Homepage(index)

๓. ความดับทุกข์(นิโรธ)

 

ความดับทุกข์(นิโรธ) คือ ภาวะที่ไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ หรือภาวะนิพพานในจิตใจ. การศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาก็เพื่อความดับทุกข์(นิพพาน) ดังนั้น ความดับทุกข์จึงเป็นเป้าหมายหลักของพระพุทธศาสนา ซึ่งเกิดขึ้นได้ในขณะที่ท่านสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้มีกิเลสเจือปน.

นิพพาน

นิพพาน คือ ภาวะของจิตใจในขณะที่ไม่มีความทุกข์ เพราะขณะนั้นมีการหยุดความคิด หรือมีการคิดแต่เป็นการคิดที่ไม่เจือปนด้วยกิเลส.

ขณะที่จิตใจมีภาวะนิพพานอยู่นั้น จะรู้สึกว่า มีความเบาสบาย(มีปีติ) มีความสงบทางจิตใจ(มีปัสสัทธิ) เพราะเป็นความสุขสงบในขณะที่ภาวะของจิตใจ(ความคิด)มีความบริสุทธิ์ผ่องใส โดยไม่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน(ไม่มีอามิส)แต่ประการใด เนื่องจากเป็นความสุขสงบที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำ ทำการหยุดหรือควบคุมความคิดไม่ให้มีกิเลสเจือปน.

ภาวะนิพพานจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการมีและการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ ทำการหยุดความคิดด้วยการเจริญสมาธิ สลับกับการเจริญสติเพื่อการรู้เห็นและควบคุมความคิด ไม่ให้มีการคิดด้วยกิเลสในชีวิตประจำวัน.

ภาวะนิพพานชั่วคราวในจิตใจเกิดขึ้นได้ในขณะหยุดคิด หรือขณะคิดโดยไม่มีกิเลสเจือปน. การเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราว จึงไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน แล้วจิตใจจึงจะมีภาวะนิพพาน แต่เป็นเรื่องปกติที่ทุกท่านก็สามารถทำให้เกิดได้ในชีวิตประจำวัน เพียงแต่จะทำได้มากหรือน้อยเพียงใด. ถ้าท่านสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง จิตใจของท่านก็จะมีภาวะนิพพานได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน.

การจะทำให้จิตใจมีภาวะนิพพานได้อย่างสม่ำเสมอนั้น จะต้องมีและใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ(มีวิชชา) ทำการเจริญสติและเจริญสมาธิสลับกันไปในชีวิตประจำวัน จนสมองของท่านมีความชำนาญในการดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างต่อเนื่อง.

การมีเจตนาที่จะดำเนินชีวิตประจำวันให้ตั้งอยู่ในภาวะของนิพพานเป็นสิ่งที่ดีงาม ซึ่งเป็นเรื่องของการพึ่งตนเอง โดยการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของตนเอง เช่นเดียวกับการทำกิจต่าง ๆ ทางโลก ที่ต้องพึ่งตนเอง โดยการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกที่มีอยู่ในความจำ.

การมีสติใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในการดำเนินชีวิตประจำวัน จึงจะสามารถดับความทุกข์ทางร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีที่สุดของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย.

ภาวะนิพพานชั่วคราวและภาวะนิพพานอย่างต่อเนื่อง

ภาวะนิพพานในจิตใจมี ๒ แบบ คือ แบบนิพพานชั่วคราว และแบบนิพพานอย่างต่อเนื่อง.

ในขณะที่ท่านมีสมาธิตั้งมั่น ท่านก็จะสามารถหยุดความคิดได้ชั่วคราว ในทำนองเดียวกัน ขณะที่ท่านมีสติตั้งมั่นในการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสได้ชั่วคราวหรือสามารถดับตัณหาได้ชั่วคราว จิตใจของท่านในขณะนั้นก็จะมี "ภาวะนิพพานชั่วคราว".

ถ้าท่านสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้อย่างต่อเนื่องคล้ายอัตโนมัติจนไม่เกิดความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส หรือไม่ให้มีตัณหาอีกเลย จิตใจของท่านก็จะมี "ภาวะนิพพานอย่างต่อเนื่อง" ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ท่านสามารถควบคุมความคิดได้ จนถึงขณะปัจจุบัน.

ภาวะนิพพานที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ ความรื่นรมย์ ความเพลิดเพลิน ความสว่างไสว จึงน่าจะเป็นเรื่องของความคิดปรุงแต่งจนเกิดจินตนาการหรือเกิดมโนภาพไปตามคำบอกเล่า รวมทั้งสร้างมโนภาพขึ้นมาใหม่ด้วย.

