แนะนำวิธีเจริญสติปัญญาทางธรรม

เพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ (ฉบับย่อ)

โดย นายแพทย์เอกชัย จุละจาริตต์

(ไม่สงวนลิขสิทธิ์ทุกรูปแบบ)

Homepage(index)


คำนำ

วัตถุประสงคของการจัดทำหนังสือ "แนะนำวิธีเจริญสติปัญญาทางธรรมเพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ เล่ม ๑" คือ เพื่อเสริมความรู้ด้านการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันจากประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติธรรมของผู้เขียน ผสมผสานกับความรู้ทางการแพทย์ และการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากหนังสือเล่มดังกล่าว มีเนื้อหามาก ไม่กระชับ ทำให้ท่านผู้อ่านต้องใช้เวลามากในการศึกษาและทำความเข้าใจ ไม่เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป ผู้เขียนจึงได้จัดทำเล่มย่อนี้ขึ้นมาแทน พร้อมทั้งปรับปรุงเนื้อหาให้ดี ครอบคลุม และกระชับมากขึ้น.

หนังสือเล่มย่อนี้ เป็นเรื่องย่อมาก ๆ ของอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สำหรับคนในยุคนี้ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาบาลี แต่บางคำและบางประโยคมีวงเล็บไว้ให้ทราบ เพื่อช่วยให้ท่านที่รู้ภาษาบาลีสามารถเปรียบเทียบกับความหมายเดิมได้. ความหมายเดิมของคำบาลีบางคำ จะไม่ตรงกับความหมายที่ผู้เขียนนำเสนออย่างครบถ้วน เพราะเป็นการนำเสนอความหมายจากความเข้าใจและประสบการณ์ส่วนตัว เพื่อช่วยให้ท่านผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาในหนังสือของผู้เขียนได้โดยง่าย และไม่ควรใช้เป็นความหมายทั่วไป.

แนวทางการนำเสนอในหนังสือเล่มย่อนี้มี ๒ ขั้นตอน คือ ๑. ศึกษาและทดลองฝึกปฏิบัติธรรมตามอริยสัจ ๔ เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(เพิ่มวิชชา)ในความจำ. ๒. ฝึกมีสติในการใช้ข้อมูลดังกล่าว(วิชชา)ที่มีอยู่ในความจำ ทำการเจริญสมาธิเพื่อหยุดความคิด สลับกับการฝึกเจริญสติเพื่อการรู้เห็น กำกับ และควบคุมความคิด ไม่ให้มีการคิดด้วยกิเลส(ดับอวิชชาและสังขารในปฏิจจสมุปบาท)อย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน

หลักการและวิธีการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันที่นำเสนอในหนังสือเล่มย่อนี้ เป็นเรื่องที่ทุกท่านสามารถทำความเข้าใจและนำไปทดลองฝึกปฏิบัติได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องรอสถานที่ ไม่ต้องรอสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องกลัวเสียสติ และฝึกได้โดยง่าย เพราะเป็นเรื่องของการฝึกเจริญสมาธิและฝึกเจริญสติสลับกันไป ตามรูปแบบที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก.

บทความที่นำเสนอในเล่มนี้ เกิดขึ้นจากการที่ผู้เขียนได้ใช้ความรู้และความสามารถที่ได้ศึกษามาจากพระอาจารย์ อาจารย์ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย และจากการเข้าใจบทความต่าง ๆ ที่คัดมาจากพระไตรปิฎก พร้อมทั้งเฟ้นหาแก่นธรรมส่วนที่คาดว่า น่าจะถูกต้องตามหลักการของพระพุทธศาสนา นำมาทดลองปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เมื่อได้รับผลและพิสูจน์ผลว่า หลักธรรมส่วนใดที่สามารถใช้ดับกิเลสและกองทุกข์ได้ก็เผยแพร่ต่อไป เพื่อจะไม่สูญหายไปกับผู้เขียน และเสริมความรู้ให้กับท่านผู้อ่านตามสมควร. ดังนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านสบายใจได้ว่า บทความของผู้เขียนจะไม่นอกลู่นอกทางจนเกินไป และขอถือโอกาสนี้ กราบระลึกถึงพระคุณของท่านทั้งหลายที่ได้ให้ความรู้แก่ผู้เขียน ด้วยความเคารพอย่างสูง.

