่าท่านกำลังคิดหรือกำลังทำกิจอะไรอยู่. ท่านควรฝึกอย่างจริงจังจนเกิดความชำนาญ และเมื่อมีข้อมูลจากการฝึกอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก(มีความชำนาญ) สมองของท่านก็จะทำหน้าที่ได้เองคล้ายอัตโนมัติ. ไม่ว่าท่านจะฝึกเจริญสติในองค์ประกอบใดหรือในอิริยาบถใดก็ตาม เมื่อได้รับรู้ข้อมูลที่เป็นเรื่องสำคัญหรือรีบด่วน ท่านก็สามารถนำข้อมูลที่ได้รับมาพิจารณาแก้ปัญหาได้ เพราะเป็นการฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การฝึกเจริญสมาธิ. ท่านควรฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติในอิริยบถต่าง ๆ ได้แก่ อิริยาบถนั่ง นอน ยืน เดิน และขณะทำกิจต่าง ๆ ด้วย เพื่อให้ท่านคุ้นอยู่กับการมีสติตั้งอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่องในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน โดยไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน. ระหว่างฝึกเจริญสติทุกองค์ประกอบในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม ท่านควรเจริญสมาธิสลับเป็นช่วง ๆ เพื่อให้สมองของท่านได้พักเป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นการป้องกันความล้าของสมอง เพราะขณะสมองล้า จะทำให้ความสามารถในการรู้เห็นและควบคุมความคิดลดลง. วิธีฝึกในชีวิตประจำวัน สถานที่สำหรับฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันนั้น คือ ทุกสถานที่ในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ. การฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติและการฝึกเจริญสติในทุกองค์ประกอบนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องรอวัน รอเวลา รอสถานที่ รอบรรยากาศ รอสิ่งแวดล้อม แต่ให้ฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา ไม่ว่ากำลังว่างหรือกำลังทำกิจต่าง ๆ อยู่ ยกเว้นเวลานอนหลับเท่านั้นที่ไม่ต้องฝึก. วิธีฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติในชีวิตประจำวัน คือ ต้องตั้งเจตนา มีความตั้งใจ และมีความพยายามอย่างจริงจังในการฝึกมีสติทางธรรมส่วนหนึ่งอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าท่านกำลังว่างหรือกำลังทำกิจต่าง ๆ อยู่ก็ตาม. รายละเอียดของการฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสตินั้น มีเนื้อหาเช่นเดียวกับการฝึกในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม แต่เป็นการฝึกในขณะทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะดู ขณะฟัง ขณะดื่ม ขณะรับประทานอาหาร ขณะเข้าห้องน้ำ ขณะขับถ่าย ขณะเดินทาง ขณะปฏิบัติงาน ขณะพูดคุย ขณะพักผ่อน ขณะดูโทรทัศน์ เป็นต้น. ในชีวิตประจำวัน บางเวลาท่านอาจต้องใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง เช่น ขณะพูด จำเป็นต้องใช้สมองส่วนใหญ่ในการคิดและพูดโต้ตอบอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ไม่มีสติเหลืออยู่ที่ฐานหลักของสติเลย ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะธรรมชาติของสมองทำงานเช่นนั้นเอง. หน้าที่ของท่านคือ พยายามกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอเท่าที่จะทำได้ เช่น ในช่วงที่ฟัง หรือช่วงที่ว่างเป็นเวลาไม่กี่วินาที ท่านก็ควรฝึกมีสติส่วนหนึ่งอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้ด้วย. การขาดช่วงของการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสตินานเกินไป อาจเป็นเหตุให้เกิดความคิดฟุ้งซ่านที่เจือปนด้วยกิเลสได้โดยไม่รู้ตัว. ท่านควรฝึกเจริญสมาธิสลับกับการฝึกเจริญสติในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ท่านเคยชินกับการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างครบถ้วน จนมีความชำนาญและกลายเป็นนิสัยที่ดีต่อไป. ในขณะฝึกเจริญสติในทุกองค์ประกอบหรือในทุกขั้นตอน เมื่อท่านฝึกเจริญสติได้ประมาณ ๓๐ - ๖๐ นาทีแล้ว ควรสลับด้วยการฝึกเจริญสมาธิประมาณ ๓๐ - ๖๐ วินาทีหรือมากกว่านี้ ตามความเหมาะสมเป็นราย ๆ ไป เพื่อป้องกันไม่ให้สมองล้า รวมทั้งฝึกให้ท่านเคยชินกับการเจริญสมาธิและการเจริญสติสลับกันไปในชีวิตประจำวัน จนเป็นนิสัยที่ดีต่อไป. ธรรมชาติของมนุษย์ต้องมีความคิดฟุ้งซ่าน สมองมนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีการคิดฟุ้งซ่านอยู่เสมอในขณะที่ไม่ได้ใช้สมองอย่างเต็มที่. ความคิดฟุ้งซ่านนี่เอง ที่ทำให้มีการคิดเรื่องอดีตที่สมองจดจำไว้ ซึ่งจะทำให้มีการทบทวนความจำ เป็นผลให้ความจำในเรื่องนั้น ๆ ไม่เสื่อมหายไป. การคิดฟุ้งซ่านเรื่องอนาคต ทำให้มนุษย์ขวนขวายในการ เตรียมการต่าง ๆ สำหรับอนาคต. การคิดฟุ้งซ่านเรื่องปัจจุบันทำให้มีการกระทำต่าง ๆ ตามความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นในขณะนั้น. ปัญหาสำคัญที่เกิดจากความคิดฟุ้งซ่านทุกรูปแบบ คือ จะขาดการรู้เห็นและควบคุมความคิดด้วยข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม ทำให้จิตใจไม่สงบ เสียเวลา และสิ้นเปลืองสมอง. การคิดฟุ้งซ่านเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็น "การคิดนำ" หรือ "การคิดแทรก" ขึ้นมาเป็นครั้งคราวนอกเหนือไปจากกิจที่กระทำอยู่บ้างไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป เช่น มีการคิดแทรกขึ้นมาว่า จะต้องทำนั่นหรือทำนี่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องการทำงานของสมองตามปกติ เพราะถ้าไม่มีการคิดเช่นนี้ จะทำให้ผู้นั้นทำกิจได้เพียงกิจเดียวคล้ายเครื่องจักรต่าง ๆ หรือคล้ายผู้ป่วยทางจิตบางโรค เพราะไม่สามารถปรับเปลี่ยนภารกิจ หรือไม่สามารถคิดค้นเรื่องใหม่ ๆ ได้. "การคิดนำหรือการคิดแทรก" ขึ้นมา ไม่จัดว่าเป็นความคิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ เพราะความคิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ(อุทัจจกุกกุจจะ)เป็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสจนเกิดความรำคาญใจ(เป็นทุกข์เบา ๆ). เมื่อใดที่ท่านรู้เห็นว่า มีการคิดนำหรือการคิดแทรกขึ้นมา และเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจที่กำลังกระทำอยู่ ก็ให้ท่านหยุดความคิดนั้น ๆ ภายในวินาทีที่รู้เห็นความคิด เพราะถ้าปล่อยให้คิดต่อไป อาจเกิดความคิดฟุ้งซ่านอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และยังทำให้เกิดการทบทวนข้อมูลด้านกิเลสในความจำอีกด้วย. ความคิดฟุ้งซ่านในพระพุทธศาสนาหมายถึงการคิดเป็นเรื่องเป็นราวที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีเจตนาคิด หรือเป็นการคิดเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจที่กำลังทำอยู่ จึงอาจมีกิเลสเจือปนได้โดยง่าย เพราะไม่มีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิด. โดยทั่วไป ความคิดที่แทรกขึ้นมาเพียงแวบเดียวนั้น มักจะยังไม่มีข้อมูลด้านกิเลสเจือปน จึงไม่จัดว่าเป็นความฟุ้งซ่านรำคาญใจ. ในสถานการณ์ปกติ ถ้ามีความคิดแทรกขึ้นมามากเกินความพอเหมาะพอควร จึงจะจัดว่าเป็นความคิดฟุ้งซ่าน. ขณะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นอบายมุข ถึงแม้จะมีความคิดแทรกขึ้นมาเพียงแวบเดียว แต่ก็อาจลุกลามเป็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง. ดังนั้น ถ้าท่านจำเป็นต้องเข้าไปในแหล่งอบายมุข ท่านก็ควรมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้คิดด้วยกิเลส. ถ้าคิดฟุ้งซ่านโดยไม่มีกิเลสเจือปน จะไม่ทำให้เกิดความทุกข์ แต่จะทำให้เสียเวลา จิตใจไม่สงบ และมีโอกาสที่จะคิดฟุ้งซ่านด้วยกิเลสได้ง่าย. เมื่อท่านรู้ตัวว่า กำลังคิดฟุ้งซ่านในเรื่องที่ไม่สำคัญหรือไม่เป็นประโยชน์ ก็ให้รีบมีสติหยุดความคิดนั้น ๆ เสีย แต่ไม่ใช่ห้ามไม่ให้คิดฟุ้งซ่านอย่างเด็ดขาด เพราะการทำอย่างนั้น จะเท่ากับห้ามไม่ให้สมองทำงานตามธรรมชาติของมันเอง. เมื่อท่านรู้ตัวว่า กำลังมีการคิดฟุ้งซ่านในเรื่องสำคัญหรือมีประโยชน์ ท่านก็สามารถปรับเปลี่ยนจากความฟุ้งซ่าน มาเป็นการคิดและพิจารณาอย่างมีสติต่อไป. ท่านควรลดความคิดฟุ้งซ่านลงมาเป็นแค่ให้มีการคิดนำหรือคิดนอกเหนือไปจากกิจที่กระทำอยู่ด้วยความพอเหมาะพอควร ตามสถานการณ์ สิ่งแวดล้อม ภาวะอันตราย และตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น ๆ. ความก้าวหน้าและการประเมินผล การฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่อง เป็นการฝึกที่สำคัญมากสำหรับท่านที่เริ่มฝึกปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการฝึกขั้นพื้นฐาน เพราะถ้าไม่มีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ จะมีโอกาสเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องต่าง ๆ ได้ครั้งละนาน ๆ โดยไม่รู้ตัว. ครั้นเมื่อฝึกไปจนชำนาญ ความคิดฟุ้งซ่านก็จะลดลง ทั้งจำนวนเรื่องและเวลา เพราะสมองจะทำหน้าที่ตามความเคยชินที่เกิดขึ้นจากการฝึกเป็นประจำ. การประเมินผลว่า วันหนึ่ง ๆ ท่านมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติได้นานเท่าใด จะเป็นเครื่องชี้วัดความก้าวหน้าของการฝึกปฏิบัติธรรมในระยะเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี. การประเมินผลเช่นนี้ ต้องประเมินผลด้วยตัวของท่านเอง เพราะไม่มีใครเห็นความคิดของท่านได้. การฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่องในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม จะทำได้ง่ายกว่าในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน. ดังนั้น การประเมินความสำเร็จของการฝึกปฏิบัติธรรมจึงมุ่งไปที่การมีสติอยู่ที่ฐานหลักอย่างต่อเนื่องในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะการดำเนินชีวิตที่แท้จริงของคนทั่วไป คือ ขณะอยู่ในสังคมและในสิ่งแวดล้อมปกติ ไม่ใช่ในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม. ถึงแม้จะเป็นการฝึกเจริญสติเพียงองค์ประกอบเดียว แต่ท่านก็สามารถได้รับผลและประเมินผลด้วยตัวเองได้ว่า มีการลดลงของความคิดฟุ้งซ่าน ลดลงของความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส และความทุกข์ก็ลดลงได้ตามสมควรกับเหตุปัจจัยต่าง ๆ. ถ้าท่านยังมีความคิดฟุ้งซ่าน มีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส และความทุกข์อย่างเดิมหรือมีมากขึ้น อาจเป็นเพราะว่าการศึกษาธรรมและการฝึกปฏิบัติธรรมไม่ถูกทาง.