ความสุขขณะมีกิเลสเจือปนอยู่ในความคิดไม่ใช่ภาวะนิพพาน

ขณะที่มีความทะยานอยาก(มีตัณหา)ที่จะให้เป็นไปตามความโลภที่เกิดขึ้นในจิตใจ จะทำให้มีความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

ครั้นเมื่อได้รับข้อมูลหรือได้เสพข้อมูลที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่สมกับความคิดและความจำด้านความโลภ ก็จะรู้สึกเป็นสุข เพราะขณะนั้นความทุกข์ที่สืบเนื่องจากความโลภกำลังลดลง.

ขณะที่มีความทะยานอยาก(มีตัณหา)ที่จะให้เป็นไปตามความโกรธที่เกิดขึ้นในจิตใจ(มีตัณหา) จะทำให้มีความรู้สึกเป็นทุกข์ทางจิตใจขึ้นมาทันที เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง. ครั้นเมื่อได้ลงมือกระทำตามความโกรธได้สำเร็จ ก็จะรู้สึกเป็นสุข เพราะขณะนั้นความทุกข์ที่สืบเนื่องมาจากความโกรธกำลังลดลง.

ขณะที่ผู้ใดผู้หนึ่งมีความคิดและความอยากอย่างรุนแรง(มีตัณหา)ที่จะให้เป็นไปตามความหลงเชื่อ(ตามโมหะ)ที่เกิดในจิตใจ จะทำให้ท่านผู้นั้นมีความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที เช่น ขณะคิดว่า กำลังจะมีเคราะห์ร้าย และรอการสะเดาะเคราะห์ตามความเชื่อ ก็มักจะรู้สึกเป็นทุกข์ ครั้นเมื่อได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์เสร็จ ก็มักจะรู้สึกเป็นสุข เพราะขณะนั้น ความทุกข์ที่สืบเนื่องมาจากความวิตกกังวลว่ามีเคราะห์กำลังลดลง. การคิดเช่นนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีข้อมูลด้านความหลงเชื่ออยู่ในความจำ และนำข้อมูลความหลงเชื่อมาประกอบการคิด ซึ่งเป็นภาวะของการมีความหลง(มีอวิชชา)ครอบงำจิตใจอยู่.

ความสมหวังตามความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส จะทำให้มีความรู้สึกเป็นสุขชั่วคราวในขณะที่สมหวัง ซึ่งเป็นความสุขปลอม ต่อมาก็จะมีความทุกข์ด้วยอำนาจของกิเลสเช่นเดิมอีก เพราะความสมหวังตามความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสนั้น เป็นการดับความทุกข์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว และเป็นการดับทุกข์ที่ปลายเหตุเท่านั้นเอง ส่วนต้นเหตุ คือ ความหลง(อวิชชา)ยังคงมีอยู่อย่างเดิม จึงทำให้ไม่สามารถดับความทุกข์ได้ตรงประเด็น.

แนวทางในการดับอวิชชาเพื่อเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราวในชีวิตประจำวัน

แนวทางในการเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราวในชีวิตประจำวันนั้น ท่านจะต้องมีสติในการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ(เพิ่มวิชชา) พร้อมทั้งใช้ข้อมูลดังกล่าวในการรู้เห็นและควบคุมความคิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความคิดไม่เจือปนด้วยกิเลส.

แนวทางในการเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราวด้วยสติปัญญาทางธรรมดังกล่าวแล้ว คือ การมีวิชชา.

เมื่อมีวิชชาหรือมีสติปัญญาทางธรรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติมากขึ้น ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่า ความหลง(อวิชชา)หรือความไม่มีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมได้ลดลงไปตามสัดส่วนด้วย.

เมื่อดับความหลง(อวิชชา)ได้หมดไม่เหลือเลย ภาวะนิพพานก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน แต่ถ้ายังดับอวิชชาได้ไม่หมดเกลี้ยง ภาวะนิพพานก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สามารถมีภาวะนิพพานชั่วคราวในจิตใจได้.

ควรหลีกเลี่ยงคำว่านิพพาน

มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงภาวะนิพพานเป็นเรื่องยากมาก ๆ และเป็นของสูง ไม่ควรจะมาพูดคุยกันในหมู่ฆราวาส.

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว ท่านควรใช้คำว่า ความดับทุกข์ หรือไม่ทุกข์ หรือหมดทุกข์ แทนคำว่า นิพพาน.