ในการอ่านหนังสือเล่มนี้ โปรดอย่าใช้ข้อมูลความเชื่อมาประกอบการพิจารณา เพราะจะทำให้ท่านสับสน และไม่ควรเชื่อเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เช่นกัน เพราะผู้เขียนยังมีการพัฒนาข้อมูลทางธรรมอยู่เสมอ แต่ขอให้ท่านใช้สติปัญญาของท่านในการศึกษาอย่างเปิดใจ พร้อมทั้งเก็บเกี่ยวเนื้อหาที่มีประโยชน์ไว้ และทดลองฝึกปฏิบัติธรรมดู เพื่อพิสูจน์ว่า ท่านเองก็สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้จริง ตามสมควรกับความรู้และความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมที่ท่านกำลังมีอยู่ในขณะนั้น ๆ.

ผู้เขียนกราบขออภัย/ขออภัยด้วย ที่ความหมายและเนื้อหาบางส่วนที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในหนังสือ เทปบันทึกเสียง การบรรยายต่าง ๆ ไปแล้ว ไม่ตรงกับความหมายและเนื้อหาในหนังสือเล่มย่อนี้ เพราะผู้เขียนกำลังพัฒนาสติปัญญาทางธรรมไปเรื่อย ๆ อย่างไม่จบสิ้น จึงขอความกรุณาให้ท่านผู้อ่าน ได้โปรดใช้ความหมายและเนื้อหาตามหนังสือเล่มสุดท้ายของผู้เขียนเป็นหลักเสมอ.

โปรดอย่าอ่านข้าม ๆ แต่ท่านควรอ่านช้า ๆ ทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน และฝึกปฏิบัติธรรมในทุกขั้นตอน พร้อมทั้งพิสูจน์ผลทีละขั้นตอนไปเรื่อย ๆ.

เพื่อความไม่ประมาท เมื่ออ่านและฝึกปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำจนจบสิ้นแล้ว ท่านก็ควรศึกษาหาความรู้ต่อไป เพราะไม่มีใครบอกท่านได้เลยว่า เรื่องที่ท่านได้ศึกษามาแล้วนั้น มีเนื้อหาของอริยสัจ ๔ ที่ถูกต้องและครบถ้วน เนื่องจากท่านที่รู้จริงคือ พระพุทธเจ้า ซึ่งได้ปรินิพพานไปนานแล้ว.


สารบัญ


ความทุกข์(ทุกข์)
สาเหตุของความทุกข์ทางจิตใจ(สมุทัย)
ความดับทุกข์(นิโรธ)
ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์(มรรค)
--------หลักการและวิธีฝึกเจริญสมาธิ
--------หลักการและวิธีฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรม
--------องค์ประกอบที่ ๑. ฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่อง
--------องค์ประกอบที่ ๒. ฝึกรู้เห็นความคิดและการกระทำต่าง ๆ ว่ามีกิเลสเจือปนหรือไม่
--------องค์ประกอบที่ ๓. ฝึกควบคุมความคิดและการ
------- กระทำต่าง ๆ ไม่ให้มีกิเลสเจือปน
--------องค์ประกอบที่ ๔. ฝึกพิจารณาธรรม
--------องค์ประกอบที่ ๕. ฝึกใช้สติปัญญาทางโลกและ
------- สติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไป
สรุป


***************

 

แนะนำวิธีเจริญสติปัญญาทางธรรม

เพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ (ฉบับย่อ)

 

มนุษย์ทุกคนที่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ ต่างก็ไม่ต้องการมีความทุกข์ทางร่างกายและจิตใจด้วยกันทั้งนั้น จึงต้องขวนขวายที่จะดับความทุกข์ทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพื่อความอยู่รอดของชีวิต เพราะธรรมชาติของมนุษย์เป็นเช่นนั้นเอง.