๒. ฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการ รู้เห็นความคิดและการกระทำต่าง ๆ ว่า มีกิเลสเจือปนหรือไม่
คำว่า "แบ่งสติหรือแบ่งความตั้งใจ" ดูจะเป็นคำที่แปลกใหม่ แต่ในพระไตรปิฎกมีการแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการรับรู้หรือรู้เห็นข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่(ที่ฐาน)กาย เวทนา จิต ธรรม พร้อมทั้งกำกับและควบคุม กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เป็นไปตามหลักธรรมคำสอนอย่างต่อเนื่อง(ในอานาปานสติวิปัสสนาสติปัฏฐาน ๔). ในองค์ประกอบนี้ มีคำอธิบาย ๒ หัวข้อ คือ ๑. เรื่องการแบ่งสติหรือแบ่งความตั้งใจจากฐานหลักของสติไปใช้ในการทำกิจต่าง ๆ ๒. เรื่องการมีสติในการรู้เห็นความคิดและการกระทำต่าง ๆ ว่ามีกิเลสเจือปนหรือไม่. คำว่า "รู้เห็น" จึงหมายรวมถึง "รู้เห็นและรู้ทันความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ว่ามีกิเลสเจือปนหรือไม่". การรู้เห็นความคิดสำคัญกว่าการรู้เห็นการกระทำต่าง ๆ เนื่องจากความคิดเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ. มนุษย์มีการแบ่งสติในการทำกิจต่าง ๆ อยู่แล้ว การฝึกแบ่งสติ(ทางโลก)ไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ นั้น เป็นเรื่องง่าย เพราะทุกท่านต้องแบ่งสติหรือแบ่งความตั้งใจไปใช้ทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เช่น ขณะเดิน ท่านต้องแบ่งสติไปใช้ในการทำกิจหลายเรื่องพร้อม ๆ กัน กล่าวคือ ต้องมีสติส่วนหนึ่งในการรู้เรื่องของถนน มีสติส่วนหนึ่งในการรับรู้ข้อมูลทางตา มีสติส่วนหนึ่งในการรับรู้ข้อมูลที่เท้า มีสติส่วนหนึ่งในการใช้สมองไปควบคุมการทรงตัว มีสติส่วนหนึ่งในการควบคุมการเดินจนคล้ายอัตโนมัติ เป็นต้น. ที่ทำได้เช่นนี้เป็นอย่างดี เพราะท่านมีข้อมูลสติปัญญาด้านการเดินอยู่ในความจำของสมองเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน สมองสามารถทำหน้าที่ได้หลายอย่าง และทำได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเดียวกันจนคล้ายอัตโนมัติ. ท่านที่ขับรถยนต์เป็นจะรู้ว่า ในการขับรถยนต์นั้น ต้องแบ่งสติหรือแบ่งความความตั้งใจไปรับรู้ข้อมูลและใช้ข้อมูลต่าง ๆ ในความจำอย่างมากมาย เช่น ท่านต้องรู้และใช้ข้อมูลด้านกฎจราจร การขับรถยนต์ การจราจรบนถนน การแก้ปัญหาต่าง ๆ เฉพาะหน้าอย่างรวดเร็ว และต้องรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เป็นรายละเอียดอีกมากมาย เพื่อควบคุมให้รถยนต์วิ่งไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นการทำงานของสมองอย่างรวดเร็ว มีขั้นตอน และเป็นระบบอย่างลึกซึ้ง. การที่สมองของคนในยุคปัจจุบันมีความสามารถสูงเช่นนี้ ก็เพราะได้ผ่านการศึกษาและฝึกปฏิบัติมาแล้ว แต่สมองที่ไม่มีข้อมูลด้านการขับรถอยู่ในความจำ ย่อมจะทำเช่นนี้ไม่ได้. ดังนั้น ข้อมูลในความจำ จึงเป็นปัจจัยสำคัญโดยตรงในเรื่องของความรู้และความสามารถเฉพาะตัว. ในทางธรรมก็เช่นกัน พบว่า การจะรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสได้ดีนั้น จำเป็นจะต้องผ่านการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำได้มากตามสมควรเสียก่อน จึงจะสามารถแบ่งสติไปใช้ในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสได้ดี และความสามารถดังกล่าวแล้ว จะไม่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์แต่ประการใด แต่ต้องมีปัจจัยที่เกื้อหนุนให้เกิดร่วมด้วยเสมอ. การรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่รู้จักการแบ่งสติ อาจเกิดความทุกข์ได้ บางท่านอาจคิดสงสัยว่า การแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะได้ประโยชน์อย่างไร. ในเรื่องนี้ ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า ถ้าท่านตั้งใจชมละครทางโทรทัศน์อย่างจริงจัง หรือตั้งใจรับรู้เนื้อหาอย่างเต็มที่ ท่านก็จะคิดปรุงแต่งไปกับเนื้อหาของการแสดงได้โดยง่าย ทำให้บางครั้งมีอาการโกรธ บางครั้งเกลียด บางครั้งลำเอียง บางครั้งตื่นเต้น บางครั้งวิตก บางครั้งสงสาร บางครั้งเป็นทุกข์ถึงขั้นน้ำตาไหล บางครั้งตื้นตันใจ บางครั้งเป็นสุขจนน้ำตาคลอ บางครั้งยิ้มย่องผ่องใส บางครั้งหัวเราะ เป็นไปตามข้อมูลหรือตามที่บทละครแต่งไว้. ท่านจะรู้เห็นด้วยตนเองว่า ข้อมูลที่ได้รับจากบทละครต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่มักจะทำให้ท่านเป็นทุกข์ในช่วงเริ่มต้นของบทละคร ต่อมาความทุกข์มักจะค่อย ๆ มากขึ้น และในตอนจบ มักจะลงท้ายด้วยการหมดไปของความทุกข์ที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มต้นจนเกือบจบเรื่อง จึงดูเหมือนมีความสุข แต่ความจริงแล้ว เป็นเพราะความทุกข์ลดลงหรือหมดไปเท่านั้นเอง. ในชีวิตประจำวัน ถ้าท่านรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่รู้จักการแบ่งสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ในสัดส่วนที่ถูกต้อง หรือไม่สำรวมระวังในการรับรู้ข้อมูลให้ดี ท่านก็จะคิดปรุงแต่งด้วยกิเลส และความทุกข์ก็จะติดตามมาทันที. การฝึกแบ่งสติไปรู้เห็นความคิดเป็นเรื่องสำคัญเพราะสามารถลดหรือดับความทุกข์ได้ สาเหตุสำคัญของความทุกข์ใจมาจากความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส ดังนั้น การรู้เห็นความคิดเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้าท่านรู้เห็นว่า มีการคิดด้วยกิเลส ท่านก็จะสามารถหยุดความคิดนั้น ๆ ได้ทันท่วงที แต่ถ้าท่านไม่รู้เห็นว่า ความคิดมีกิเลสเจือปน ท่านก็จะไม่สามารถดับความคิดเช่นนั้นได้. เพื่อให้ท่านสามารถดับสาเหตุของความทุกข์ได้อย่างรวดเร็วและจริงจัง ท่านควรฝึกมีความตั้งใจ(ฝึกมีสติ)ในการรู้เห็นความคิดอย่างจริงจัง เพื่อจะได้รู้เห็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้เร็วที่สุด. ยิ่งท่านรู้เห็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้เร็วเท่าใด ท่านก็จะสามารถดับ(หยุด)ความคิดดังกล่าวได้เร็วเท่านั้น เป็นผลให้ท่านสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์และยังดับความทุกข์ที่มีอยู่ให้หมดไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันของชาวพุทธ. วิธีฝึกในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม ก่อนการฝึกตามองค์ประกอบนี้ ท่านควรทบทวนความรู้เรื่องกิเลสอีกครั้งหนึ่ง ให้เข้าใจอย่างแจ้งชัดและควรจดจำไว้ด้วย เพื่อให้มีความพร้อมในการใช้เป็นข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ไม่ให้มีกิเลสเจือปน. ท่านควรเริ่มต้นด้วยการฝึกเจริญสมาธิเสียก่อน พอจิตใจของท่านสงบได้ตามสมควรแล้ว จึงค่อยเริ่มฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ(ฝึกตามองค์ประกอบที่ ๑)เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อทบทวนขั้นตอนในการฝึก จากนั้น ให้ท่านตั้งใจแบ่งสติ(แบ่งความตั้งใจ)ประมาณครึ่งหนึ่ง ไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ(ฝึกตามองค์ประกอบที่ ๒). การฝึกตามองค์ประกอบนี้ จึงเป็นการฝึกตามองค์ประกอบที่ ๑ และ ๒ ไปพร้อม ๆ กัน. ขณะที่ท่านฝึกแบ่งสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่นั้น เมื่อท่านได้เห็นอะไรที่รับรู้เข้ามาทางตา ได้ยินอะไรทางหู ได้กลิ่นอะไรทางจมูก ได้รสอะไรทางลิ้น ได้รับรู้สัมผัสอะไรทางร่างกาย ได้รู้ว่ามีความรู้สึกนึกคิดและจดจำอะไร ก็ให้ท่านรู้เฉย ๆ หรือรู้แล้ววาง คือ รู้แล้วไม่ต้องไปคิดปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้น ถ้าเรื่องที่รับรู้มาไม่เกี่ยวกับกิจที่ท่านกำลังทำอยู่ หรือไม่ใช่เรื่องสำคัญ. แต่ถ้าการรับรู้นั้นมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจที่ท่านกำลังทำอยู่ หรือเป็นเรื่องรีบด่วน ท่านก็ควรรับเรื่องนั้น ๆ ไว้พิจารณาในทันที ไม่ใช่ว่า พอฝึกปฏิบัติธรรมแล้ว ท่านจะต้องปล่อยวางทุกเรื่องในชีวิต. แท้ที่จริงแล้ว การฝึกปฏิบัติธรรมเป็นการฝึกสำรวมระวังความคิดให้มีการปฏิบัติตนตามทางสายกลางอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้จิตใจของผู้ปฏิบัติธรรมมีความเป็นปกติผ่องใสเป็นนิจ. ท่านควรทดลองฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติ ไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลในสัดส่วนต่าง ๆ กัน แล้วฝึกสังเกตว่า ถ้าท่านใช้สติส่วนใหญ่ในการรับรู้ข้อมูลใดหรือมีความตั้งใจมาก ท่านก็จะสามารถรับรู้ข้อมูลนั้นได้ละเอียดมากขึ้น แต่ถ้าท่านมีความตั้งใจ(มีสติ)น้อย ท่านก็จะรับรู้ข้อมูลนั้นได้ไม่ค่อยละเอียดนัก และถ้าท่านไม่มีส่วนหนึ่งของสติเหลืออยู่ที่ฐานหลักของสติเลย แต่ตั้งใจรับรู้ข้อมูลเต็มที่ ท่านก็อาจเพลิดเพลินไปกับการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ทำให้มีโอกาสคิดปรุงแต่ง หรือคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นา ๆ และอาจมีความทุกข์เกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อมีความคิดปรุงแต่งที่เจือปนด้วยกิเลสเนือง ๆ. ท่านควรทดลองฝึกแบ่งสติในขณะฝึกเดินจงกรม โดยเจตนามีสติประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ที่ฐานหลักของสติ อีกประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ที่การเดินและกับเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดิน โดยไม่ไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่นใด. ขณะฝึกเดินจงกรมและปฏิบัติตามเจตนาดังกล่าว ท่านจะสังเกตได้ว่า ท่านมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติประมาณครึ่งหนึ่ง และอยู่กับการเดินจงกรมประมาณครึ่งหนึ่ง เพราะสมองทำหน้าที่ตามที่ท่านได้ตั้งเจตนาเอาไว้. ท่านควรทดลองฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลบางเรื่องในสัดส่วนที่ต่าง ๆ กัน เช่น เจาะจงไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลที่เท้าในขณะเดินจงกรม ท่านจะพบว่า เมื่อมีการแบ่งสติไปในเรื่องรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เท้าในสัดส่วนที่มากเท่าใด ท่านจะสามารถรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เท้าได้มากเท่านั้น. ท่านควรทดลองฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลหลายเรื่องในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น ขณะเดินจงกรม ให้ท่านตั้งใจรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย(กายรับรู้ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง) ใจ(ใจรับรู้ความรู้สึกนึกคิดและความจำ). ท่านก็จะสามารถรับรู้ข้อมูลได้หลายเรื่องในช่วงเวลานั้น แต่รายละเอียดของข้อมูลที่ได้รับในแต่ละเรื่องจะลดลงไปมาก เพราะการทำงานของสมองมีขีดจำกัด. ถ้าหากท่านมีเจตนารับรู้ข้อมูลทีละเรื่อง ข้อมูลที่ได้รับก็จะชัดเจนดีขึ้นมาก เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง. ท่านควรทดลองฝึกแบ่งสติในทุกอิริยาบถ อาจใช้เสียงจากวิทยุ หรือใช้ภาพและเสียงจากโทรทัศน์เพื่อให้มีข้อมูลเข้ามาทางตาและหูได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งฝึกแบ่งสติในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ในสัดส่วนที่ต่างกันตามความเหมาะสม โดยไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน. การฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ จะช่วยทำให้ท่านเข้าใจการทำงานของสมอง และรู้จักวิธีกำกับและควบคุมการรับรู้ข้อมูลเหล่านั้นด้วยตัวของท่านเองได้เป็นอย่างดี. เมื่อท่านฝึกแบ่งสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลเรื่องต่าง ๆ ในสัดส่วนที่ถูกต้องและเหมาะสม จะเป็นผลให้เกิดการสำรวมระวังในการรับรู้ข้อมูลเรื่องต่าง ๆ ได้มากขึ้น. ขณะเดียวกัน ความคิดและการกระทำต่าง ๆ ที่เจือปนด้วยกิเลสรวมทั้งความทุกข์ก็จะลดลงด้วย และท่านจะสามารถมีสติในการกลั่นกรองรวมทั้งจดจำข้อมูลที่ได้รับมาด้วยความเหมาะสมมากขึ้น. เมื่อมีการรับรู้ข้อมูลที่เข้ามาทางตา(ตาเห็น)ที่มีลักษณะยั่วยุให้ท่านคิดด้วยกิเลส ท่านควรมีสติส่วนใหญ่อยู่ที่ฐานหลักของสติ และแบ่งสติส่วนน้อยไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อที่จะให้การคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสลดลง. การฝึกแบ่งสติไปใช้ในการรู้เห็นความคิดและการกระทำต่าง ๆ นั้น ท่านควรฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปตั้งใจรู้เห็นความคิดและการกระทำต่าง ๆ ของท่านเองอย่างต่อเนื่อง ว่ามีกิเลสเจือปนหรือไม่ เพื่อฝึกสมองของท่านให้คุ้นเคยกับการรู้เห็นความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ที่มีกิเลสเจือปนได้อย่างรวดเร็วที่สุด และการฝึกรู้เห็นความคิดเช่นนี้ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน. การฝึกรู้เห็นความคิดในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรมนั้น ท่านจะรู้เห็นความคิดฟุ้งซ่านและความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้น้อยกว่าขณะฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เพราะขณะดำเนินชีวิตประจำวันจะมีการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้มีการคิดด้วยกิเลสอย่างมากมาย ส่วนในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรมนั้น มักจะมีแต่ความสงบเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่มีสิ่งกระตุ้นให้เกิดการคิดด้วยกิเลส. ดังนั้น การวัดผลความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์ จึงควรวัดผลในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะจะแน่นอนมากกว่าการวัดผลในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม. วิธีฝึกในชีวิตประจำวัน ในช่วงแรกของการฝึกแบ่งสติไปทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ท่านจะพบกับความยุ่งยากบ้าง เพราะท่านไม่เคยฝึกแบ่งสติ(ทางธรรม)มาก่อน แต่ขอรับรองว่า เป็นเรื่องง่ายและง่ายกว่าการฝึกขี่รถจักรยานเสียด้วยซ้ำ. ท่านสามารถฝึกแบ่งสติ หรือฝึกเจริญสติในทุกองค์ประกอบ โดยไม่ต้องรอวันเวลา ไม่ต้องหาสถานที่ ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีวัสดุและอุปกรณ์ ไม่ต้องเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเลย รวมทั้งไม่ต้องกลัวการเสียสติด้วย เพราะเป็นการฝึกปฏิบัติธรรมตามทางสายกลาง. ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกแบ่งสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างต่อเนื่อง และในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการสำรวมระวังในการรับรู้ข้อมูลว่า ข้อมูลใดควรรับรู้อย่างละเอียด ข้อมูลใดควรรับรู้แค่เพียงบางส่วนเท่านั้น และข้อมูลใดควรจดจำเอาไว้มากน้อยเพียงใด จึงจะทำให้ท่านสามารถป้องกันความทุกข์ ลดความทุกข์ ดับความทุกข์ได้ดีตามสมควรกับความรู้และความสามารถทางธรรมของท่านเอง. ถ้ามีเรื่องไม่ดีที่ต้องรับรู้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการคิดด้วยกิเลสและมีการจดจำในเรื่องที่ไม่ควรจดจำ ท่านควรแบ่งสติส่วนน้อยจากฐานหลักของสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ของเรื่องดังกล่าว โดยมีสติส่วนใหญ่อยู่ที่ฐานหลักของสติ เพื่อสำรวมระวังไม่ให้มีการคิดฟุ้งซ่านและไม่ให้มีการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลส. การรับรู้เรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันจะเป็นการรับรู้ที่บริสุทธิ์ คือ รับรู้แล้วไม่คิดปรุงแต่งด้วยกิเลส ซึ่งเป็นวิถีทางของการดำเนินชีวิตตามรูปแบบของบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล). ท่านควรฝึกแบ่งสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ เช่น ในระหว่างดูละครทางโทรทัศน์โดยการมีสติหรือมีความตั้งใจอยู่ที่ฐานหลักของสติประมาณครึ่งหนึ่ง พร้อมกับแบ่งสติหรือความตั้งใจไปรับรู้ข้อมูลจากโทรทัศน์ประมาณครึ่งหนึ่ง ท่านก็จะรู้เห็นว่า ความรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์จากความคิดที่ปรุงแต่งไปตามบทละคร จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่งทันที. บางครั้ง ท่านจำเป็นต้องดูโทรทัศน์ที่ไม่มีสาระสำคัญและอาจกระตุ้นให้คิดด้วยกิเลส ท่านก็ควรฝึกมีสติส่วนใหญ่อยู่ที่ฐานหลักของสติและมีสติส่วนน้อยอยู่กับการรับรู้ข้อมูลจากโทรทัศน์ จะทำให้การคิดฟุ้งซ่านและการคิดปรุงแต่งไปตามข้อมูลในโทรทัศน์ลดลงไปตามสัดส่วนด้วย. ท่านควรฝึกแบ่งสติส่วนใหญ่จากฐานหลักของสติไปใช้ในการตั้งใจรับรู้ข้อมูลที่ยาก ละเอียดอ่อน หรือมีคุณค่า เพื่อจะได้ใช้สมองในการคิดและพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียดและลึกซึ้ง. บางครั้ง ท่านต้องใช้สมองมากจนไม่สามารถเหลือสติไว้ที่ฐานหลักของสติอีกเลย ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติของสมองในขณะที่ท่านต้องทำกิจที่ยากหรือละเอียดอ่อน แต่เมื่อท่านรู้ตัวหรือรู้เห็นว่า มีการเผลอสติไปคิดตามเนื้อหาต่าง ๆ ที่ได้รับมา จนไม่มีฐานหลักของสติเหลืออยู่เลย ให้ท่านพยายามกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติในสัดส่วนที่เหมาะสมต่อไป หรือกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเป็นช่วง ๆ หรืออาจสลับด้วยการเจริญสมาธิช่วงสั้น ๆ ก็ได้ ตามความเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมหรือเหตุปัจจัยต่าง ๆ รอบด้านที่มีอยู่ในขณะนั้น. ท่านจะพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า เมื่อท่านฝึกแบ่งสติเป็นประจำได้สักระยะหนึ่ง สมองของท่านจะมีข้อมูลด้านการแบ่งสติไปใช้ในเรื่องการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ได้มากขึ้น จนสามารถแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ตามสัดส่วนที่พอดี หรือมีความสำรวมระวังในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ คล้ายอัตโนมัติ. การดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมจะมีลักษณะคล้ายกับชมการแสดง แต่มีท่านแสดงร่วมอยู่ด้วย จึงเหมือนการแสดงละครชีวิตของท่านเอง. ถ้าท่านตั้งใจแสดงเต็มที่ โดยไม่ฝึกแบ่งสติและไม่ฝึกใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมมาประกอบการคิดหรือการพิจารณาไปด้วย ท่านก็อาจคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสได้โดยง่าย. ขณะที่ท่านต้องแสดงบทบาทที่เสี่ยงต่อการคิดด้วยกิเลส ท่านควรแบ่งสติไปรู้เห็นความคิดและการกระทำต่าง ๆ ในสัดส่วนที่มากขึ้น เพื่อจะได้รู้เห็นกิเลสที่เจือปนเข้ามาในความคิดและการกระทำต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว. ในช่วงแรกของการเริ่มฝึกปฏิบัติธรรม ท่านไม่ควรฝึกแค่รู้เห็นความคิดแต่เพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งท่านอาจจะรู้เห็นความคิดได้ยากและเห็นได้ช้า เนื่องจากความคิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ท่านจึงควรฝึกรู้เห็นความคิดและการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ว่ามีกิเลสเจือปนหรือไม่ ซึ่งจะรู้เห็นได้ง่ายกว่า. เมื่อมีการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่มีกิเลสเจือปนเกิดขึ้น ก็หมายความว่า มีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว. ในชีวิตประจำวัน ขณะที่ท่านสนทนา ประชุม หรือปฏิบัติงานร่วมกับคนอื่น ๆ ท่านก็สามารถแบ่งสติไปใช้ในการทำงาน และฝึกรู้เห็นความคิดของตนเองไปพร้อม ๆ กัน ว่ามีกิเลสเจือปนหรือไม่. เมื่อการกระทำทางกายและวาจามีกิเลสเจือปน ก็จะมีการแสดงออกของกิริยาอาการทางกายและวาจาที่สังเกตเห็นได้ชัด ส่วนทางใจนั้น แม้จะมองไม่เห็น แต่ก็มีความรู้สึกที่เจ้าตัวรู้ได้ว่า เป็นความขุ่นมัวและเป็นทุกข์. การรู้เห็นความโกรธที่เป็นความคิดและที่เป็นการกระทำทางกาย วาจา ใจ จะรู้เห็นได้ง่ายและชัดเจนกว่าการรู้เห็นความโลภ และการรู้เห็นความโลภจะง่ายกว่าการรู้เห็นความหลง เพราะความโกรธมักเกิดจากการไม่สมปรารถนาของความโลภ และความโลภเกิดขึ้นจากการมีความหลง(อวิชชา)ครอบงำความคิดนั่นเอง. ความหลง(อวิชชา) จึงเป็นหัวหน้าของความโลภและความโกรธโดยตรง. ดังนั้น การจะดับความทุกข์ทั้งปวงให้หมดไปอย่างจริงจังได้นั้น จะต้องดับที่หัวหน้าใหญ่ของกิเลส คือ ดับความหลง(ดับอวิชชา)ให้หมดไป. ครั้นเมื่อฝึกไปนาน ๆ เข้า สมองจะจดจำข้อมูลจากการฝึกไว้ได้มากขึ้น จนเกิดความชำนาญเช่นเดียวกันกับการขี่รถจักรยาน ในที่สุดการแบ่งสติไปใช้ในการทำกิจต่าง ๆ รวมทั้งการแบ่งสติไปรู้เห็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสจะเกิดขึ้นคล้ายอัตโนมัติ กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ง่ายและเบาสบาย ไม่หนักใจเหมือนกับเมื่อตอนเริ่มต้นฝึกใหม่ ๆ. ความก้าวหน้าและการประเมินผล เมื่อท่านฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้สักระยะหนึ่ง ท่านจะสังเกตว่า ท่านเริ่มรู้เห็นความคิดได้เร็วขึ้น. ในอดีต บางท่านอาจจะเคยคิดบางเรื่องซ้ำแล้วซ้ำอีก วันละหลายครั้ง เป็นเวลาแรมวันหรือเป็นแรมเดือนโดยไม่รู้เห็นเลยว่า เป็นการคิดด้วยกิเลส และกำลังมีความทุกข์อยู่. เมื่อท่านได้ผ่านการฝึกมีสติในการรู้เห็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสมานานตามสมควรแล้ว ท่านก็จะสามารถรู้เห็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที และยังสามารถรู้เห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน. เมื่อท่านมีประสบการณ์ในการรู้เห็นความคิดมากขึ้น พอท่านเริ่มคิดเรื่องที่อาจจะมีการคิดด้วยกิเลส ท่านก็จะรู้เห็นความคิดนั้น ๆ และสามารถหยุดความคิดนั้นได้ทันท่วงที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้เริ่มคิดด้วยกิเลสเสียด้วยซ้ำไป. เมื่อฝึกไปนาน ๆ เข้า สมองของท่านจะมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมมากขึ้น จนสามารถรู้เห็นความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ที่ทำท่าว่าจะมีหรือกำลังมีกิเลสเจือปนได้อย่างรวดเร็ว. ท่านควรประเมินผลของการฝึกทุกวัน โดยการระลึกถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านไปแล้วในแต่ละวันว่า ท่านมีความสามารถในการแบ่งสติไปใช้ในการรับรู้เรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสามารถรู้เห็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้รวดเร็วเพียงใด พร้อมทั้งพิจารณาว่า ในแต่ละวันนั้น ท่านคิดด้วยกิเลสและมีความทุกข์บ่อยไหม มากน้อยและนานเพียงใด เพื่อที่จะได้ประเมินความสามารถหรือความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของท่านได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ขวางกั้นความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม และฝึกตักเตือนตนเองในเรื่องที่ต้องแก้ไขอยู่เสมอ จนกว่าจะแก้ปัญหานั้น ๆ ได้สำเร็จ.
๓. ฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการ ควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ไม่ให้มีกิเลสเจือปน
ในชีวิตประจำวันของผู้ปฏิบัติธรรม จำเป็นจะต้องทำกิจต่าง ๆ เพื่อการยังชีพ และเพื่อการดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัยโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น พร้อมทั้งพยายามเกื้อกูลสัตว์โลกและสิ่งแวดล้อมตามกำลังความรู้และความสามารถที่มีอยู่ ด้วยความมีคุณธรรม. การจะปฏิบัติตนตามวิถีชีวิตดังกล่าวได้ดีนั้น จะต้องอาศัยการฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มีกิเลสเจือปน คงให้คิดแต่กุศลและทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม เพื่อให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นรูปแบบของการดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐ. วิธีฝึกในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม ท่านควรเริ่มต้นด้วยการฝึกเจริญสมาธิเสียก่อน พอจิตใจของท่านสงบได้ตามสมควรแล้ว จึงค่อยเริ่มฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ(ฝึกตามองค์ประกอบที่ ๑) พร้อมทั้งฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติ ไปใช้ในการรู้เห็นความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆอยู่ตลอดเวลา(ฝึกตามองค์ประกอบที่ ๒). ทันทีที่ท่านรู้เห็นว่า ความคิดและการกระทำต่าง ๆ ทำท่าว่าจะมีกิเลสเจือปน ให้ท่านตั้งใจ(มีสติ)หยุดความคิดรวมทั้งการกระทำนั้น ๆ ทันที โดยไม่ให้รอเวลาแม้แต่เพียงวินาทีเดียว(ฝึกตามองค์ประกอบที่ ๓). การฝึกตามองค์ประกอบนี้ จึงเป็นการฝึกทบต้น ตั้งแต่องค์ประกอบที่ ๑ ถึง ๓ ไปพร้อม ๆ กัน. ในสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม ท่านควรฝึกรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ในทุกอิริยาบถ(ยืน เดิน นั่ง นอน) และในขณะทำกิจต่าง ๆ รวมทั้งฝึกฟังวิทยุหรือฝึกดูโทรทัศน์อย่างมีสติโดยตั้งเจตนาว่า จะไม่คิดฟุ้งซ่านและไม่คิดปรุงแต่งด้วยกิเลส. ครั้นมีสติรู้เห็นว่า มีการคิดฟุ้งซ่าน หรือมีการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสก็ให้หยุดคิด และฝึกกลับมามีสติอยู่กับกิจเดิมอย่างรวดเร็วที่สุด จนเป็นนิสัยประจำตัว. เมื่อท่านรู้เห็นว่า มีการเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน หรือไปคิดปรุงแต่งด้วยกิเลส ท่านก็ควรตักเตือนหรือสอนตนเองว่า ให้มีความเพียรในการมีสติอย่างต่อเนื่องมากขึ้น. เมื่อทำเช่นนี้บ่อย ๆ และนาน ๆ เข้า ข้อมูลเช่นว่านี้ ก็จะฝังแน่นอยู่ในความทรงจำอย่างยากที่จะลบเลือน และเป็นข้อมูลสำหรับช่วยให้มีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มีกิเลสเจือปนได้ดีขึ้น. ข้อควรระวังในการฝึกเจริญสติ ข้อควรระวัง คือ อย่าฝึกเจริญสติอย่างเคร่งเครียดและนานเกินไปโดยไม่พักผ่อน เพราะจะทำให้ร่างกายและสมองล้ามาก จนขาดสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิดได้เช่นปกติ จึงเกิดการคิดฟุ้งซ่าน และถ้ารุนแรงมาก อาจมีอาการเพ้อเจ้อได้. การฝึกเจริญสติตามทางสายกลาง คือ ไม่เร่งรัดตนเองจนมากเกินไป พร้อมทั้งพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้สมองสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ. วิธีฝึกในชีวิตประจำวัน ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ในขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น ขณะเข้าห้องน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหาร เดินทาง ทำงาน พัก สนทนา อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ชมรายการทางโทรทัศน์ และขณะปฏิบัติงานโดยไม่ให้มีกิเลสเจือปน. เมื่อท่านรู้เห็นว่ามีการ "เริ่มคิด หรือคิดนำ หรือคิดแทรก" ขึ้นมาและมีแนวโน้มว่า จะก่อให้เกิดการคิดด้วยกิเลส ก็ให้ฝึกหยุดความคิดที่เริ่มก่อตัวอย่างรวดเร็ว. เมื่อท่านมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำมากขึ้น ท่านจะพบด้วยตนเองว่า ขณะกำลังเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านด้วยข้อมูลด้านกิเลสอยู่นั้น สมองของท่านก็จะทำหน้าที่หยุดความคิดดังกล่าวได้คล้ายอัตโนมัติ แม้กระทั่งในนิมิต หรือในความฝัน หรือในมโนภาพที่สมองปรุงแต่งขึ้นมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า สมองของท่านมีข้อมูลในการรู้เห็นและหยุดความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสมากพอควร จนสมองสามารถทำงานได้เองคล้ายอัตโนมัติในขณะที่สติอ่อนกำลังลงไปมากแล้วก็ตาม. เมื่อตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้า หรือตอนกลางวัน หรือก่อนนอนหลับ ท่านควรเจริญสมาธิระยะเวลาสั้น ๆ ในท่านั่งหรือนอนก็ได้ เป็นเวลา ๑๐ - ๓๐ นาทีหรือตามความเหมาะสม. เมื่อจิตใจของท่านสงบตามสมควร หรือสมองได้พักเพื่อพร้อมที่จะมีสติในการรับคำสั่งของตนเองได้อย่างเต็มที่แล้ว จึงตั้งเจตนาอย่างแน่วแน่(สั่งตนเอง)ว่า จะมีความตั้งใจและมีความเพียรอย่างจริงจัง ที่จะใช้สติปัญญาทางธรรมในการรู้เห็นและควบคุมความคิด โดยไม่ให้คิดอกุศลและไม่ให้ทำอกุศล แต่ให้คิดและทำแต่กุศล พร้อมทั้งรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน ก็ถือว่า เป็นการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาโดยสรุป(ตามโอวาทปาฏิโมกข์). ในขณะที่ท่านไม่ได้เจ็บป่วย แต่จิตใจของท่านมีอาการขุ่นมัว ไม่บริสุทธิ์ผ่องใส ให้ท่านพิจารณาค้นหาสาเหตุ ซึ่งมักจะพบว่า มีสาเหตุมาจากความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส(คิดอกุศล) และท่านควรหยุดความคิดดังกล่าวทันที แล้วความขุ่นมัวในจิตใจก็จะหมดไป ตามกำลังความรู้และความสามารถทางธรรมของท่านเอง. การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเพียงอย่างเดียว หรือการมีสติอยู่ที่อิริยาบถและการเคลื่อนไหว แต่ไม่ได้ตั้งใจใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ไม่ให้มีกิเลสเจือปน หรือให้เป็นไปตามโอวาทปาฏิโมกข์ ก็ถือว่า เป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่ครบสมบูรณ์ เพราะไม่สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้ตรงประเด็น. การมีความตั้งใจ(มีสติ) และมีความเพียรในการใช้ข้อมูลด้านปัญญาทางธรรม ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามโอวาทปาฏิโมกข์และมรรคมีองค์ ๘ จึงจะเป็นสติทางธรรม. การเดินจงกรม โดยการมีสติในการเดินอย่างจริงจัง และไม่ให้เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน แต่ไม่ได้มีเจตนาในการปฏิบัติธรรมตามองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งของการเจริญสติ ก็อาจจัดว่า เป็นสติในการทำกิจต่าง ๆ ด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่สติทางธรรมที่สมบูรณ์แบบ เพราะสติทางธรรมที่สมบูรณ์ต้องมีการใช้ข้อมูลด้านปัญญาทางธรรมหรือข้อมูลในอริยสัจ ๔ ในความจำ เพื่อการรู้เห็นและควบคุมความคิด ไม่ให้เจือปนด้วยกิเลส. การศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องง่าย มีเนื้อหาไม่มากนัก แต่ต้องใช้เวลาและความเพียรพอสมควร หลายท่านไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติธรรม เมื่อเริ่มฝึกปฏิบัติธรรมก็มักคิดไปว่า จะต้องรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสมองต้องใช้เวลานานในการจดจำข้อมูล และโยงใยข้อมูลอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว จึงจะมีความสามารถในระดับสูงได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านจะรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ตามกำลังความสามารถของข้อมูลที่มีอยู่ในความจำของท่านในขณะนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเกินไป. การศึกษาเล่าเรียนทางโลกจำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางด้านวิชาการ จึงจะสามารถใช้ข้อมูลที่จดจำไว้ได้ในชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่การศึกษาอริยสัจ ๔ รวมทั้งการฝึกดำเนินชีวิตตามโอวาทปาฏิโมกข์และมรรคมีองค์ ๘ เพื่อการดับกิเลสและกองทุกข์นั้น ดูเหมือนง่ายกว่าการศึกษาเล่าเรียนในชั้นประถมปีที่ ๑ เสียด้วยซ้ำไป เพราะมีข้อมูลที่ต้องศึกษา ฝึกปฏิบัติธรรมและจดจำไม่มากนัก หรือมีเพียงกำมือเดียวเท่านั้นเอง ต่างกับเนื้อหาของการศึกษาทางโลก ซึ่งมีเนื้อหามากมายเหลือเกิน. ท่านที่ครองเรือนและฝึกปฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นทุกข์ได้อย่างต่อเนื่องหรือได้อย่างเด็ดขาดเยี่ยงพระอรหันต์นั้น จะเป็นเรื่องยากมาก เพราะคนในยุคปัจจุบันนี้ มักจะมีข้อมูลด้านกิเลสอยู่ในความจำและมีข้อมูลใหม่ ๆ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่คอยกระตุ้นให้คิดด้วยกิเลสเป็นจำนวนมากมาย. ในขณะที่ท่านยังไม่เข้าใจในเนื้อหาของอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมยังไม่ถูกต้องและครบถ้วน ท่านจะรู้สึกว่า การศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากมาก ๆ แต่ขอยืนยันว่า เป็นเรื่องง่าย ถ้าท่านเข้าใจอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้องและฝึกปฏิบัติธรรมได้ตรงประเด็น. คนในยุคนี้มีข้อมูลด้านกิเลสที่มีอยู่แล้วในความจำเป็นอันมาก จึงจำเป็นต้องใช้เวลาและความเพียรในการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมให้เพียงพอ ที่จะใช้ในการควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