คำว่านิพพานเหมาะที่จะใช้ในวงการของผู้ศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมจนสามารถเข้าใจภาวะนิพพานตามหลักธรรมแล้ว. ความดับทุกข์หรือภาวะนิพพานในจิตใจเป็นภาวะที่ไม่มีตัณหาในความคิด ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนว่า "ภิกษุทั้งหลาย ความดับทุกข์เป็นดังนี้คือ การสำรอกตัณหา ความดับตัณหา การสละตัณหา การบอกคืนตัณหา ความหลุดพ้นจากตัณหา ความไม่มีอาลัยในตัณหาทั้งปวง" ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน.

 

๔. ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์(มรรค)

มรรค คือ ทางปฏิบัติ(วิธีปฏิบัติ)เพื่อให้ถึงความดับทุกข์(นิพพาน) ซึ่งมีองค์ประกอบ ๘ ประการ คือ เห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ กระทำชอบ อาชีพชอบ เพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ.

การจะปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้ถึงความดับทุกข์ได้นั้น จำเป็นจะต้องศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วน เพื่อให้มีการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(เพิ่มข้อมูลอริยสัจ ๔ หรือวิชชา)ในความจำ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการเจริญสมาธิเพื่อการหยุดความคิด สลับกับการเจริญสติเพื่อการรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้เจือปนด้วยกิเลสอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย เพื่อให้เกิดภาวะนิพพานในจิตใจอย่างต่อเนื่องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้.

หลักการสำคัญในการดับความทุกข์คือ มีสติในการรู้เห็นและควบคุมความคิด ให้มีความบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง

หลักการในการดับกิเลสนั้นง่ายและตรงไปตรงมา กล่าวคือ ท่านต้องตั้งเจตนาที่ถูกต้อง ซึ่งประกอบด้วยความคิดเห็นชอบ(สัมมาทิฏฐิ)และความดำริชอบ(สัมมาสังกัปปะ)ที่จะเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของท่านเอง และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการเฝ้าระวังความคิด หรือคอยรู้เห็นความคิด หรือคอยรู้ทันความคิดของท่านเองอย่างต่อเนื่อง.

ทันทีที่ท่านมีสติรู้เห็นหรือทราบว่า ความคิดของท่านมีกิเลสเจือปน หรือกำลังจะคิดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิเลส ให้ท่านฝึกหยุดความคิดนั้น ๆ ทันที โดยไม่รั้งรอแม้แต่วินาทีเดียว และไม่ควรมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น.

การฝึกรู้เห็นความคิดและหยุดความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสเช่นนี้ ก็เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านการดับกิเลสและกองทุกข์ไว้ในความจำ รวมทั้งฝึกสมองของท่านเองให้สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายอัตโนมัติ ซึ่งจำเป็นจะต้องฝึกเป็นประจำในชีวิตประจำวันตลอดไป.

การฝึกดับความคิดและการกระทำที่เป็นอกุศลเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ท่านควรเพียรฝึกมีสติในการคิดแต่กุศลและทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม รวมทั้งรักษาจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์ผ่องใสไว้เสมอ จึงจะเป็นความสมบูรณ์ของการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา(โอวาทปาฏิโมกข์).

เมื่อท่านฝึกดับกิเลสเป็นประจำ ท่านจะมีความชำนาญในการดับกิเลส

เมื่อท่านฝึกดับกิเลสที่เจือปนเข้ามาในความคิดและการกระทำต่าง ๆ เป็นประจำด้วยความตั้งใจมั่น(สัมมาสติและสัมมาสมาธิ) และด้วยความเพียร(สัมมาวายามะ)อย่างจริงจัง สมองของท่านก็จะทำหน้าที่จดจำประสบการณ์ของการมีสติในการเฝ้าระวังความคิด และหยุดยั้งความคิดที่มีกิเลสเจือปนอยู่ตลอดเวลา.

เมื่อท่านฝึกดับกิเลสไปนาน ๆ เข้า สมองของท่านจะจดจำประสบการณ์ดังกล่าวได้มากขึ้น จึงเป็นผลให้สมองสามารถทำหน้าที่ได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้ท่านมีนิสัยหรือมีพฤติกรรมใหม่ในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีคุณธรรม.

บางท่านศึกษาธรรมมามาก ทำให้มีข้อมูลทางทฤษฎีอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้ฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันโดยใช้ข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการคิด และไม่ได้ฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน จึงไม่สามารถดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสให้หมดไปได้.

บางท่านศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมมามาก แต่ผิดทาง จึงไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องอยู่ในความจำสำหรับใช้ดับกิเลสและกองทุกข์.