วิทยาการด้านการดับความทุกข์ทางร่างกายในขณะนี้ ได้มีการพัฒนาไปแล้วอย่างมากมาย จึงช่วยให้ความทุกข์ทางร่างกายของคนส่วนใหญ่ลดลงไปมาก แต่ดูเหมือนว่า ความทุกข์ทางจิตใจกลับมีมากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ขาดการเอาใจใส่ในเรื่องการพัฒนาจิตใจของตนเอง เพื่อให้จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์(กองทุกข์ = ความทุกข์ต่าง ๆ ทางจิตใจ).

ปุถุชนเมื่อมีความทุกข์ทางจิตใจเกิดขึ้น ก็มักจะคิดหาวิธีการต่าง ๆ มาใช้ในการดับความทุกข์ทางจิตใจของตนเอง. บางคนก็สามารถดับความทุกข์ทางจิตใจได้อย่างถูกวิธี โดยไม่ต้องเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น แต่บางคนดับความทุกข์ทางจิตใจอย่างไม่ถูกวิธี จึงทำให้เกิดการเบียดเบียนหรือเพิ่มความทุกข์ให้กับตนเองและผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว.

การเจริญสติปัญญาทางธรรม คือ การพัฒนาจิตใจของตนเองตามหลักการและวิธีการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งทำได้โดยการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมตามอริยสัจ ๔ อย่างจริงจังในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(ข้อมูลอริยสัจ ๔)ในความจำ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการดับกิเลสและกองทุกข์ให้หมดไปจากจิตใจอยู่ตลอดเวลา.

หลักการสำคัญในการอ่านหนังสือเล่มนี้ คือ มีความตั้งใจ(มีสติ)และมีความเพียร ในการศึกษาทุกประโยคและทุกขั้นตอนอย่างจริงจัง ด้วยการพิจารณาอย่างละเอียด(โยนิโสมนสิการ) โดยไม่ใช้ความหลงเชื่อแม้แต่นิดเดียว เพื่อให้เกิดสติปัญญาทางธรรม เพราะความหลงเชื่อไม่ทำให้เกิดสติปัญญาทางธรรมตามความเป็นจริง.

เมื่อท่านทำความเข้าใจได้ดีตามสมควรแล้ว จึงทดลองฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันตามรูปแบบที่นำเสนอ พร้อมทั้งสังเกตผลของการปฏิบัติธรรม ทั้งนี้ เพื่อพิสูจน์ว่า สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้จริง รวดเร็วหรือไม่ มากน้อยเพียงใด. ถ้าได้รับผลดีแล้ว จึงค่อยเชื่อถือและนำไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันต่อไป.

พระพุทธเจ้าตรัสรู้และตรัสสอนอริยสัจ ๔ เพื่อดับกิเลสและกองทุกข์

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ และตรัสสอนอริยสัจ ๔ เพื่อช่วยให้ผู้ที่ศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมตามอริยสัจ ๔ สามารถดับกิเลส ดับกองทุกข์ และมีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ ซึ่งเป็นการพัฒนาจิตใจจากความเป็นปุถุชน ให้มาเป็นบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล).

อริยสัจ ๔ เป็นเรื่องของการศึกษาร่างกายและจิตใจของตนเองตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน เพื่อให้รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงในเรื่องของความทุกข์ สาเหตุของความทุกข์ ความดับทุกข์ และทาง(วิธี)ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ พร้อมทั้งปฏิบัติตนตามรูปแบบของบุคคลที่ประเสริฐ. การศึกษาเช่นนี้ จึงเป็นการศึกษาความเป็นจริงในธรรมชาติของความทุกข์ในชีวิตปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อที่งมงายแต่ประการใด.