การทำให้กิเลสและกองทุกข์ลดลงเป็นเรื่องง่าย แต่การดับกิเลสและกองทุกข์อย่างสิ้นเชิงเป็นเรื่องยาก การทำให้กิเลสและกองทุกข์ลดลงเป็นเรื่องง่าย แต่การจะทำให้กิเลสและกองทุกข์หมดไปอย่างสิ้นเชิงนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะต้องต่อสู้กับข้อมูลด้านกิเลสที่เข้มข้น มีจำนวนมาก และฝังแน่นอยู่ในความจำมาเป็นเวลานาน(อาสวะ) ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีอิทธิพลต่อความคิดเป็นอย่างมาก. ท่านที่เริ่มต้นฝึกปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นจะต้องสามารถดับความทุกข์ได้ต่อเนื่องแบบพระอรหันต์ เพียงแต่ท่านสามารถลดความทุกข์ให้น้อยลงไปเรื่อย ๆ ก็นับว่าเก่งมากแล้วสำหรับคนในยุคนี้. ถ้าข้อมูลด้านกิเลสที่เจือปนเข้ามาในความคิดของท่านมีความรุนแรงมาก หรือท่านคิดปรุงแต่งกิเลสขึ้นมามาก หรือมีปัญหาหลายด้านเข้ามาในเวลาเดียวกัน ในขณะที่ความรู้และความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมของท่านยังมีน้อย ท่านก็อาจจะพ่ายแพ้ได้โดยง่าย. เพื่อความไม่ประมาท ท่านควรมีความเพียรในการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ(เพิ่มวิชชา) และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความชำนาญและกลายเป็นนิสัยที่ดีสืบต่อไป. ความดับทุกข์(นิพพาน)อยู่แค่เอื้อมถ้าลงมือฝึกปฏิบัติธรรม ชาวไทยพุทธส่วนใหญ่จะมีข้อมูลความศรัทธาและความรู้ทางธรรมเป็นจำนวนไม่น้อยอยู่ในความจำแล้ว ดังนั้น เมื่อได้รับคำแนะนำเรื่องอริยสัจ ๔ ที่ถูกต้องและตรงประเด็น ก็จะสามารถปรับข้อมูลที่มีอยู่แล้วในความจำ เพื่อนำมาใช้ในการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสได้ง่าย. ทันทีที่ลงมือฝึกปฏิบัติธรรม ความดับทุกข์หรือภาวะนิพพานย่อมเกิดขึ้นในจิตใจของผู้นั้นทันที. ความดับทุกข์จึงเปรียบเหมือนหญ้าปากคอกและอยู่แค่เอื้อม ขอเพียงให้ท่านลงมือปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องและครบถ้วน ก็จะสามารถดับสาเหตุของความทุกข์ได้ตรงประเด็น. การจะตั้งอยู่ในภาวะของนิพพานได้นานเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของท่านที่มีอยู่ขณะนั้น รวมทั้งเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย. สุขภาพของร่างกายมีความสำคัญต่อการดับกิเลสและกองทุกข์โดยตรง ความสามารถของสมองในการทำกิจต่าง ๆ ทั้งทางโลกและทางธรรมจะลดลงในขณะที่สุขภาพไม่ดี เจ็บป่วย มึนเมา พักผ่อนน้อย เหน็ดเหนื่อย สมองล้า สมองได้รับบาดเจ็บ สมองเสื่อม เป็นต้น. เมื่อความสามารถของสมองลดลงจะด้วยเหตุใดก็ตาม ความสามารถในการรู้เห็นและควบคุมความคิดก็จะลดลงไปด้วย จึงเป็นเหตุให้มีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้โดยง่าย. ท่านคงจะทราบดีว่า ขณะหิวอาหาร ร่างกายเหนื่อยอ่อน และสมองล้า จะทำให้ความสามารถในการรู้เห็นและควบคุมความคิดลดลง ทำให้เกิดความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้โดยง่าย เป็นผลให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ จึงมีการแสดงออกทางอารมณ์ ซึ่งมีผลต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น แสดงความไม่พอใจ โกรธเคือง โมโหหิว หรือน้อยอกน้อยใจ เป็นต้น. สมองมีความสำคัญต่อการดับกิเลสและกองทุกข์โดยตรง ท่านจึงควรดูแลสมองให้มีความสมบูรณ์ที่สุด เช่นเดียวกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตทั่วไป พร้อมทั้งให้สมองทำงานอย่างสม่ำเสมอ และได้รับการพักผ่อนที่พอเหมาะพอควร ตามทางสายกลาง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล. ความก้าวหน้าและการประเมินผล เมื่อท่านฝึกควบคุมความคิดได้ระยะหนึ่ง ท่านจะสังเกตเห็นว่า มีการลดระยะเวลาของการคิดและการกระทำต่าง ๆ ที่มีกิเลสเจือปน เช่น ในอดีตบางท่านเคยฟังเพลงบ่อยและฟังอย่างเพลิดเพลินครั้งละนาน ๆ เพราะมีความสุขจากการคิดปรุงแต่งไปตามท่วงทำนองของเสียง จังหวะดนตรี และเนื้อหาของเพลง. ครั้นเมื่อมาฝึกเจริญสติได้สักระยะหนึ่งแล้ว จะพบว่า ระยะเวลาที่ใช้ในการฟังเพลงอย่างเพลิดเพลินจะลดลง และถ้าฝึกไปเรื่อย ๆ สติปัญญาทางธรรมจะมากขึ้น การฟังเพลงก็จะลดลงไปตามลำดับ จนในที่สุด เป็นแรมเดือน ท่านอาจไม่มีเจตนาหาความสุขจากการฟังเพลงเพื่อความเพลิดเพลินอีกเลย. ท่านควรสังเกตความแหลมคม และความว่องไวด้านสติปัญญาทางธรรมของท่านว่า มีมากน้อยเพียงใด โดยสังเกตความรวดเร็วของการรู้เห็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสและความสามารถในการดับความคิดดังกล่าว เช่น เมื่อท่านรู้เห็นว่า ท่านกำลังคิดเรื่องอกุศลอยู่ ท่านสามารถหยุดความคิดนั้น ๆ ได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ ถ้าหยุดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็แสดงว่าท่านมีความก้าวหน้า . บางครั้งท่านจะรู้เห็นว่า การกระทำต่าง ๆ ที่เป็นอกุศลของท่านได้หยุดลงแล้ว แต่ความคิดที่เป็นอกุศลยังมีอยู่ เช่น ท่านรักษาศีลได้อย่างบริสุทธิ์(กายและวาจาบริสุทธิ์) แต่ความคิด(จิตใจ)ยังไม่บริสุทธิ์ ก็แสดงว่า ความสามารถในการรู้เห็นและควบคุมความคิดยังไม่เพียงพอ และยังคงมีความทุกข์อยู่. เมื่อท่านพบปัญหาที่ยาก ๆ ท่านควรถือโอกาสศึกษาว่า ท่านสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้มากน้อยเพียงใด ถ้าท่านยังทำได้ไม่ดีพอ ก็ควรเร่งรัดตนเองในการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำให้มากขึ้น ด้วยการศึกษาและทบทวนความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนและต่อเนื่องมากขึ้น เพื่อให้มีความพร้อมในการดับกิเลสยิ่งขึ้น เพราะไม่รู้ว่า ปัญหายาก ๆ จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าเมื่อใด.
๔. ฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติไปใช้ในการ พิจารณาธรรม
การพิจารณาธรรมตามองค์ประกอบนี้หมายถึง (๑)การศึกษาอริยสัจ ๔ (๒)การทบทวนอริยสัจ ๔ (๓)การพิจารณาธรรมเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยใช้หลักและวิธีการในอริยสัจ ๔. การศึกษาธรรมและทบทวนธรรมในรูปแบบต่าง ๆ จะทำให้ท่านสามารถเข้าใจและจดจำหลักธรรมคำสอนไว้ใช้เป็นข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม จัดว่าเป็นปัญญา(ความรู้)ด้านการจดจำหลักธรรม(สุตมยปัญญา). การใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมมาประกอบการพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ จะทำให้เกิดการทบทวนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำมากขึ้น และทำให้ได้คำตอบว่า จะแก้ไขปัญหานั้น ๆ อย่างไร. คำตอบที่เกิดขึ้นจัดว่า เป็นปัญญาด้านการพิจารณาธรรม(จินตามยปัญญา). การพิจารณาแก้ปัญหาโดยไม่มีคำตอบ ก็ถือว่าไม่เกิดปัญญาจากการพิจารณา เช่นเดียวกับการสอบในขณะศึกษาเล่าเรียนนั้น จะต้องมีคำตอบ ถ้าไม่มีคำตอบก็คงจะสอบตกอย่างแน่นอน. เมื่อนำเอาคำตอบจากการพิจารณาแก้ปัญหามาลงมือปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน จะทำให้ท่านสามารถลดหรือดับปัญหานั้น ๆ ลงไปได้ และเกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมภาคปฏิบัติ(ภาวนา)ในความจำ จัดว่าเป็นปัญญาด้านปฏิบัติธรรม(ภาวนามยปัญญา). ความสำเร็จของการปฏิบัติธรรมจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีสติในการใช้ปัญญาทางธรรมทั้ง ๓ แบบในชีวิตประจำวัน. ชาวพุทธแท้จำเป็นต้องพิจารณาอริยสัจ ๔ จนเข้าใจแจ้งชัดตามความเป็นจริง ท่านที่ไม่ได้ศึกษาอริยสัจ ๔ และไม่ได้ฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้องและครบถ้วน จะไม่สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้ดี บางท่านอาจมีความทุกข์มากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว จึงอาจหลงผิดคิดว่า ตนสามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้สนิทแล้ว. เพื่อความไม่ประมาท อย่างน้อยที่สุด ชาวพุทธควรมีความเพียรในการศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วน จนรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง และจะเชื่อเฉพาะผลการปฏิบัติที่ผ่านการพิสูจน์ของตนเองแล้วเท่านั้น พร้อมทั้งเลิกหลงเชื่อสิ่งที่ไม่ผ่านการพิสูจน์จากการปฏิบัติของตนเอง. ความเชื่อบางเรื่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในอริยสัจ ๔ และไม่ผ่านการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง อาจจัดว่าเป็นความหลง(โมหะ) ได้ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะขาดการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมในการพิสูจน์เรื่องที่ได้รับรู้มา ให้รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง. ท่านที่ใช้ข้อมูลด้านความหลง หรือใช้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในอริยสัจ ๔ ก็มักจะไม่สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจทำให้มีข้อมูลด้านกิเลสเพิ่มขึ้นในความจำได้อีกด้วย. เป้าหมายสูงสุดของการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ คือ ทำอวิชชาหรือความไม่รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔ ให้หมดไป(เป็นสมุฏเฉทประหาร) โดยการศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ จนรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔ (มีวิชชา) ก็จะดับอวิชชา ดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส(ดับสังขารในปฏิจจสมุปบาท) ดับตัณหา และดับทุกข์ได้อย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน. การพิจารณาอริยสัจ ๔ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด อริยสัจ ๔ ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และตรัสสอน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดหรือเป็นแก่นธรรมของพระพุทธศาสนา มีเนื้อหาย่อ ๆ พอเป็นแนวทางให้ท่านผู้เริ่มฝึกใช้พิจารณาธรรม เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ เอาไว้เป็นข้อมูลประกอบการฝึกปฏิบัติธรรมในขั้นต้นได้ ดังนี้ :- ทุกข์ คือ ความไม่สบายที่ร่างกาย หรือที่จิตใจ หรือทั้งร่างกายและจิตใจ ที่จะส่งผลกระทบถึงกันได้ ได้กล่าวถึงแล้วในหน้า ๕ ขอให้ท่านผู้อ่านกรุณาทบทวนอีกครั้ง. สมุทัย คือ สาเหตุของความทุกข์ ซึ่งในที่นี้หมายถึงความทุกข์ทางจิตใจ เกิดขึ้นจากความคิดที่มีกิเลสเจือปน เพราะไม่มีความรู้และไม่มีความสามารถในการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน(มีอวิชชา) จึงทำให้ไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสได้. สาเหตุของความทุกข์เกิดจากความคิด ๒ แบบ ดังนี้ :- แบบที่ ๑. เจตนาคิดด้วยกิเลส จึงทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจขึ้นมาทันที. แบบที่ ๒. เผลอสติไปคิดด้วยกิเลส จึงทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจได้เช่นเดียวกัน เพราะธรรมชาติของสมองมนุษย์เป็นเช่นนั้นเอง. ความคิดทั้ง ๒ แบบมีลักษณะเหมือนกันคือ เป็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส หรือเป็นการคิดด้วยกิเลส เมื่อความคิดเจือปนด้วยกิเลสอย่างรุนแรง จะทำให้มีความทุกข์เกิดขึ้นในจิตใจอย่างมากมายจนทนไม่ไหว จึงต้องหาทางดับความทุกข์ที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ ถึงแม้จะต้องเบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่นก็ต้องทำ เช่น อยากร่ำรวยต้องทนทำงานหามรุ่งหามค่ำจนเกิดเจ็บป่วย อยากมั่งมีทรัพย์สินจนโกงกิน เป็นต้น. กระบวนการทางจิตใจที่เจือปนด้วยกิเลสจนเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์(ปฏิจจสมุปบาท) ซึ่งเกิดขึ้นเพราะขาดข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ หรือมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมอยู่ในความจำ แต่ไม่ได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลส. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ทางจิตใจ หรือภาวะของการไม่มีความทุกข์ เกิดขึ้นได้ในทันทีที่มีการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(วิชชา)ในความจำ ทำการหยุดความคิดโดยการเจริญสมาธิ หรือควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสโดยการเจริญสติ(ไม่ให้มีสังขารในปฏิจจสมุปบาท). ขณะที่ท่านไม่มีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส ท่านก็จะไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง(ไม่มีอวิชชาครอบงำ) ไม่สุข และไม่ทุกข์ เป็นภาวะที่จิตใจของท่านมีความเบาสบาย(ปีติ) มีความสุข(สุขสงบ) และมีความบริสุทธิ์ผ่องใส เนื่องจากจิตใจไม่มีกิเลสและความทุกข์(เป็นภาวะนิโรธหรือเป็นภาวะนิพพาน). ภาวะนิพพาน มี ๒ แบบ ดังนี้ :- แบบที่ ๑. ภาวะไม่มีความทุกข์ชั่วคราว(นิพพานชั่วคราว) เป็นเป้าหมายแรกของผู้เริ่มฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ที่จะต้องพยายามทำให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือนานที่สุดเท่าที่จะทำได้. แบบที่ ๒. ภาวะไม่มีความทุกข์อย่างต่อเนื่อง(นิพพานอย่างต่อเนื่อง) เป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘. ทุกท่านสามารถสัมผัสกับภาวะนิพพานชั่วคราวได้ ในทันทีที่ลงมือปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร และเป็นเครื่องบ่งชี้ให้รู้เห็นได้ชัดเจนว่า นิพพานเป็นภาวะของจิตใจในชีวิตปัจจุบันนี้เอง. ในชีวิตประจำวัน จิตใจของท่านสามารถตั้งอยู่ในภาวะนิพพานได้วันละนาน ๆ หรือได้วันละหลาย ๆ ครั้ง ตราบใดที่ท่านสามารถใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดของท่านให้บริสุทธิ์ผ่องใสโดยไม่มีกิเลสเจือปน. ถ้าท่านระลึกถึงความทุกข์บางเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม จะพบว่าเรื่องของความทุกข์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตและจดจำไว้ เช่น ความเจ็บปวดในจิตใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความโกรธแค้น เป็นต้น เมื่อถูกนำกลับมาคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นผลให้มีความทุกข์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่นกัน ถึงแม้เหตุการณ์ได้ล่วงเลยมาเป็นเวลาแรมปีแล้ว แต่ความรู้สึกเป็นทุกข์ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย. ครั้นเมื่อท่านฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมได้บ้างแล้ว ท่านจะสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ดีขึ้น ทำให้การคิดปรุงแต่งในเรื่องของความทุกข์ในอดีตลดลงเป็นนาทีหรือเป็นวินาที หรือบางวันไม่คิดเลย. การฝึกปฏิบัติธรรมจนสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ จะทำให้สามารถพ้นทุกข์ที่มีสาเหตุมาจากเรื่องในอดีตและปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีข้อมูลด้านกิเลสอยู่ในความจำ(อาสวะ)เป็นจำนวนมากก็ตาม. มรรค คือ ทางปฏิบัติ(วิธีปฏิบัติ)เพื่อความดับทุกข์ ซึ่งประกอบด้วยองค์ธรรม ๘ ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ความ ดำริชอบ วาจาชอบ การกระทำชอบ อาชีพชอบ ความเพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ. เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงคำแนะนำอย่างย่อ และง่าย ๆ (คล้ายอนุปุพพิกถา) เพื่อให้เกิดความเข้าใจเค้าโครงของอริยสัจ ๔ และเริ่มต้นฝึกปฏิบัติธรรมในเบื้องต้น จึงต้องย่นย่อเรื่องของมรรคมีองค์ ๘ มาเป็นเรื่องการเจริญสมาธิ การเจริญสติ และการปฏิบัติตนตามโอวาทปาฏิโมกข์แทน. วิธีพิจารณาหลักธรรมคำสอนแบบย่อและง่าย ๆ โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสรุป. การพิจารณาโอวาทปาฏิโมกข์ คือการใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมในการศึกษาและทบทวนหลักธรรมในโอวาทปาฏิโมกข์ รวมทั้งการพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยใช้หลักธรรมในโอวาทปาฏิโมกข์. พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ในวันมาฆบูชา เพื่อให้เกิดการเผยแพร่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปว่า "การไม่ทำความชั่วทั้งปวง(ละอกุศล) การบำเพ็ญแต่ความดี(ทำแต่กุศล) การทำจิตของตนให้ผ่องใส(บริสุทธิ์ผ่องใสหรือประภัสสร) นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย". ในขั้นแรก ท่านจะต้องศึกษาหรือพิจารณาความหมายขององค์ประกอบทั้ง ๓ ประการของโอวาทปาฏิโมกข์ พร้อมทั้งจดจำไว้ได้เป็นอย่างดี จึงจะเป็นข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมที่มาจากการสรุปหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สำหรับนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปฏิบัติธรรม เพื่อการดับกิเลสและกองทุกข์ในชีวิตประจำวัน. ท่านควรฝึกพิจารณาแต่ละองค์ประกอบของโอวาทปาฏิโมกข์ ดังนี้ :- การไม่ทำชั่วทั้งปวงนั้น มีใจเป็นหัวหน้า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว การควบคุมที่ใจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด. ในเรื่องของใจ(จิต หรือจิตใจ หรือมโน)นั้น ความคิดเป็นหัวหน้าใหญ่ที่ทำให้เกิดการกระทำความชั่วต่าง ๆ (ทำอกุศล) ดังนั้น วิธีดีที่สุดที่จะไม่ให้มีการทำความชั่วทั้งปวง คือ การมีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นกลวิธีที่เรียบง่าย และตรงประเด็น. ในทำนองเดียวกัน การบำเพ็ญความดีนั้น มีใจเป็นหัวหน้าใหญ่เช่นกัน และความคิดเป็นองค์ประกอบสำคัญทางใจที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของการบำเพ็ญความดี(ทำกุศล). ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้มีการบำเพ็ญความดี คือ การรู้เห็นและควบคุมความคิดให้คิดบำเพ็ญแต่ความดี(บำเพ็ญกุศล)อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นกลวิธีที่เรียบง่าย และตรงประเด็นเช่นกัน. การปฏิบัติธรรมตามโอวาทปาฏิโมกข์ หรือการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ได้อย่างบริสุทธิ์ โดยไม่ปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ (ไม่เจริญสมาธิและไม่เจริญสติ) ก็จะไม่สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้ เพราะการรักษาศีลให้บริสุทธิ์นั้น เป็นเพียงการควบคุมการกระทำต่าง ๆ ทางร่างกายและคำพูดเท่านั้นเอง จึงจำเป็นต้องฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อทำให้มีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้มีกิเลสเจือปน จึงพ้นจากความทุกข์ได้. การปฏิบัติธรรมในระดับลึกซึ้งของชาวพุทธ คือการปฏิบัติธรรมด้วยการมีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา. ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ท่านตั้งใจฝึกสอนตัวเอง หรือตักเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า "เราจะไม่คิดและไม่ทำอกุศลทั้งปวง เราจะคิดและทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม และจะรักษาจิตใจของเราให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์อยู่ตลอดเวลา". ในช่วงเริ่มต้นของการฝึกปฏิบัติธรรม ท่านควรมีความตั้งใจ(มีสติ) และมีความเพียรอย่างจริงจัง ที่จะฝึกรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามโอวาทปาฏิโมกข์วันละหลาย ๆ ครั้ง เพื่อช่วยเร่งรัดให้ท่านสามารถดำเนินชีวิตตามโอวาทปาฏิโมกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ท่านควรฝึกพิจารณาประเมินผลการปฏิบัติธรรมตามโอวาทปาฏิโมกข์วันละ ๒ - ๓ ครั้ง เพื่อเฝ้าดูความก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และช่วยผลักดันให้ท่านปฏิบัติธรรมได้อย่างต่อเนื่องมากขึ้น. ทุกครั้งที่รู้ว่า ท่านได้คิดหรือทำอกุศล ให้ท่านตั้งใจตักเตือนตนเองว่า "เราจะไม่ทำเช่นนี้อีกต่อไป". ทั้งนี้ เป็นการตั้งเจตนาอย่างจริงจังซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้ข้อมูลเจตนาเช่นว่านี้ มีอยู่ในความจำมากขึ้น. นาน ๆ เข้า ข้อมูลเช่นนี้จะกลายเป็นข้อมูลที่สมองจดจำไว้ได้ดี จำได้นาน จำได้มาก และเพียงพอที่จะหยุดการคิดและทำอกุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ก่อนทำกิจที่เสี่ยงต่อการคิดด้วยข้อมูลด้านกิเลส หรือขณะทำกิจดังกล่าวอยู่นั้น ให้ท่านฝึกมีสติในการตักเตือนตนเองบ่อย ๆ ว่า "เราจะปฏิบัติตนตามโอวาทปาฏิโมกข์ และจะตั้งใจมีสติอย่างเต็มที่ในการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้เป็นตามหลักธรรมของโอวาทปาฏิโมกข์อย่างต่อเนื่อง". โอวาทปาฏิโมกข์เป็นหลักธรรมคำสอนที่ง่าย เหมาะสำหรับท่านที่เริ่มฝึกปฏิบัติธรรม โอวาทปาฏิโมกข์เป็นเรื่องที่เข้าใจและจดจำได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นฝึก เช่น เด็ก คนวัยหนุ่มสาว คนมีการศึกษาน้อย ชาวต่างประเทศ ผู้มีความรู้ทางธรรมน้อย ผู้นับถือศาสนาอื่น เป็นต้น. ดังนั้น จึงขอแนะนำเรื่องการพิจารณาธรรมสำหรับผู้เริ่มต้นไว้เพียงแค่นี้ก่อน เมื่อท่านฝึกเจริญสติไประยะหนึ่งแล้ว จึงค่อยเพิ่มหัวข้อการพิจารณาธรรมให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มเติมข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมให้มากขึ้นเป็นขั้น ๆ ไป จะได้ไม่สับสน. เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือนเป็นเวลานานถึง ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะทรงโปรดให้สวดปาฏิโมกข์(สวดศีล ๒๒๗ ข้อ)อย่างปัจจุบันนี้แทน. การปฏิบัติงานและดำเนินชีวิตตามรอยพระยุคคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น คือ การมุ่งทำความดี(ทำกุศล) ซึ่งตรงกับหลักธรรมในโอวาทปาฏิโมกข์. โอวาทปาฏิโมกข์เป็นแนวทางของการดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐ ดังนั้น การปฏิบัติธรรมตามโอวาทปาฏิโมกข์และมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจัง ครบถ้วนและถูกต้อง จะสามารถพัฒนาจิตใจ(พัฒนาความรู้สึกนึกคิดและความจำ) รวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้สูงขึ้น จนถึงความเป็นบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล)ในระดับต่าง ๆ. ในสมัยพุทธกาล ท่านปัญจวัคคีย์และบุคคลเป็นจำนวนมาก ได้พัฒนาจิตใจจนสามารถบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพียงไม่กี่วัน โดยไม่ต้องรักษาศีล ๒๒๗ เช่นทุกวันนี้ และท่านเหล่านั้นได้ปฏิบัติธรรมตามโอวาทปาฏิโมกข์และมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ด้วยความจริงใจ โดยไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น. การศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา จึงมีความเรียบง่าย กระชับ ย่นย่อ จนเปรียบเหมือนใบไม้ในมือเพียงกำเดียว และเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ชิดกับคนไทย จนเปรียบเหมือนหญ้าปากคอกเลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ของเนื้อหาที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องที่คนไทยส่วนใหญ่ทราบอยู่แล้ว ผู้เขียนทำหน้าที่เพียงชี้ประเด็นให้ท่านทราบแนวทางในการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อให้สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ. ขอให้กำลังใจแก่ท่านผู้อ่านมา ณ โอกาสนี้ และขอท่านได้โปรดทำความเข้าใจเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ตามสมควร พร้อมทั้งนำไปทดลองฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันดู เพื่อพิสูจน์ผล แล้วคำตอบจะเกิดขึ้นกับท่านเองว่า การปฏิบัติธรรมและความพ้นทุกข์ในพระพุทธศาสนาเป็นทางสายกลางที่เรียบง่าย สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างดีเยี่ยม ขณะเดียวกัน ยังสามารถพัฒนาจิตใจของท่านให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐได้อีกด้วย. วิธีฝึกพิจารณาธรรมในห้องฝึกปฏิบัติธรรม ท่านควรเริ่มต้นด้วยการฝึกเจริญสมาธิเช่นเคย พอจิตของท่านสงบได้ดีตามสมควรแล้ว จึงค่อยเริ่มฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ พร้อมทั้งแบ่งสติมาใช้ในการฝึกพิจารณาธรรมในสัดส่วนที่เหมาะสม. ถ้าท่านไม่สามารถมีสติบางส่วนอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่อง ท่านก็อาจมีเป็นช่วง ๆ ก็ได้ แต่ถ้ายังทำไม่ได้ก็ไม่ต้องกังวล ให้พยายามต่อไป ขอเพียงให้ท่านตั้งใจ(มีสติ)ในการพิจารณาธรรมอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับเวลาที่ท่านตั้งใจเรียนหนังสือ และอย่าคิดฟุ้งซ่าน. ในทำนองเดียวกัน ถ้าท่านจำเป็นต้องใช้สมองในการคิดเรื่องยากหรือซับซ้อน จนทำให้ไม่มีสติเหลืออยู่ที่ฐานหลักของสติเลยก็ไม่เป็นไร ขอให้ท่านพยายามกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเป็นช่วง ๆ ก็ยังดี หรือเจริญสมาธิเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ได้ เพื่อพักร่างกาย สมอง และหยุดใช้ความคิดชั่วคราว. การพิจารณาธรรมควรเริ่มโดยการวางแผนการพิจารณาธรรมง่าย ๆ ว่า ท่านควรจะศึกษาเรื่องอะไร หรือจะทบทวนเรื่องอะไร หรือจะพิจารณาแก้ปัญหาเรื่องที่ท่านกำลังมีความทุกข์หรือจะพิจารณาประเมินผลการศึกษาและปฏิบัติธรรมในขั้นตอนใด หรือพิจารณาเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาธรรม การปฏิบัติธรรม และการเผยแพร่ธรรมหัวข้อหนึ่งหัวข้อใดก็ได้. ท่านควรฝึกพิจารณาธรรมตามหัวข้อธรรม(องค์ธรรม)ต่าง ๆ ในอริยสัจ ๔ หรือตามแผนการที่ท่านตั้งเจตนาไว้ พร้อมทั้งพยายามจดจำข้อมูลทางธรรมที่มีประโยชน์ไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปฏิบัติธรรม และเพื่อการเผยแพร่ธรรมในอนาคต. การพิจารณาธรรมในเรื่องของอริยสัจ ๔ ถือว่า เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเป็นแก่นธรรมของพระพุทธศาสนา และมีเนื้อหาที่ต้องศึกษาฝึกปฏิบัติ พิสูจน์ผล และจดจำไม่มากนัก. การศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมตามอริยสัจ ๔ จึงไม่ต่างอะไรกับการศึกษาเล่าเรียนในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตของท่านเอง เพียงแต่เป็นการศึกษาเล่าเรียนธรรม ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง. วิธีฝึกพิจารณาธรรมในชีวิตประจำวัน การพิจารณาธรรมที่ง่ายที่สุด คือ การพิจารณาโอวาทปาฏิ โมกข์ ซึ่งได้กล่าวถึงแล้วในเนื้อหาขององค์ประกอบที่ ๓. เมื่อท่านฝึกปฏิบัติธรรมตามโอวาทปฏิโมกข์ จนเข้าใจดีแล้ว จึงค่อยเริ่มพิจารณาธรรมตามเนื้อหาต่อไปนี้. การพิจารณาธรรมในชีวิตประจำวันมี ๒ ข้อ คือ ๑.หลักการและวิธีการในการพิจารณาธรรมทั่วไป ๒.การพิจารณาร่างกายและจิตใจว่าเป็นไตรลักษณ์จริง. มีรายละเอียดดังนี้ :- ๑. หลักการและวิธีการในการพิจารณาธรรมทั่วไป. ในชีวิตประจำวัน ท่านควรแบ่งเวลาให้กับการศึกษาธรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวตามความเหมาะสม เช่น ช่วงก่อนเข้านอนของทุกคืน. ท่านอาจลดเวลาของการดูโทรทัศน์ช่วงดึก แล้วใช้เวลาในการศึกษาธรรมวันละ ๒๐ - ๓๐ นาที ก็น่าจะเกิดประโยชน์อย่างพอเพียง. ท่านควรให้เวลาในการทบทวนความรู้ทางธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ ด้วยการศึกษาซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือฟังธรรม หรือสนทนาธรรมกับผู้รู้อยู่เสมอ เพื่อให้สมองมีการทบทวนข้อมูลทางธรรมเป็นประจำ ทำให้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในเรื่องอริยสัจ ๔ ไม่จางหายไปจากความจำ และมีความชำนาญในการใช้งานเป็นอย่างดี. การพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม จะทำให้เกิดการทบทวนข้อมูลทางธรรมในความจำ เป็นผลให้ความจำทางด้านธรรมดีขึ้น และสมองมีความคล่องแคล่วในการใช้ข้อมูลทางธรรมในความจำมาประกอบการคิดและพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับการฝึกซ้อมทำแบบฝึกหัดก่อนสอบ จะทำให้มีความพร้อมในการใช้ข้อมูลทางวิชาการเพื่อทำข้อสอบได้มากขึ้น. เมื่อท่านทำความเข้าใจเนื้อหาในอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติได้ตามสมควร ท่านก็จะค้นพบด้วยสติปัญญาของท่านเองว่า ความทุกข์ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งสิ้น จะมีสาเหตุเหมือนกันหมด คือ "เพราะไม่มีความรู้และความสามารถในอริยสัจ ๔ อย่างแจ้งชัดตามความเป็นจริง(มีอวิชชา) จึงมีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส(มีสังขารในปฏิจจสมุปบาท)เกิดขึ้น". วิธีดับความทุกข์ก็เหมือนกันหมด คือ "จะต้องศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อให้มีความรู้และความสามารถในการดับอวิชชาและดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสให้หมดไป(ดับสังขารในปฏิจจสมุปบาท)". นี่แหละคือความเรียบง่ายและตรงไปตรงมาของการดับกิเลสและกองทุกข์ตามวิธีการในพระพุทธศาสนา. การตั้งใจพิจารณาธรรมหรือการทำกิจต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและนานเกินไป อาจทำให้สมองล้า จนไม่สามารถมีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้บริสุทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ท่านคิดด้วยข้อมูลด้านกิเลสได้โดยไม่รู้ตัว หรืออาจเกิดการคิดฟุ้งซ่านทางธรรม หรือฟุ้งซ่านในกิจที่ท่านกำลังทำอยู่ก็ได้. การพิจารณาธรรมส่วนใหญ่มักจะลงเอยด้วยการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ส่วนความสำเร็จในการดับกิเลสและกองทุกข์นั้น เกิดขึ้นจากการมีความตั้งใจ(สติชอบ)และมีความเพียร(เพียรชอบ)ในการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนกว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้หมดสิ้น. ๒. การพิจารณาร่างกายและจิตใจว่าเป็นไตรลักษณ์จริง. การพ้นจากกิเลสและกองทุกข์อย่างละเอียดได้นั้น จำเป็นจะต้องมีข้อมูลปัญญาทางธรรมที่คอยโน้มน้าวจิตใจไม่ให้มีความยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายและจิตใจนี้เป็นเรา หรือเป็นของเรา หรือต้องคงอยู่อย่างเดิม หรือต้องเป็นไปตามที่เราปรารถนา โดยการพิจารณาจนรู้เห็นอย่างแจ้งชัดตามความเป็นจริงในลักษณะ ๓ ประการของร่างกายและจิตใจ(ไตรลักษณ์) กล่าวคือ ๑.