ท่านควรเริ่มต้นด้วยการมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ถูกต้องและครบถ้วนตามสมควรอยู่ในความจำ และฝึกใช้ข้อมูลดังกล่าวในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา จึงจะทำให้ท่านมีความชำนาญในการดับกิเลสและกองทุกข์อย่างมีประสิทธิภาพ.

ควรฝึกมีสติอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย

ธรรมชาติของมนุษย์จะไม่มีสติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกวินาทีหรือในทุกลมหายใจที่เข้าและออก. ดังนั้น ประโยคที่ว่า การฝึกให้มีสติอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นเพียงเป้าหมายของการฝึกปฏิบัติธรรมเท่านั้นเอง ทั้งนี้ ก็เพื่อเร่งรัดให้ท่านฝึกมีความเพียรพยายามที่จะมีสติในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดอยู่ตลอดเวลา.

เมื่อท่านฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมไปนาน ๆ เข้า ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของท่านจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จึงเป็นผลให้สมองของท่านสามารถทำหน้าที่ในการกำกับและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมได้โดยง่าย เช่นเดียวกับการทำกิจง่าย ๆ ที่ทำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน จนสมองของท่านสามารถดำเนินการได้เองคล้ายอัตโนมัติ หรือคล้ายสัญชาตญาณเลยทีเดียว เช่น ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านเดินอย่างมีสติอยู่บ้าง พอไปพบสิ่งกีดขวางแบบง่าย ท่านจะสามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายอัตโนมัติเหมือนไม่ต้องคิดเลย. ครั้นเมื่อพบสิ่งกีดขวางที่ยาก ท่านอาจจะต้องใช้เวลาในการคิดตามสมควร เพื่อหาทางผ่านสิ่งกีดขวางไปได้โดยปลอดภัย.

ปุถุชนจะสามารถเห็นสิ่งกีดขวางทั่วไปที่เป็นวัตถุและสามารถหลบหลีกได้เป็นอย่างดี แต่มักจะไม่รู้เห็นความคิดที่เป็นอกุศลและไม่สามารถหยุดยั้งความคิดที่เป็นอกุศลได้ทันที เพราะไม่เคยได้รับการฝึกฝนในเรื่องเช่นนี้มาก่อน.

การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย ก็เพื่อการพัฒนาจิตใจของท่านให้รู้เห็นความคิดที่เป็นอกุศลได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งดับความคิดที่เป็นอกุศลได้ทันท่วงทีจนเป็นนิสัย ทั้งนี้ ก็เพื่อทำให้ท่านมีความทุกข์น้อยลงเหลือวันละไม่กี่วินาที หรือบางวันไม่มีความทุกข์เลย.

เมื่อท่านฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย ถึงแม้จะไม่มีสติอย่างต่อเนื่องในทุกวินาที แต่สมองก็สามารถที่จะทำหน้าที่ในการดับความคิดที่เป็นอกุศลได้อย่างรวดเร็ว เพราะสมองมีความชำนาญหรือมีความเคยชินในการทำหน้าที่ทางธรรมแล้ว เมื่อถึงขั้นตอนนี้ ท่านจะรู้สึกเบาสบาย มีความสุขสงบ และมีภาวะนิพพานในจิตใจอยู่เป็นนิจ.

ฝึกตั้งเจตนา พร้อมทั้งมีความตั้งใจและความเพียร ในการดับกิเลสและกองทุกข์

ในชีวิตประจำวัน ท่านจะสังเกตว่า การตั้งเจตนานี้เอง เป็นเครื่องมือตามธรรมชาติของสมองในการกำกับและควบคุมสมองให้ทำกิจต่าง ๆ ตามที่ได้มีเจตนาหรือตามที่ได้ดำริเอาไว้ เช่น เมื่อมีเจตนาจะรับประทานอาหาร สมองก็จะสั่งการให้ร่างกายทำหน้าที่เตรียมพร้อมในการรับประทานอาหาร.

การที่สมองสามารถกำกับและควบคุมตัวเองให้เป็นไปตามเจตนานั้น เป็นเรื่องของวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยความจำ ความรู้สึก ความคิด การรับรู้ การเรียนรู้ การฝึกฝนตนเอง ทั้งนี้ เพื่อความอยู่รอด ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน.

หลักการและวิธีการในการฝึกปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องง่าย ท่านสามารถศึกษาและเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ. เรื่องที่ยาก แต่ไม่ยากจนเกินไปคือ การมีความเพียรที่จะฝึกฝนตนเองให้ฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีความต่อเนื่องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้.