อีกส่วนหนึ่งของเรื่องอริยสัจ ๔ จึงเปรียบเหมือนวิชาการด้านจิตวิทยาและสุขภาพจิต เพราะเป็นวิชาการที่สามารถนำไปใช้ในการส่งเสริม ป้องกัน รักษา ฟื้นฟูจิตใจไม่ให้เกิดความทุกข์ โดยมีหลักการและวิธีการที่ง่าย ๆ แต่ให้ผลดีเยี่ยม.

อริยสัจ ๔ เป็นความจริงอันประเสริฐที่มนุษย์ทุกชาติ ทุกศาสนาย่อมศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมตามอริยสัจ ๔ ได้ทั้งนั้น เช่นเดียวกับการศึกษาเล่าเรียนทั่วไป เพราะอริยสัจ ๔ เป็นเรื่องของหลักการและวิธีการในการควบคุมความทุกข์และพัฒนาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งไม่ขัดกับประเพณี วัฒนธรรม และศาสนาใด ๆ ทั้งนั้น.

อริยสัจ ๔ เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้โดยง่าย และให้ผลทันทีที่ลงมือฝึกปฏิบัติ

ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ(อริยสัจ ๔) เป็นเรื่องที่คนปกติทุก ๆ คนในโลกนี้ สามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้โดยใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ครั้นเมื่อนำมาทดลองฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ก็จะได้รับผลและสามารถพิสูจน์ผลได้ทันที โดยไม่จำกัดกาลเวลา. ดังนั้น ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ จึงไม่ใช่เรื่องของความหลงเชื่อหรืองมงายแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องของความจริงในธรรมชาติของร่างกายและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์ทางจิตใจนี่เอง.

ถ้าท่านศึกษาอริยสัจ ๔ อย่างถูกทาง ท่านก็จะสามารถเริ่มดับกิเลสและกองทุกข์ได้ในทันทีที่ท่านลงมือฝึกปฏิบัติธรรม แต่จะกลับกลายเป็นเรื่องยากมาก ๆ และได้ผลน้อย ถ้าท่านศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างผิดทาง หรือไม่ตรงประเด็น.

เมื่อท่านศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมจนได้ผลดีตามสมควรแล้ว ท่านจะรู้เห็นและพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า หลักการและวิธีการในการปฏิบัติธรรมเพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ตามมรรคมีองค์ ๘ ในอริยสัจ ๔ นั้น เป็นเรื่องไม่ยากเลย เปรียบเหมือน "หญ้าปากคอก" ของคนไทยจริง ๆ.

ส่วนใหญ่ของเนื้อหาในอริยสัจ ๔ มีอยู่แล้วในความจำของท่านเอง ครั้นเข้าใจเนื้อหาของอริยสัจ ๔ ที่ผู้เขียนนำเสนอเพิ่มเติม เพื่อเสริมความรู้ของท่าน ท่านก็จะสามารถฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้โดยง่าย เป็นผลให้กิเลสและกองทุกข์ของท่านลดลงหรือดับไปในทันทีที่ลงมือฝึกปฏิบัติธรรม โดยไม่ต้องรอผลที่ชาติหน้าเลย เพราะการดับกิเลสและกองทุกข์ในพระพุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องตรงไปตรงมา ที่ท่านสามารถรู้เห็นและพิสูจน์ได้ด้วยตนเองในทุก ๆ ขั้นตอน.

 

อริยสัจ ๔ อย่างย่อและง่าย ๆ

บทความในหนังสือเล่มย่อนี้ เป็นเรื่องของการแนะนำวิธีเจริญสติปัญญาทางธรรมตามความจริงอันประเสริฐ(อริยสัจ ๔) ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างย่อและง่าย ๆ ซึ่งน่าจะเหมาะกับคนในยุคปัจจุบัน เพราะเป็นเรื่องของการซักซ้อมและทำความเข้าใจเบื้องต้นของเรื่องอริยสัจ ๔ กับท่านผู้อ่าน.