มีความไม่เที่ยง(อนิจฺจตา) ๒.คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้(ทุกฺขตา) ๓.มีการดับสลายไปเป็นธรรมดา(อนตฺตตา) เพราะธรรมชาติของร่างกายและจิตใจเป็นเช่นนั้นเอง(การพิจารณาร่างกายและจิตใจว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นเนื้อหาของสัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘). คนทั่วไปมักจะมีความคิดและความจำในลักษณะของการยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายและจิตใจนี้เป็นเรา หรือเป็นของเรา หรือต้องคงอยู่อย่างเดิม หรือต้องเป็นไปตามที่เราปรารถนา. ความยึดมั่นถือมั่นด้วยความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส(อุปาทาน)เช่นนี้เอง ที่เป็นตัวโน้มน้าวให้สมองมีการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลส เพื่อให้เป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่นของเจ้าของ จนเป็นผลให้เกิดความทุกข์ขึ้น. ท่านควรฝึกพิจารณาให้รู้เห็นข้อเท็จจริงในธรรมชาติของร่างกายและจิตใจของท่านเองว่าไม่เที่ยง เพราะมีลักษณะ ๓ ประการ(ไตรลักษณ์) เพื่อดับความยึดมั่นถือมั่นของท่านเอง. การมีความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายจนเกินความพอเหมาะพอควร ย่อมทำให้เกิดความทุกข์ เช่น เมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในลักษณะที่ไม่ต้องการ หรือในยามที่ร่างกายของท่านอยู่ในภาวะเจ็บป่วย เสื่อม พิการ หรือกำลังจะต้องตาย เป็นต้น. ถ้ายิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น. การมีความยึดมั่นถือมั่นในจิตใจของท่านจนเกินความพอเหมาะพอดี ย่อมจะทำให้เกิดความทุกข์ได้เช่นเดียวกัน เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่จิตใจและเป็นไปในทางที่ไม่ต้องการ. ยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นในจิตใจมากเท่าไร ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น เช่น ความยึดมั่นในความสุข(เวทนา) ครั้นมีความรู้สึกเป็นสุขลดลงก็เป็นทุกข์, ความยึดมั่นในความจำ(สัญญา) ครั้นมีการหลงลืมหรือจำผิดก็เป็นทุกข์, ความยึดมั่นในความคิด(สังขาร) ครั้นมีใครคิดไม่ตรงกับตนก็เป็นทุกข์ เป็นต้น. ความยึดมั่นในจิตใจดังกล่าว ที่ทำให้ท่านคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสไปต่าง ๆ นา ๆ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ตรงกับความยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น จึงทำให้เกิดความทุกข์. ท่านควรฝึกพิจารณาร่างกายและจิตใจของท่านเอง เพื่อให้รู้เห็นข้อเท็จจริงว่า ร่างกายและจิตใจของท่านนั้น มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีการเปลี่ยนแปลงและดับสลายไปเป็นธรรมดา(เป็นไตรลักษณ์) เมื่อท่านยอมรับความเป็นจริงเช่นนี้แล้ว ท่านก็ควรมีความจริงใจและความจริงจังที่จะใช้ข้อมูลทางธรรมดังกล่าวในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เพื่อฝึกดับความยึดมั่นถือมั่น (ดับอุปาทาน)ให้หมดไป. ท่านที่ยังมีข้อมูลด้านไตรลักษณ์ในจิตใจไม่มั่นคงพอ คือ ยังมีความทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่นอยู่เสมอ ก็ควรทบทวนความเป็นไตรลักษณ์ของร่างกายและจิตใจวันละหลายครั้ง จนกว่าท่านจะมั่นใจว่า จิตใจของท่านคลายจากความยึดมั่นถือมั่นและความทุกข์ได้ตามสมควร จึงค่อยทบทวนความเป็นไตรลักษณ์เพียงวันละ ๒ - ๓ ครั้งก็พอ. วิธีสังเกตว่า จิตใจของท่านยอมรับความเป็นไตรลักษณ์ได้ดีหรือไม่นั้น ท่านจะพิสูจน์ความสามารถในการดับความยึดมั่นถือมั่นที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ เช่น เวลาโดนว่า โดนติเตียน โดนดูถูก โดนโขก โดนสับ โดนสบประมาท โดนกลั่นแกล้ง โดนเอาเปรียบ เจ็บป่วย พิการ ไม่สมหวัง ความคิดเห็นไม่ตรงกัน เสียหน้า เสียชื่อเสียง เสียเกียรติ เสียทรัพย์สิน พลัดพราก ยากจน เป็นหนี้ ถ้าเกิดความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสหรือมีความทุกข์ก็แสดงว่า ท่านยังไม่สามารถใช้ข้อมูลความเป็นไตรลักษณ์ในชีวิตจริงได้ จึงควรเพียรฝึกฝนให้สามารถใช้ความเป็นไตรลักษณ์ในชีวิตประจำวันต่อไป โดยการสอนและตักเตือนตนเองในความเป็นไตรลักษณ์เมื่อพบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมกับคอยรู้เห็นและควบคุมความคิดไว้ตลลอดเวลา. ในชีวิตประจำวัน ท่านควรทบทวนความเป็นไตรลักษณ์วันละหลาย ๆ ครั้ง เช่น ขณะรับประทานอาหาร ขณะขับถ่าย ขณะทำความสะอาดร่างกาย ขณะออกกำลังกาย ขณะเจ็บป่วย ขณะผิดหวัง ขณะพลัดพราก ขณะสูญเสีย ขณะมีความทุกข์ ขณะมีความสุขสงบ ขณะจิตใจตั้งมั่น ขณะฟุ้งซ่าน ขณะหวั่นไหว ขณะหลงลืม ขณะจิตใจขุ่นมัว ให้เตือนตนเองว่า เป็นไตรลักษณ์ ไม่ควรที่จะยึดมั่นถือมั่นด้วยความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส. ท่านควรพิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ของร่างกายและจิตใจไว้เสมอ วันละหลายครั้งสำหรับท่านที่ฝึกใหม่ เพื่อตอกย้ำเข้าไปในความจำว่า ร่างกายและจิตใจของท่านได้เกิดขึ้นมาแล้วตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถคงอยู่ในสภาพเดิมตลอดไป(เป็นอนิจจัง) เพราะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยอยู่ตลอดเวลา(เป็นทุกข์) และมีการดับสลายไปตามเหตุปัจจัย(อนัตตา)เป็นธรรมดา. การยอมรับความจริงในความเป็นไตรลักษณ์ได้อย่างจริงใจและจริงจัง จะทำให้ท่านลดละ หรือจางคลาย หรือดับ หรือสลัดคืนซึ่งกิเลส ความทะยานอยาก(ตัณหา) และความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน)ที่มีอยู่ในความคิดและความจำของท่าน อันสืบเนื่องมาจากความไม่รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงในธรรมชาติของร่างกายและจิตใจของตนเอง. ถ้าท่านพิจารณาธรรมแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกายและจิตใจของท่านเอง ก็ถือว่า ท่านพิจารณาผิดทาง แต่ถ้ามีความเบื่อหน่ายในกิเลส ตัณหา อุปาทาน และความทุกข์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ถือว่าท่านพิจารณาถูกทางแล้ว. ความเบื่อหน่ายก็ต้องมีความพอเหมาะพอควร คือ ไม่มากและไม่น้อยเกินไป เพราะถ้ามากเกินไปจะกลายเป็นความห่อเหี่ยว วิตกกังวล ซึ่งเป็นความทุกข์เช่นกัน. วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา คือ เพื่อการดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสและดับกองทุกข์ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อการเบื่อหน่ายในร่างกายและจิตใจแต่ประการใด. การเบื่อหน่ายร่างกายและจิตใจของตนเอง จะทำให้จิตใจหดหู่และมีความทุกข์ บางครั้งอาจเกินเลยถึงขั้นเบื่อหน่ายในชีวิตเลยก็ได้. ในทางตรงกันข้าม การเบื่อหน่ายกิเลสและความทุกข์ด้วยความพอเหมาะพอควร พร้อมทั้งปฏิบัติธรรมจนลดความทุกข์ได้ตามสมควร จะทำให้เกิดความสุขสงบ(ปัสสัทธิ) เบาสบาย(ปีติ) และมีความปราโมทย์ในจิตใจ. ทั้งในยามปกติ ขณะป่วย หรือยามสูญเสียบุคคลที่ตนเคยรักและผูกพัน ท่านควรทบทวนว่า ร่างกายและจิตใจของท่านเองหรือของผู้อื่น ต่างก็เป็นไปตามไตรลักษณ์เหมือนกันหมด ทั้งนี้เพื่อลดความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายและจิตใจของท่านเอง พร้อมทั้งใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิด ไม่ให้มีการคิดด้วยกิเลสอย่างต่อเนื่องต่อไป. เมื่อท่านมีความทุกข์จากการสูญเสียทรัพย์สิน เงินทอง หรือของที่ท่านรักและหวงแหน(มีความยึดมั่นหรือผูกพัน) ท่านก็สามารถพิจารณาความเป็นไตรลักษณ์ที่ตัวของท่านเอง จะเป็นผลให้เกิดความจางคลายจากความยึดมั่นถือมั่นที่มีอยู่ในความจำ และช่วยให้สามารถดับทุกข์ได้เป็นอย่างดี. ท่านควรฝึกพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ในชีวิตประจำวันโดยใช้ข้อมูลไตรลักษณ์ รวมทั้งหมั่นสอนตนเอง หรือทบทวน หรือตักเตือนตนเองอยู่เสมอว่า "เรากำลังอยู่ในกระแสของไตรลักษณ์ และเราจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นด้วยความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสตลอดไป" เพื่อให้สมองของท่านจดจำไว้ได้อย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น จะได้มีความพร้อมในการรับรู้เรื่องต่าง ๆ โดยไม่คิดปรุงแต่งด้วยกิเลส. ท่านควรฝึกใช้สติปัญญาทางธรรมพิจารณาให้เห็นข้อเท็จจริงของละครที่แสดงทางโทรทัศน์เป็นครั้งคราวในขณะดูละครโทรทัศน์. การพิจารณาเช่นนี้ จะทำให้ท่านมีสติปัญญารู้เห็นความจริงว่า ละครโทรทัศน์เป็นเพียงการแสดงตามบทที่แต่งขึ้นมาเท่านั้นเอง. การดูละครโทรทัศน์พร้อมกับการพิจารณาธรรมเป็นประจำ จะทำให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมขณะดูละครโทรทัศน์ในความจำมากขึ้น จนเกิดนิสัยที่ดีในการดูละครด้วยสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไป. เมื่อท่านฝึกดูละครด้วยสติปัญญาทางธรรมบ่อย ๆ เข้า ท่านอาจเกิดความรู้สึกไม่สนใจที่จะดูละครที่ไร้สาระ และปรับเปลี่ยนไปดูเรื่องอื่น ๆ หรือดูสารคดีที่มีประโยชน์กว่าแทน. ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน ท่านควรตั้งใจฝึกรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พร้อมกับมีการพิจารณาธรรมให้เห็นข้อเท็จจริงอยู่เสมอ ไม่บ่อยเกินไปและไม่น้อยเกินไป โดยไม่ปล่อยให้มีการคิดปรุงแต่งไปกับข้อมูลที่ได้รับรู้มา จนเกินความพอเหมาะพอควร ก็จะเกิดประโยชน์เช่นเดียวกัน. ส่วนเรื่องของการคิดปรุงแต่งบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่เจือปนด้วยกิเลส ถือว่าไม่เป็นไร เพราะไม่ทำให้เกิดความทุกข์มากกว่าระดับปกติและเป็นการทำงานของสมองตามธรรมชาติที่พอเหมาะพอควรกับการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ. การรู้แจ้งชัดในไตรลักษณ์ คือ การมีความรู้และความสามารถในเรื่องไตรลักษณ์ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จนสามารถใช้ข้อมูลความเป็นไตรลักษณ์ในการดับกิเลสได้เป็นอย่างดี. สำหรับภาคทฤษฎี คนส่วนใหญ่มักจะรู้และทำความเข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ได้ง่าย แต่ภาคปฏิบัติเป็นเรื่องที่ถูกละเลย เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ทราบวิธีการ ทำให้การดับความทุกข์อย่างละเอียดเป็นไปอย่างล่าช้า. หลักการง่าย ๆ คือ ท่านต้องยอมรับความเป็นจริงในความเป็นไตรลักษณ์ของร่างกายและจิตใจด้วยความจริงใจ พร้อมทั้งดำเนินชีวิตประจำวันด้วยความมีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิด ไม่ให้มีความคิดยึดมั่นถือมั่นในร่างกายและจิตใจ. ทันทีที่ท่านลงมือฝึกปฏิบัติธรรม ท่านก็จะได้รับผลทันที คือ ตัณหาและอุปาทาน(ในปฏิจจสมุปบาท)ที่ยังไม่เกิดก็จะไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วในจิตใจก็จะดับไปทันที. การจะดับความทุกข์ให้ตรงประเด็นที่สุด ต้องดับที่สาเหตุของความทุกข์นั่นคือดับอวิชชา ด้วยการใช้วิชชาหรือใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(ข้อมูลอริยสัจ ๔)ในความจำ ไปดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส(ดับสังขารในปฏิจจสมุปบาท) เพื่อไม่ให้เกิดความทะยานอยาก(ตัณหา)และความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน)นั่นเอง นี้คือความง่ายของหลักการและวิธีการในการดับความทุกข์ของพระพุทธเจ้า. เมื่อไม่มีการคิดด้วยตัณหาและด้วยอุปาทานไปนาน ๆ เข้า ข้อมูลด้านตัณหาและอุปาทานในความจำ(ข้อมูลด้านกิเลสในความจำ)ก็จะค่อย ๆ ลดลงหรือหมดไป เป็นผลให้โอกาสในการคิดด้วยข้อมูลด้านกิเลสลดลงไปด้วย. ความก้าวหน้าและการประเมินผล การให้เวลาในการศึกษาธรรม ทบทวนธรรม และพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ทางธรรมทุกวัน อย่างน้อยควรใช้เวลาวันละประมาณ ๒๐ - ๓๐ นาทีก็นับว่า ท่านมีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม. ท่านควรฝึกประเมินความสามารถในการจดจำข้อมูลทางธรรม(อริยสัจ ๔) ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติว่า ท่านจำได้มากน้อยเพียงใด ถ้าท่านยังจำได้น้อย ท่านก็ควรเร่งรัดตนเองให้มากขึ้น เพราะการมีข้อมูลทางธรรมในความจำน้อย ย่อมทำให้มีความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์ได้น้อยด้วย. ท่านควรฝึกประเมินผลของการพิจารณาธรรมเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ของท่านเองว่า มีความสำเร็จมากน้อยเพียงใด เพื่อเอาข้อมูลจากการประเมินผลมาใช้เป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนาตนเองต่อไป. ในโอกาสที่ท่านได้ศึกษาธรรม ทบทวนธรรม พิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยธรรม และฝึกปฏิบัติธรรม ท่านก็ควรฝึกบันทึกเนื้อหาต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียด้วย โดยเน้นเรื่องอริยสัจ ๔ เป็นหลัก เพื่อที่ท่านจะได้ทบทวน ป้องกันการหลงลืม พร้อมทั้ง ค้นหาสิ่งที่ยังขาดอยู่ และเพิ่มเติมข้อมูลที่มีประโยชน์ได้โดยง่าย. กระบวนการในการจัดทำเช่นนี้ จะช่วยให้ท่านเกิดการพัฒนาข้อมูลด้านสติปัญญาในความจำของท่านเอง เหมือนกับระบบของการศึกษาทั่วไป หรือการทำวิทยานิพนธ์เพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ของท่านเอง. ในขั้นต่อไป ท่านอาจปรับปรุงเนื้อหาที่ได้บันทึกเอาไว้เพื่อการเผยแพร่ธรรมในโอกาสอันควร ซึ่งเป็นกิจที่ประเสริฐของชาวพุทธพึงกระทำอย่างจริงจัง ตามกำลังความสามารถ และตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอยู่.