เพื่อให้ท่านสามารถฝึกฝนตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านควรศึกษา สังเกต พิสูจน์เรื่องของการตั้งเจตนา การมีความตั้งใจ และความเพียรว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกสมองให้รู้เห็นและควบคุมความคิดของท่านได้อย่างไร ตามหัวข้อดังต่อไปนี้ :-

ความเจตนา(ความเห็นชอบและดำริชอบ) ในที่นี้หมายถึงการตั้งเจตนาอย่างจริงจัง ที่จะทำกิจตามหลักธรรมให้สำเร็จ ซึ่งเกิดขึ้นสืบต่อจากการมีความเห็นชอบ(สัมมาทิฏฐิ)ที่จะศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำและใช้ข้อมูลดังกล่าว ทำการดับกิเลสและกองทุกข์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง.

ในยุคปัจจุบัน คำว่า "ความเจตนา" มีความหมายที่ชัดเจน หนักแน่น จริงจัง และตรงประเด็นมากกว่าคำว่า "ความดำริ" ดังนั้น ในที่นี้จึงใช้คำว่า "เจตนา" แทนคำว่า "ดำริ" เป็นการชั่วคราว เพื่อให้ท่านผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญของการตั้งเจตนา.

ถ้าท่านไม่มีเจตนาในการศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง สมองก็จะไม่กำกับและควบคุมให้ท่านศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง. ดังนั้น การตั้งเจตนาจึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องกำหนดขึ้น เพื่อให้สมองทำหน้าที่ตามที่ท่านมีความประสงค์ เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

คนสมัยก่อนใช้คำว่า "อธิษฐานจิต" ซึ่งมีความไพเราะและดูศักดิ์สิทธิ์ เช่น ตั้งสัจจะอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป หรือหลังการสวดมนต์ หรือหลังการทำบุญ หรือหลังศาสนพิธี ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการตั้งเจตนาอย่างจริงจังนั่นเอง.

โดยหลักการแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องรอวันเวลาและสถานที่ในการอธิษฐานจิตเลย เพราะท่านสามารถมีเจตนาสั่งสอนตนเอง หรือตักเตือนตนเองได้วันละหลาย ๆ ครั้งด้วยความจริงใจและจริงจัง แต่ไม่ควรบ่อยครั้งเกินไปจนกลายเป็นความเฝือ หรือไม่ควรน้อยเกินไปจนไม่เกิดผล ควรตั้งอยู่ในความพอเหมาะพอควรเช่นกัน. การสอนและตักเตือนตนเองจะช่วยให้ท่านมีข้อมูลความเจตนาอยู่ในความจำมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการพึ่งตนเองที่เรียบง่ายและได้ผลดีมาก.

ความตั้งใจ(ความมีสติชอบ) ในที่นี้หมายถึงการมีจิตใจจดจ่อหรือการมีสติตั้งมั่นในการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำและใช้ข้อมูลดังกล่าว ในการดับกิเลสและกองทุกข์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยไม่ปล่อยให้มีความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสและไม่ให้เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ.

การที่ท่านมีความตั้งใจอย่างจริงจัง(มีสติชอบ)ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ นี้เอง จึงทำให้ท่านมีสติสัมปชัญญะในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมได้เป็นอย่างดี เป็นผลให้เกิดการคิดและการกระทำกิจต่าง ๆ ที่มีความบริสุทธิ์ มีความยุติธรรม และมีคุณค่า.

ถ้าท่านไม่มีความตั้งใจอย่างจริงจัง(ไม่มีสัมมาสติ) จะเป็นผลให้ท่านไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจเกิดการคิดฟุ้งซ่านได้บ่อยหรือนาน.

เมื่อมีการคิดฟุ้งซ่านบ่อยเข้า ข้อมูลด้านความคิดฟุ้งซ่านในความจำก็จะมีมากขึ้น จนกลายเป็นคนชอบคิดฟุ้งซ่าน ขณะเดียวกัน ข้อมูลด้านการมีสติปัญญาทางธรรมในความจำก็มักจะลดลง เป็นผลให้ความสามารถในการรู้เห็นและควบคุมความคิดลดลงไปด้วย.

การตั้งเจตนาว่า จะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรม แต่ยังไม่มีความจริงใจ จึงทำให้ไม่มีความตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำให้เป็นไปตามเจตนาดังกล่าว เป็นผลให้ไม่ประสบความสำเร็จตามที่ควรจะเป็น.

ความเพียร(ความเพียรชอบ) ในที่นี้หมายถึงการมีความพยายามอย่างจริงจัง ที่จะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องด้วยความตั้งใจตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้.