ครั้นเมื่อท่านได้รับผลจากการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันและมีศรัทธาตามสมควรแล้ว จึงค่อยศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมตามอริยสัจ ๔ อย่างเต็มรูปแบบในหนังสือเล่มต่อไป.

หัวข้อหลักของอริยสัจ ๔ ประกอบด้วยเรื่อง ๑. ความทุกข์(ทุกข์) ๒. สาเหตุของความทุกข์(สมุทัย) ๓. ความดับทุกข์(นิโรธ) ๔. ทาง(วิธี)ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์(มรรค)เรียงตามลำดับ. หนังสือเล่มนี้ จะเน้นให้ท่านรู้จักสาเหตุของความทุกข์ พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันด้วยตัวของท่านเอง เพื่อดับสาเหตุของความทุกข์ได้ตรงประเด็น.

ท่านควรทำความเข้าใจในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ให้ชัดแจ้งในทุกขั้นตอน แล้วฝึกเจริญสมาธิเพื่อการหยุดความคิด พักผ่อนร่างกาย และพักสมองอย่างมีสติ สลับกับการฝึกเจริญสติอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ พร้อมทั้งใช้ข้อมูลดังกล่าวในการรู้เห็น กำกับ และควบคุมความคิด(จิตใจ) รวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจของท่านเอง ให้เป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา(โอวาทปาฏิโมกข์) คือ ไม่ให้คิดอกุศล(ไม่ให้คิดด้วยกิเลส)และไม่ให้ทำอกุศล แต่ให้คิดและทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม และรักษาจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ เพื่อจะได้ไม่มีความทุกข์ทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง.

ท่านควรฝึกตรวจสอบผลของการฝึกปฏิบัติธรรมในทุกขั้นตอนว่า สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้จริงหรือไม่ ถ้าทำได้จริง ท่านก็จะมีความมั่นใจว่า ได้ฝึกปฏิบัติธรรมถูกทางแล้ว.

เรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ ท่านต้องมีความเพียรพยายามในการฝึกเจริญสมาธิสลับกับการฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา ไม่นานนัก ท่านก็จะมีความชำนาญในการดับกิเลสและกองทุกข์ที่ไม่รุนแรงได้อย่างรวดเร็วคล้ายอัตโนมัติ.

 

๑. ความทุกข์(ทุกข์)

มนุษยที่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมมีความทุกข์ทางร่างกายและจิตใจด้วยกันทุกคน จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่เหตุปัจจัย.

ความทุกข์ทางร่างกายและจิตใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่พึงมีด้วยกันทั้งนั้น. ความทุกข์ทางร่างกายที่มากเกินไป ต้องใช้ความรู้ทางร่างกายหรือทางโลกในการบำบัดรักษา. ความทุกข์ทางจิตใจที่มากเกินไป ต้องใช้ความรู้ทางจิตใจหรือทางธรรมในการบำบัดรักษา.

ท่านที่มีความรู้และความสามารถในการดับความทุกข์ทางร่างกายและดับความทุกข์ทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันได้ดี ก็จัดว่า เป็นบุคคลที่มีสติปัญญากว้างขวางทั้งทางโลกและทางธรรม จึงทำให้ชีวิตมีคุณภาพสูง.

เมื่อท่านใช้ความรู้และความสามารถทางธรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา(ตามโอวาทปาฏิโมกข์)ได้ดีตามสมควร ก็ถือว่า ท่านเป็นบุคคลที่มีความประเสริฐ(อริยบุคคล)ในระดับต่าง ๆ ตามกำลังความรู้และความสามารถทางธรรมของท่านที่มีอยู่ในขณะนั้น ๆ.