๕. ฝึกใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน
การฝึกใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน เท่ากับเป็นการเน้นให้มีการใช้องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด เพื่อให้มีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามสติปัญญาทั้ง ๒ ด้าน. การดำเนินชีวิตประจำวันที่ถูกต้องนั้น ควรใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไป เพราะต้องใช้สติปัญญาทางโลกสำหรับดับความทุกข์ทางร่างกายเป็นหลัก และใช้สติปัญญาทางธรรมสำหรับดับความทุกข์ทางจิตใจเป็นหลัก. ความสำเร็จของชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างมีคุณภาพและมีคุณค่านั้น เกิดขึ้นจากการพัฒนาความรู้และความสามารถในด้านสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไป แล้วใช้สติปัญญาทั้ง ๒ ด้านดับทุกข์ทางร่างกายและทางจิตใจให้ลดลงหรือหมดไป พร้อมทั้งดำเนินชีวิตประจำวันตามรูปแบบของบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล). ธรรมโอสถสามารถใช้ดับทุกข์ทางจิตใจได้ดีเยี่ยม และใช้ดับความทุกข์ทางร่างกายที่สืบเนื่องมาจากความทุกข์ทางจิตใจได้เป็นอย่างดี ยกเว้นบางโรคที่เกิดขึ้นจนถึงขั้นอวัยวะนั้น ๆ ได้เสียหายไปแล้ว ย่อมรักษาไม่ได้ผล. หลายท่านใช้ความเชื่อในการรักษาโรคโดยไม่ใช้สติปัญญาทั้ง ๒ ด้าน จึงพยายามรักษาโรคต่าง ๆ ทางร่างกายทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความทุกข์ทางจิตใจด้วยธรรมโอสถ เป็นผลให้การรักษาโรคไม่ได้ผลโดยตรง แต่กลับเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย เสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่รู้และไม่เข้าใจว่า สาเหตุของความทุกข์ในอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และตรัสสอนนั้น มีความทุกข์อะไรบ้างที่สามารถรักษาได้โดยการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘. จากหนังสือพุทธประวัติพบว่า บางช่วงที่พระพุทธเจ้าประชวร คุณหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็ยังใช้ข้อมูลทางการแพทย์(สติปัญญาทางโลก)ถวายการบำบัดรักษาให้จนหายประชวร. ในสมัยพุทธกาล มีภิกษุรูปหนึ่งป่วยหนักและพระพุทธเจ้าทรงพยาบาลภิกษุอาพาธรูปนั้นด้วยพระองค์เอง โดยให้การพยาบาลเช่นเดียวกับการดูแลผู้ป่วยในครอบครัว หลังจากพระพุทธเจ้าให้การพยาบาลแล้ว พระองค์จึงได้ตรัสสอนอริยสัจ ๔ และทรงสอนให้ฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อดับความทุกข์ทางจิตใจที่มีอยู่ในขณะนั้นให้หมดไป เป็นผลให้พระรูปนั้นพ้นทุกข์ทางจิตใจได้. วิธีฝึกในชีวิตประจำวัน วิธีฝึกใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวันควรเริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนา พร้อมทั้งมีความตั้งใจ และมีความเพียร ที่จะใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปตลอดเวลา. การตั้งเจตนาเช่นนี้ จะทำให้สมองทำหน้าที่ตามที่ท่านได้ตั้งเจตนาเอาไว้ สิ่งที่ท่านควรมีอยู่เสมอ คือ การฝึกมีสติทางธรรมอยู่ที่ฐานหลักของสติเช่นเคย แล้วฝึกแบ่งสติหรือแบ่งความตั้งใจจากฐานหลักของสติไปใช้ในการทำกิจต่าง ๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม. กิจทางธรรมที่เป็นพื้นฐานก็คงเช่นเดิม คือ พยายามฝึกเฝ้าระวัง(รู้เห็น)ความคิดไว้ตลอดเวลา อย่าปล่อยให้คิดฟุ้งซ่าน และอย่าปล่อยให้มีการคิดด้วยข้อมูลด้านกิเลสแม้แต่วินาทีเดียวถ้าสามารถทำได้. เมื่อท่านต้องทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย หรือทำตามบทบาทที่มีอยู่ ก็สามารถแสดงบทบาทของท่านได้เต็มที่ แต่ควรใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกควบคู่กันไปกับข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในการทำกิจต่าง ๆ พร้อมกับมีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักวิชาทางโลกและทางธรรมอยู่ตลอดเวลา จึงจะทำให้ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์ได้. ครั้นท่านมีปัญหาทางโลก หรือทางธรรม หรือทั้งทางโลกและทางธรรมเกิดขึ้น ให้ท่านตั้งเจตนาว่า จะตั้งใจคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยการใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปตลอดเวลา พร้อมทั้งมีความเพียรที่จะคิดแก้ปัญหาตามแนวทางที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้. เมื่อท่านฝึกเช่นนี้ไปนาน ๆ สมองก็จะเคยชินกับการแก้ปัญหาที่มีการใช้ข้อมูลทั้ง ๒ ด้านอยู่เสมอ เพราะในสมองได้บรรจุข้อมูลของสติปัญญาทั้ง ๒ ด้านโยงใยกันอยู่ในความจำเรียบร้อยแล้ว และคุ้นเคยกับการใช้ข้อมูลทั้งสองนั้นควบคู่กันไป จนเป็นนิสัยปกติหรือคล้ายอัตโนมัติ. ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกแบ่งสัดส่วนระหว่างสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับกิจต่าง ๆ จึงจะทำให้ท่านสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งสามารถทำงานทางโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า มีคุณธรรม โดยไม่มีกิเลสเจือปน และไม่มีความทุกข์. สัดส่วนของการแบ่งสติไปใช้ในการทำกิจแต่ละอย่างจะไม่เท่ากัน ถ้าเป็นกิจง่าย ๆ เช่น ขณะอาบน้ำ ขณะรับประทานอาหาร ขณะออกกำลังกาย ท่านควรฝึกแบ่งสติประมาณครึ่งหนึ่งไว้กับสติปัญญาทางโลก และครึ่งหนึ่งไว้กับสติปัญญาทางธรรม เพื่อฝึกทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยไม่ให้มีกิเลสเจือปนเข้ามาในการคิดและการกระทำต่าง ๆ ทุกเรื่อง. ขณะโดยสารรถยนต์ ท่านมักจะว่างจากภารกิจต่าง ๆ จึงควรฝึกปฏิบัติธรรมไปตลอดทาง โดยการฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ แล้วแบ่งสติส่วนหนึ่งไปใช้สติปัญญาทางโลกในการระมัดระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยรอบด้าน พร้อมทั้งแบ่งสติอีกส่วนหนึ่งไปใช้สติปัญญาทางธรรมในการระวังไม่ให้มีการเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน และไม่ให้มีการคิดด้วยกิเลส. ในขณะที่ท่านต้องคิดหรือพิจารณางานทางโลกที่ละเอียดอ่อนหรือยาก จำเป็นต้องใช้สมองมากหรือต้องใช้สติปัญญาทางโลกเพื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และลึกซึ้งกว่าการทำงานทั่ว ๆ ไป ดังนั้น ท่านจึงควรฝึกแบ่งสติไปใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกให้มากขึ้น ตามสัดส่วนที่เหมาะสม. บางครั้งท่านอาจจะใช้สมองมากจนทำให้ไม่เหลือสติไว้ที่ฐานหลักของสติเลย ก็ให้ถือว่า เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติ. เมื่อท่านรู้ตัวว่า ได้ทุ่มสมองหรือสติไปคิดอย่างเต็มที่เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ก็ฝึกให้กลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเพื่อพักการทำงานของร่างกายและสมองเป็นครั้งคราว หรือสลับด้วยการเจริญสมาธิตามความเหมาะสมกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น แล้วจึงแบ่งสติไปทำกิจต่าง ๆ ต่อไป โดยไม่ต้องกังวลว่า ท่านจะต้องมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติตลอดเวลา เพราะธรรมชาติของสมองไม่ใช่คอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักร ที่จะทำกิจได้ครบสมบูรณ์ตามเจตนาในทุกวินาที. ในช่วงที่ท่านกำลังเผชิญกับความโลภและความโกรธ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เกิดการคิดด้วยข้อมูลด้านกิเลส ท่านควรฝึกแบ่งสติหรือแบ่งความตั้งใจไปใช้ข้อมูลด้านปัญญาทางธรรมเพื่อการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้สามารถรู้เห็นความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ที่เจือปนด้วยกิเลสได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ท่านสามารถป้องกันและหยุดยั้งความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ที่มีข้อมูลด้านกิเลสเจือปนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ. ทุกครั้งที่ท่านพิจารณาแก้ปัญหาความทุกข์ ท่านควรวิเคราะห์หาสาเหตุให้พบ เพื่อให้รู้แจ้งชัดในสาเหตุของความทุกข์. ท่านจะพบว่า ส่วนใหญ่มักจะมีสาเหตุเหมือนกันหมด คือ มาจากความคิดของท่านเองที่เจือปนด้วยกิเลส ซึ่งมาจากการต่อ ยอดของความคิด และความจำด้านกิเลสนั่นเอง. เมื่อมีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส ตัณหาและอุปาทานย่อมเกิดขึ้นทันที สำหรับวิธีดับสาเหตุของความทุกข์ก็เหมือนกันหมด คือ ต้องปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส ซึ่งเป็นผลให้ตัณหาและอุปาทานดับไปด้วย. ถ้าท่านมีความทุกข์ในเรื่องเดิมเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็เป็นการแสดงว่า ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของท่านในเรื่องนั้น ยังมีไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องรีบเพิ่มข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในเรื่องนั้น ๆ ให้มากขึ้น. วิธีดีที่สุดและตรงประเด็นที่สุด คือ ให้มีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลส พร้อมทั้งทบทวนความเป็นไตรลักษณ์ของร่างกายและจิตใจของท่านเอง เพื่อโน้มน้าวจิตใจให้ลดละความยึดมั่นถือมั่นลง. การทบทวนไตรลักษณ์วันละหลายครั้งด้วยความจริงใจและจริงจัง จะเป็นผลให้ท่านยอมรับความจริงของไตรลักษณ์มากขึ้น ความยึดมั่นถือมั่นก็จะลดลง ความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสก็จะลดลง เป็นผลให้ความทุกข์ลดลงและดับไปได้ในที่สุด. ถ้าสมองเกิดการเจ็บป่วย หรือสมองเสื่อม หรือสมองเสียหน้าที่ไป หรือไม่มีการใช้ข้อมูลในความจำเพื่อการทำกิจต่าง ๆ เป็นเวลานาน ความสามารถของสมองที่ได้กล่าวถึงแล้ว ก็จะลดลงหรือหมดไปได้ตามธรรมชาติ ตามกฎของความเป็นไตรลักษณ์เช่นกัน. ความก้าวหน้าและการประเมินผล ท่านควรฝึกสังเกตความก้าวหน้าในการใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันว่า ท่านทำได้มากน้อยเพียงใด โดยสังเกตว่า ท่านมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ แล้วแบ่งสติมาทำกิจต่าง ๆ (ทั้งทางโลกและทางธรรม) รวมทั้งคอยรู้เห็นและควบคุมความคิดในระหว่างทำกิจต่าง ๆ อยู่เสมอหรือไม่ คล้ายอัตโนมัติแล้วหรือยัง. ข้อควรสังเกตคือ เมื่อท่านฝึกปฏิบัติธรรมจนเข้าที่เข้าทางได้ดีตามสมควรแล้ว คำว่า "ให้มีสติอยู่ที่ฐานหลักอย่างต่อเนื่อง" ก็ควรผ่อนปรนมาเป็น "ควรมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ" เพราะสมองของท่านสามารถทำหน้าที่ในการกำกับและควบคุมความคิดได้คล้ายอัตโนมัติบ้างแล้ว. เมื่อท่านฝึกปฏิบัติธรรมตามองค์ประกอบที่ ๕ อย่างต่อเนื่องหรือสม่ำเสมอไปสักระยะหนึ่ง ท่านจะสามารถสังเกตเห็นว่า ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของท่านจะมากขึ้นตามลำดับทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เป็นผลให้ความคิดและการกระทำต่าง ๆ ที่เจือปนด้วยกิเลสถูกสกัดกั้นไม่ให้เกิดขึ้น ความทุกข์จึงลดลง ภาวะนิพพานชั่วคราวจะมีอยู่นานและต่อเนื่องมากขึ้น. ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความทุกข์มาก และผู้ที่เริ่มฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน(เจริญสมาธิสลับกับการเจริญสติ) ควรประเมินผลและตักเตือนตนเองภายหลังการฝึกเจริญสมาธิทุกครั้งโดยระลึกอย่างรวดเร็วว่า ในชั่วโมงที่แล้ว มีความคิดฟุ้งซ่านและความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสหรือไม่ ถ้ามี ก็เตือนตนเอง และพยายามที่จะไม่ให้เกิดขึ้นอีก การทำเช่นนี้เป็นประจำจะช่วยให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว. เมื่อฝึกจนมีความชำนาญแล้ว การประเมินผลจะมุ่งเน้นในเรื่องของความรู้และความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์ในชีวิตประจำวัน ที่เกิดจากการทำงานของสมองที่มีความเชี่ยวชาญจนคล้ายอัตโนมัติ. ก่อนนอนทุกคืน ท่านควรใช้เวลาวันละ ๕ - ๑๐ วินาทีในการประเมินผลของการปฏิบัติธรรมว่า ทั้งวันที่ผ่านมา ท่านได้มีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสจนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ประมาณกี่วินาที หรือไม่มีเลย ถ้ายังมีอยู่ ก็ควรตักเตือนตนเองให้พยายามที่จะไม่ให้เกิดขึ้นอีกในวันต่อ ๆ ไป. ถ้าการปฏิบัติธรรมของท่านไม่สามารถลดความทุกข์ลงได้ หรือความทุกข์ลดลงน้อยกว่าที่ควร เพราะมีสาเหตุมาจากการมีความเพียรน้อยไป ก็ให้ท่านพยายามเร่งความเพียรให้มากขึ้น จนถึงระดับที่พอเหมาะพอควร. ส่วนใหญ่แล้ว จะมีสาเหตุมาจากข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมยังไม่เพียงพอ ท่านควรแก้สาเหตุดังกล่าว โดยเพิ่มความเพียรที่จะเพิ่มข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำให้มากขึ้น. เมื่อมีการพิจารณาธรรมแล้วไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่ ก็ควรปรึกษาผู้รู้ว่า การพิจารณาธรรมของท่านนั้น ถูกต้องตามหลักธรรมในอริยสัจ ๔ หรือไม่ เพื่อจะได้คำตอบที่ถูกต้อง แล้วนำเอาคำตอบจากการพิจารณาธรรม มาใช้ในการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น. ข้อควรระวังในด้านผู้ให้คำปรึกษา คือ ควรเป็นผู้ที่มีสติปัญญาใกล้เคียงหรือสูงกว่า จึงจะช่วยแก้ปัญหาของท่านได้ มิฉะนั้นอาจให้ผลตรงกันข้าม การปรึกษาผู้รู้เพียงท่านเดียว อาจจะได้ข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับที่จะใช้แก้ปัญหาทั้งหมด และอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย. ควรปรึกษาผู้รู้หลายท่านไว้ก่อน จะได้มีมุมมองที่มากขึ้น และควรกลั่นกรองด้วยตัวของท่านเอง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ดีที่สุด แล้วทดลองฝึกปฏิบัติตามคำแนะนำ พร้อมทั้งตรวจผลที่เกิดขึ้นว่า สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้มากน้อยเพียงใด ถ้ายังไม่ดีพอ ท่านก็ควรศึกษาค้นคว้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง. การเผยแพร่ธรรม ในสมัยพุทธกาล มีชายคนหนึ่งได้ฟังธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ จากพระอริยสาวกองค์หนึ่ง(พระอัสสชิ) แล้วสามารถพัฒนาจิตใจของเขาให้เป็นอริยบุคคลขั้นต้น(เป็นพระโสดาบัน)ได้โดยง่าย และสามารถเริ่มต้นดับความทุกข์ได้ตามสมควร หลังจากที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ อย่างง่ายและย่อ ๆ เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง และในวันเดียวกันนั้น ท่านผู้นั้นก็ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ที่เพิ่งจดจำมาได้ให้กับเพื่อนสนิทของเขา และท่านที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้ก็สามารถเป็นอริยบุคคลขั้นต้น(เป็นพระโสดาบัน)ภายในวันเดียวกัน ต่อมาท่านทั้งสองก็ได้มาบวชในพระพุทธศาสนาและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ภายในเวลา ๑๕ วัน และ ๗ วัน ตามลำดับ ทั้ง ๒ ท่านคือ พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ นั่นเอง. ในชีวิตประจำวัน ท่านสามารถถ่ายทอดความรู้และความสามารถทางธรรมให้กับผู้ที่มีความรู้น้อยกว่าท่านได้เสมอ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระอรหันต์เสียก่อนจึงค่อยให้ธรรมเป็นทาน. ท่านควรพยายามเผยแพร่ธรรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้กับผู้คนข้างเคียงเท่าที่จะทำได้. ขณะที่ท่านทำหน้าที่เผยแพร่ธรรมอยู่นั้น จะเกิดความรับผิดชอบในการเร่งรัดตนเองให้มีการศึกษาธรรม ทบทวนธรรม และฝึกปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพื่อให้มีความพร้อมในการถ่ายทอดธรรม จึงเป็นผลให้เกิดการพัฒนาข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมของท่านเองอย่างรวดเร็ว และสามารถช่วยให้ท่านและผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากท่าน มีโอกาสพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ไปพร้อม ๆ กัน ตามสมควรกับเหตุปัจจัยได้.