ความยากของการปฏิบัติธรรม คือ ทำอย่างไรจึงจะมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน. การมีความเพียรที่ยังไม่ดีพอ ก็เพราะสมองยังมีข้อมูลของความเพียรในด้านการปฏิบัติธรรมอยู่ในความจำน้อย เนื่องจากมีการฝึกฝนด้านความเพียรน้อยนั่นเอง.

วิธีที่จะทำให้มีความเพียรอย่างต่อเนื่องนั้น ท่านควรฝึกตั้งเจตนาว่า จะมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งหมั่นฝึกฝน หมั่นประเมินผล และคอยตักเตือนตนเองอยู่เสมอว่า "ต้องมีความเพียร ต้องมีความเพียร........".

เมื่อท่านฝึกมีความเพียรในการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมไปนาน ๆ เข้า สมองจะมีข้อมูลด้านความเพียรทางธรรมในความจำมากขึ้น จนทำให้ท่านมีนิสัยของการมีความเพียรที่จะศึกษาธรรม พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ส่งผลให้ท่านมีความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์ได้มากขึ้น.

ขอเน้นว่า การตั้งเจตนา พร้อมทั้งมีความตั้งใจ และความเพียร ที่จะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมเพื่อการดับกิเลสและกองทุกข์ตามอริยสัจ ๔ เช่นนี้ เป็นกลวิธีที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับใช้ในการกำกับและควบคุมสมองของท่านเองให้ทำกิจต่าง ๆ ตามที่ท่านได้ตั้งเจตนาไว้อย่างมีประสิทธิภาพ.

การรู้เห็นและดับความคิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ท่านต้องฝึกฝนเป็นประจำ

การรู้เห็นความคิดเป็นเรื่องที่ยากกว่าการรู้เห็นและรู้ทันการกระทำทางร่างกายและคำพูด เพราะการรู้เห็นความคิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขณะเดียวกัน ธรรมชาติของความคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว จนสังเกตหรือรู้เห็นได้ยาก ถ้าไม่มีการตั้งเจตนา ไม่มีความตั้งใจ และไม่มีความเพียร หรือไม่มีประสบการณ์ในการรู้เห็นความคิด แต่จะเป็นเรื่องง่าย ๆ คล้ายอัตโนมัติ ถ้าได้มีการฝึกรู้เห็นและดับความคิดที่เป็นอกุศลเป็นประจำ.

วิธีดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสนั้นมีวิธีการที่ง่ายมาก กล่าวคือ เมื่อท่านมีสติรู้เห็นความคิดว่า มีกิเลสเจือปน ให้ท่านตั้งใจมั่นว่า จะไม่คิดต่อไป ความคิดดังกล่าวก็จะดับ(หมดไป)ทันที. เมื่อมีการคิดอย่างเดิมอีก ก็ให้ท่านมีความเพียรที่จะฝึกอย่างเดิมอีก เพื่อที่จะไม่ให้มีการคิดด้วยกิเลสตลอดไป.

เมื่อท่านฝึกปฏิบัติธรรมเช่นดังกล่าวแล้วไปสักระยะหนึ่ง ท่านจะพบกับความก้าวหน้าคือ พอเริ่มคิดถึงเรื่องที่อาจจะก่อให้เกิดความทุกข์ ทั้ง ๆ ที่ท่านยังไม่ทันที่จะคิดด้วยกิเลส ท่านก็จะรู้เห็นความคิดและสามารถดับความคิดในเรื่องนั้น ๆ ได้ทันที เช่น เมื่อท่านคิดถึงคนที่ท่านเคยโกรธ ท่านก็รู้เห็นความคิดดังกล่าว พร้อมกับเลิกคิดเรื่องนั้น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสในขั้นต่อไป.

ควรฝึกลดหรือดับข้อมูลด้านกิเลสในความจำ

เมื่อท่านมีเจตนาคิดด้วยกิเลส หรือมีการคิดฟุ้งซ่านด้วยกิเลส จะทำให้สมองของท่านมีการตื่นตัวที่จะคิดทบทวนข้อมูลด้านกิเลสที่มีอยู่ในความจำ เป็นผลให้ข้อมูลด้านกิเลสในความจำยังคงมีอยู่หรือมีมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก. การทำงานของสมองเช่นนี้ มีลักษณะเหมือนการทบทวนบทเรียนหรือการทำแบบฝึกหัด เพื่อทำให้ข้อมูลวิชานั้น ๆ ยังคงมีอยู่ในความจำ หรือเพิ่มพูนมากขึ้น.

การไม่ใช้ข้อมูลด้านกิเลสเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาประกอบการคิด จะทำให้ไม่มีการทบทวนข้อมูลด้านกิเลสเรื่องนั้น ๆ ในความจำ เป็นผลให้ข้อมูลด้านกิเลสในความจำของเรื่องนั้น ๆ ลดลงตามธรรมชาติของสมอง และบางเรื่องอาจหมดไปได้ในที่สุด เช่นเดียวกันกับการที่ท่านลืมเรื่องต่าง ๆ เป็นจำนวนมากที่เกิดขึ้นในอดีต เมื่อท่านไม่ได้คิดทบทวนเรื่องนั้น ๆ อยู่เสมอ.

การจะลบข้อมูลด้านกิเลสในความจำให้หมดสิ้นภายในเวลาวันเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะธรรมชาติของสมองในเรื่องของการจางหายของข้อมูลในความจำนั้น ต้องใช้เวลานาน.

ยิ่งมีการจดจำข้อมูลด้านกิเลสไว้มาก จำไว้นานและมีการ คิดทบทวนไว้เสมอ ยิ่งจำเป็นจะต้องใช้เวลานานมากขึ้น อาจเป็นแรมปี หรือชั่วชีวิตกันเลยทีเดียว จึงจะสามารถลดข้อมูลดังกล่าวได้เป็นจำนวนมาก.

โดยหลักการแล้ว ถ้าท่านสามารถดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส(ดับสังขารในปฏิจจสมุปบาท)ได้หมดอย่างต่อเนื่องตามสมควร ท่านก็จะสามารถลดหรือดับข้อมูลด้านกิเลสในความจำให้หมดไปตามวันเวลาที่ผ่านไปได้ตามสมควรเช่นกัน.

ประเด็นสำคัญคือ การจดจำข้อมูลด้านกิเลสนั้น มักจะจดจำได้ง่ายและนาน แต่การจะลบข้อมูลด้านกิเลสในความจำนั้น จะทำได้ยากและใช้เวลานานมาก. ดังนั้น ในทางปฏิบัติ ท่านควรเพียรพยายามที่จะไม่คิดด้วยข้อมูลด้านกิเลสแม้แต่วินาทีเดียว.

ควรใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปจึงจะประสบความสำเร็จ

การจะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพตามแบบของบุคคลที่ประเสริฐนั้น จะต้องใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและสติปัญญา ทางธรรมที่มีอยู่ในความจำของท่าน ควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน.

ถ้าท่านใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกเพียงอย่างเดียวในชีวิตประจำวัน ท่านจะสามารถดับความทุกข์ทางร่างกายได้ แต่ไม่สามารถดับความทุกข์ทางจิตใจของตนเองได้ จึงอาจก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น สังคม สัตว์ สิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในการแก้ปัญหาความทุกข์ทางจิตใจของตนเอง.

ถ้าท่านใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมเพียงอย่างเดียวในชีวิตประจำวัน ท่านจะสามารถดับกิเลสและความทุกข์ทางจิตใจของตนเองได้ แต่อาจมีความทุกข์ทางร่างกาย เพราะไม่มีการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกในการแก้ปัญหาความทุกข์ทางร่างกายของตนเอง.

การคิด การพิจารณาแก้ปัญหา และการทำกิจต่าง ๆ โดยการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน จะทำให้ท่านสามารถดับความทุกข์ทางร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้น จนทำให้ความคิดของท่านอยู่ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์ได้มากขึ้น และประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรมไปพร้อม ๆ กัน ตามสมควรกับเหตุปัจจัย.

การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรมควรเริ่มฝึกตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

การศึกษาเล่าเรียนวิชาการทางธรรมที่น้อยเกินไป อาจทำให้ผู้จบการศึกษาขาดคุณธรรมในการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิต จึงเป็นเหตุให้เกิดความเห็นแก่ตัว ถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นได้อย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งมีความทุกข์ได้โดยไม่รู้ตัวด้วย.

การศึกษาเล่าเรียนด้านวิชาการทางโลกและวิชาการทางธรรมจึงจำเป็นต้องทำควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนจบการศึกษา เพื่อช่วยให้ผู้ศึกษาเล่าเรียนมีข้อมูลในเรื่องอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติตั้งแต่อายุยังน้อย จนสามารถฝึกดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพตามแบบอย่างของบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล) ด้วยการมีและการใช้ความรู้คู่คุณธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน.

การบริหารจัดการและการให้บริการด้านการศึกษาเพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของเด็กนักเรียน นักศึกษาและนิสิตนั้น เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำมาก ซึ่งต้องการความจริงใจ ความจริงจัง และความเร่งด่วนจากทุกฝ่ายที่รับผิดชอบ.