สรุป
หนังสือเล่มนี้ย่อมาจากหนังสือเรื่อง "แนะนำวิธีเจริญสติปัญญาทางธรรมเพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ เล่ม ๑" พร้อมทั้งปรับปรุงเนื้อหาให้ท่านสามารถทำความเข้าใจตามขั้นตอนของอริยสัจ ๔ และแนะนำวิธีฝึกปฏิบัติธรรมอย่างง่ายและย่อ ๆ เพื่อให้ท่านได้สัมผัสกับความพ้นทุกข์. ในช่วงแรกของการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรม ท่านควรที่จะเร่งรัดตนเองให้ฝึกปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำอย่างรวดเร็ว โดยใช้ระยะเวลาสั้น ๆ. เมื่อท่านฝึกปฏิบัติธรรมไปนาน ๆ เข้า สมองจะทำหน้าที่ตามที่ท่านฝึกได้อย่างรวดเร็วคล้ายอัตโนมัติ เช่นเดียวกับการที่ท่านใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกที่มีอยู่ในความจำอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน จนทำได้คล้ายอัตโนมัติ. ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกเจริญสมาธิเพื่อการหยุดความคิด สลับกับการฝึกเจริญสติตามองค์ประกอบทั้ง ๕ ประการในชีวิตประจำวันเพื่อควบคุมความคิดให้เป็นไปตามโอวาทปาฏิโมกข์และมรรคมีองค์ ๘. การปฏิบัติธรรมเช่นนี้ จะเป็นการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างง่ายและย่อ ๆ แต่ได้ผลดี. การพิสูจน์ผลที่ได้รับจากการศึกษาธรรมและการฝึกปฏิบัติธรรมโดยไม่หลงเชื่อ จะทำให้ท่านเกิดความมั่นใจ และหมดความลังเลสงสัยในเรื่องที่ท่านพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเอง ขณะเดียวกัน จะทำให้มีการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(เพิ่มวิชชา)ในความจำของท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ท่านสามารถดับความไม่รู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ (ดับอวิชชา)ให้หมดไปตามลำดับ จะเป็นผลให้ความคิดหรือจิตใจของท่านห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์มากขึ้น. การฝึกประเมินผลของการศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรมของท่านอยู่เสมอ พร้อมทั้งฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ขัดข้อง โดยใช้หลักธรรมในอริยสัจ ๔ แล้วสั่งสอนและตักเตือนตนเองในสิ่งที่ยังพร่องอยู่เสมอ จะช่วยให้เกิดการพัฒนาข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ(ในจิตใจ)ของท่าน เป็นผลให้ท่านสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการดับกิเลสและกองทุกข์ได้มากขึ้น และเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราวในชีวิตประจำวันได้นานขึ้นตามลำดับ. *******************************
บันทึกท้ายเล่ม
การนำเสนอธรรมของผู้เขียนที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดเป็นเรื่องอริยสัจ ๔ อย่างง่ายและย่อ ๆ ตามที่ได้เคยศึกษา ฝึกปฏิบัติ และได้พิสูจน์มาแล้ว ซึ่งเป็นเนื้อหาของอริยสัจ ๔ เพียงมุมมองของคนตาบอดคนหนึ่งที่กำลังคลำช้างอยู่. ท่านจึงไม่ควรเชื่อถือ แต่ควรศึกษาแล้วนำไปทดลองฝึกปฏิบัติดู พร้อมทั้งพิสูจน์ผลในทุก ๆ ขั้นตอนด้วยตัวของท่านเอง เพื่อเสริมความรู้ และเป็นแนวทางให้ท่านคุ้นเคยกับการศึกษาธรรม ด้วยการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเนื้อหาของอริยสัจ ๔ ต่อไป. โดยหลักการแล้ว ท่านควรที่จะศึกษาอริยสัจ ๔ จากแหล่งต่าง ๆ และที่สำคัญมากคือ จากเอกสารต่าง ๆ ที่คัดข้อความมาจากพระไตรปิฎก หรือจากพระไตรปิฎกโดยตรง พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพิ่มเติมไว้เสมอ เพื่อให้เกิดการรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔ มากขึ้นตามลำดับ. ผู้เขียนมั่นใจว่า เนื้อหาที่ได้นำเสนอจะต้องมีความผิดพลาดตามสมควร จึงกราบขออภัยหรือขออภัยท่านผู้อ่านมา ณ โอกาสนี้ด้วย. ขณะเดียวกัน ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดกรุณาแสดงความคิดเห็น หรือให้ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องมายังผู้เขียนด้วย เพื่อจะได้นำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับแก้เนื้อหาของการนำเสนอในครั้งต่อ ๆ ไป ให้ถูกต้องและตรงประเด็นมากที่สุด. เมื่อท่านศึกษาและทดลองฝึกปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำจนจบแล้ว แต่ยังมีข้อสงสัยอีก ขอได้โปรดเขียนจดหมายมาสอบถาม พร้อมทั้งแจ้งชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ให้ชัดเจนด้วย เพื่อผู้เขียนจะได้ติดต่อกลับไปได้โดยสะดวก. เมื่อท่านฝึกปฏิบัติธรรมและได้รับผลเป็นที่พึงพอใจ รวมทั้งพิสูจน์ผลได้ตามสมควรแล้ว ขอให้ท่านได้โปรดพิจารณาเผยแพร่ธรรมจากประสบการณ์ของท่านในรูปแบบต่าง ๆ ตามความถนัดและความเหมาะสมต่อไปด้วย เพื่อช่วยแนะนำผู้อื่นให้พ้นความทุกข์ด้วย. ขอถือโอกาสนี้ขอบพระคุณอาจารย์วิภา มีสวัสดิ์ สำนักพัฒนาคุณธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และคุณนิภา จุละจาริตต์ ที่ได้กรุณาตรวจบทความทั้งหมด พร้อมทั้งสนับสนุนให้การเขียนและจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ให้ดำเนินไปได้ด้วยดีมาโดยตลอด. ท่านที่ประสงค์จะซื้อหนังสือต่าง ๆ ของผู้เขียนในราคาพิเศษประมาณเล่มละ ๒๐ บาท เพื่อช่วยกันเผยแพร่ โปรดติดต่อผู้เขียนโดยตรง หรือสั่งพิมพ์ที่โรงพิมพ์โดยไม่ต้องผ่านผู้เขียน และอาจซื้อในวันที่ผู้เขียนบรรยายก็ได้. สำหรับท่านที่ประสงค์จะให้ผู้เขียนช่วยเผยแพร่ธรรมให้ ขอได้โปรดโอนเงินเข้าบัญชีกองทุนเอกชัย จุละจาริตต์ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เลขที่ ๑๓๐ - ๒ - ๐๗๔๑๒ - ๕ ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด(มหาชน) สาขาราชวัตร กทม. ๑๐๓๐๐ และโปรดแจ้งให้ผู้เขียนทราบด้วย เพื่อผู้เขียนจะได้ตอบรับและรีบดำเนินการตามเจตนาของท่านต่อไป. กองทุนนี้จะปิดบัญชีทันทีที่ผู้เขียนไม่สามารถปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้. ถ้าจะส่งเงินทางธนาณัติ โปรดสั่งจ่ายที่ ปณ. ดุสิต กทม. ๑๐๓๐๐. ที่อยู่ของผู้เขียน : นายเอกชัย จุละจาริตต์ ๑๑๑ ซอยวัดอัมพวัน ราชวัตร ถนนพระราม ๕ เขตดุสิต กทม. ๑๐๓๐๐ หากท่านสนใจจะศึกษาเรื่องนี้ต่อไป ก็ขอได้โปรดอ่านหนังสือเรื่อง แก่นธรรม(อริยสัจ ๔ ฉบับสมบูรณ์) ซึ่งพิมพ์แทนหนังสือเรื่อง แนะนำวิธีฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมเพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ เล่ม ๒" โดยผู้เขียนจะแสดงพุทธพจน์ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งวิเคราะห์ และขยายความเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยให้ท่านผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจ พร้อมทั้งตรวจสอบ และพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ทุกขั้นตอนด้วยตัวของท่านเองได้โดยง่าย. การที่ต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องก็เพื่อแก้ปัญหาการจัดจำหน่าย. สำหรับหนังสือแก่นธรรม(อริยสัจ ๔)ฉบับสมบูรณ์ มีวางจำหน่ายแล้ว. ขณะนี้ผู้เขียนเริ่มออกเทปชุด แก่นธรรม(อริยสัจ ๔) โดยจะฝากจำหน่ายที่แผนกจำหน่ายหนังสือ ของสำนักงานมูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย เยื้องวัดบวรนิเวศวิหาร บางลำภู กทม. เพื่อให้ท่านที่สนใจเรื่องอริยสัจ ๔ โดยไม่ต้องอ่านหนังสือ ได้มีโอกาสศึกษาเช่นกัน. ท่านที่เริ่มฝึกปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ หรือกำลังมีความทุกข์มาก ต้องการฝึกเจริญสมาธิทุกชั่วโมงสลับกับการฝึกเจริญสติ แต่มีปัญหาเรื่องการลืมฝึก และสนใจจะจัดหานาฬิกาเตือนเวลาเพื่อใช้ประกอบการฝึกเป็นการชั่วคราว. ผู้เขียนขอแนะนำให้ท่านจัดซื้อนาฬิกาพูดได้ ซึ่งจะประกาศเวลาเป็นภาษาไทยทุกชั่วโมง. นาฬิกาชนิดนี้มีขนาดเท่านาฬิกาปลุกทั่วไป ใช้ถ่านไฟฉายขนาดเล็กเท่านิ้วก้อยจำนวน ๒ ก้อน มีจำหน่ายตามร้านขายนาฬิกาทั่วไป หาซื้อได้ที่คลองถม กทม. ในราคาขายส่งราคาประมาณเรือนละ ๑๐๐ บาท ซื้อปลีกทั่วไป ราคาประมาณ ๑๒๐ - ๑๕๐ บาท และท่านควรฝึกวิธีตั้งนาฬิกาให้ประกาศเวลาทุกชั่วโมงจากผู้ขายด้วย.
การบรรยายธรรมของผู้เขียน
ผู้เขียนได้รับความกรุณาจากบุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ ให้ไปบรรยายธรรมอย่างง่าย ๆ สำหรับประชาชนในกทม.อยู่เสมอ. การบรรยายของผู้เขียนเป็นการบรรยายกึ่งพูดคุยในเรื่องอริยสัจ ๔ เท่านั้น พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันไปด้วย. ในการนี้ ผู้เขียนจะทำหน้าที่บรรยายนำ เพื่อปูพื้นฐานเสียก่อน แล้วจึงยกประเด็นสำคัญมาให้ท่านผู้ฟังช่วยกันคิดและพิจารณาอย่างเป็นขั้นตอน พร้อมทั้งฝึกตรวจสอบและพิสูจน์ผลของการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรมด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้ท่านเข้าใจและจดจำได้โดยง่าย. ถ้าท่านจะเข้าฟังการบรรยาย ก็ควรเข้าฟังเรียงตามระดับ ไม่ควรข้ามระดับ เพราะจะทำให้ท่านสับสนในคำบรรยายได้ง่าย และอาจทำให้การบรรยายล่าช้าได้อีกด้วย. การบรรยายมีทั้งหมด ๔ ระดับ ๆ ละ ๓ ช.ม. ดังนี้ :- ระดับที่ ๑. อริยสัจ ๔ อย่างง่ายและย่อ ๆ ระดับที่ ๒. ปฏิจจสมุปบาท(ทุกข์ สมุทัย นิโรธ) ระดับที่ ๓. มรรค - ตอนสติปัฏฐาน ๔ ระดับที่ ๔. มรรค - ตอนการบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ จะมีการบรรยายธรรมเป็นประจำที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ. ท่านที่สนใจกรุณาสอบถามจากผู้เขียนโดยตรงทางจดหมาย หรือโทรศัพท์มาที่หมายเลข ๐๒ - ๒๔๑ - ๐๘๓๗ เวลา ๑๘.๐๐ ๒๐.๐๐ น. ทุกวันเสาร์ ของปี พ.ศ. ๒๕๔๕ - ๔๖ หรือดูรายการบรรยายธรรมสำหรับประชาชนใน http://www geocities.com/satipanya/index.html
ประวัติผู้เขียน
นายเอกชัย จุละจาริตต์ เกิด พ.ศ. ๒๔๘๑ จบชั้นเตรียมอุดมที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล กทม. จบอุดมศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ เคยรับราชการในสังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรระยาวด้านศัลยกรรม เคยทำงานด้านศัลยกรรม เวชกรรมฟื้นฟู และบริหาร สนใจศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมมา ๒๐ กว่าปี ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญ ทำหน้าที่ศึกษา ฝึกปฏิบัติ และเผยแพร่ธรรมจากประสบการณ์อย่างง่าย ๆ. |