การปล่อยให้สมองของเด็กนักเรียน นักศึกษา และนิสิตจดจำข้อมูลด้านกิเลสไว้เป็นเวลานานและเป็นจำนวนมาก จะเป็นผลให้เด็กนักเรียน นักศึกษาและนิสิตไม่มีความสนใจหรือไม่พอใจที่จะศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เพราะข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมมักจะขัดแย้งกับข้อมูลด้านกิเลสที่ฝังแน่น(หมักดอง)อยู่ในความจำเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว(อาสวะ).

ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรที่สามารถดับความทุกข์ได้อย่างจริงจัง

ความสามารถในการดับกิเลสและความทุกข์ต้องอาศัยข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติที่มีอยู่ในความจำของท่านเอง เช่นเดียวกันกับความรู้และความสามารถทางโลก(วิชาการ)ของท่าน ซึ่งเกิดขึ้นจากการศึกษาเล่าเรียนและประสบการณ์ชีวิต.

วิธีการที่พระพุทธเจ้าช่วยให้ผู้อื่นดับกิเลสและความทุกข์ได้คือ ทรงตรัสสอนเรื่องอริยสัจ ๔ และทรงฝึกอบรมการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้กับผู้สมัครใจที่จะศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมเท่านั้น นั่นก็คือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการดับความทุกข์อย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา.

ความคาดหวังที่จะดับความทุกข์โดยขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ช่วยเหลือนั้น เป็นเรื่องของความเชื่อที่สืบต่อกันมาในสังคมไทย และเป็นเรื่องตรงกันข้ามกับหลักการและวิธีการในพระพุทธศาสนา(มีความหลงหรือมีอวิชชา) เพราะพระพุทธศาสนามุ่งเน้นไปที่เรื่องของการพัฒนาสติปัญญาทางธรรม(เพิ่มวิชชา) เพื่อการดับความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔(ดับอวิชชา) และดับความคิดที่เจือปนด้วยข้อมูลด้านกิเลส(ดับสังขารในปฏิจจสมุปบาท)ให้หมดสิ้น.

ดังนั้น จึงไม่มีพลังจิตใด ๆ และไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ในโลกนี้หรือนอกโลกนี้ ที่จะทำให้ท่านมีความรู้ความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์ได้โดยไม่ต้องศึกษาธรรมและไม่ต้องฝึกปฏิบัติธรรม หรือมาช่วยดลบันดาลให้ความคิด(จิตใจ)ของท่านบริสุทธิ์ผ่องใสได้เลย.

การดับความทุกข์ต้องพึ่งสติปัญญาของตนเอง

ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ยังไม่มีใครสามารถดับความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสแทนกันได้เลย แม้กระทั่งในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อทำการเผยแพร่หลักการและวิธีการต่าง ๆ ในการดับกิเลสและกองทุกข์ตามอริยสัจ ๔ ให้กับผู้ที่สนใจจะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นลักษณะของการถ่ายทอดข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของพระพุทธเจ้าไปให้ผู้อื่น ซึ่งไม่ต่างกับการศึกษาเล่าเรียนทั่วไป.

การจะดับความทุกข์ทางจิตใจของท่านได้เองนั้น จำเป็นจะต้องพึ่งข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำของ

ท่านเอง นั่นคือการที่จะต้องศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร เพื่อให้มีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมอยู่ในความจำ พร้อมทั้งนำเอาความรู้และความสามารถทางธรรมที่เกิดขึ้น มาใช้ในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา.

-------------------------

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า "มนุษย์มากมายแท้ ถูกภัยคุมคามเข้าแล้ว พากันยึดเอา ภูเขาบ้าง ป่าบ้าง สวนและต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บ้างเป็นที่พึ่ง สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นที่พึ่งอันเกษมได้เลย นั้นไม่ใช่สรณะอันอุดม คนยึดเอาสรณะอย่างนั้น จะพ้นไปจากสรรพทุกข์หาได้ไม่"

ส่วนผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ มองเห็นด้วยปัญญาโดยถ่องแท้ซึ่งทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้น ความก้าวล่วงทุกข์ และอริยมรรคมีองค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ นี่แหละคือสรณะอันเกษม นี่คือสรณะอันอุดม คนถึงสรณะอย่างนี้แล้ว ย่อมปลอดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง" จากหนังสือพุทธธรรม โดยพระธรรมปิฎก(ป.อ. ปยุตฺโต) หน้า ๙๑๑ โรงพิมพ์มหาจุฬาฯ ๒๕๔๒

 

1