เพื่อให้ท่านเข้าใจเนื้อหาของอริยสัจ ๔ อย่างเป็นขั้นตอน จึงขอให้ท่านทำความเข้าใจเรื่องความทุกข์ทางจิตใจเสียก่อน ซึ่งเป็นเรื่องง่ายที่สุด มีเนื้อหาที่สั้นและตรงไปตรงมา.

ความทุกข์ที่ดับได้ด้วยการปฏิบัติธรรม

เรื่องราวของความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงประสบความสำเร็จในการดับความทุกข์ทางพระทัยของพระองค์เองได้อย่างต่อเนื่องนั้น เป็นเรื่องของความทุกข์ทางจิตใจ. สำหรับเรื่องของความทุกข์ทางร่างกายนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีความทุกข์ทางพระวรกายเช่นเดียวกันกับทุก ๆ ท่าน แต่ทรงไม่มีความทุกข์ทางพระทัยซ้ำเติมอีกเลย เพราะทรงสามารถรู้เห็นความคิด กำกับความคิด และควบคุมความคิดของพระองค์เอง ไม่ให้มีข้อมูลด้านกิเลสเจือปนหรือไม่ให้มีตัณหาเกิดในพระทัยได้อย่างต่อเนื่อง.

ความทุกข์ คือ ความรู้สึกไม่สบายที่กาย หรือที่ใจ หรือทั้งกายและใจ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้ข้อมูลด้านกิเลสที่มีอยู่ในความจำ(อาสวะ=กิเลสที่หมักดองอยู่ในสันดาน)มาประกอบการคิดและพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน.

ตัวอย่างของความทุกข์ที่ดับได้ด้วยการปฏิบัติธรรมอาจแบ่งย่อ ๆ เป็น ๓ แบบ ได้แก่ :-

แบบที่ ๑. ความทุกข์ภายในจิตใจ คือ ความรู้สึกเป็นทุกข์ทางจิตใจที่เกิดขึ้นในขณะที่มีความคิดเจือปนด้วยกิเลสหรือคิดด้วยกิเลส เช่น ขณะมีความเครียด กลุ้มใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง ซึมเศร้า ท้อแท้ เบื่อหน่าย น้อยใจ ขัดเคือง คับแค้น โกรธ พยาบาท ลุ่มหลง ไขว่คว้า เป็นต้น ซึ่งอาการต่าง ๆ ดังกล่าว เกิดจากขณะนั้น กำลังมีการคิดด้วยกิเลส และกำลังมีความทุกข์ทางจิตใจ.

แบบที่ ๒. ความทุกข์ภายในจิตใจที่แสดงอาการออกมาทางร่างกาย คือ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ แต่มีความรุนแรงจนถึงขั้นแสดงออกมาทางกิริยาอาการและคำพูด เช่น มีอาการกระสับกระส่าย ร้องไห้ คร่ำครวญ รำพึงรำพัน พูดเพ้อเจ้อ พูดดุดัน หน้านิ่ว คิ้วขมวด ก้าวร้าว ทำลายสิ่งของ ทำร้ายตนเอง แย่งชิงทรัพย์สินของผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น.

อาการที่แสดงออกทางร่างกายและคำพูดต่าง ๆ เกิดจากขณะนั้น กำลังมีการคิดด้วยกิเลสอย่างรุนแรง ทำให้มีความทุกข์ทางจิตใจมาก จนไม่สามารถเก็บความรู้สึกเป็นทุกข์ไว้ในใจได้ ต้องแสดงออกมาทางร่างกายเพื่อลดความทุกข์ทางจิตใจเป็นการชั่วคราว เช่น บางคนมีความทุกข์จากการคิดพยาบาทจนทนไม่ไหว ถึงกับต้องทำร้ายร่างกายผู้อื่น เพื่อลดความทุกข์ใจของตนเอง เป็นต้น.

แบบที่ ๓. ความทุกข์ทางร่างกายที่สืบเนื่องมาจากการมีความทุกข์ทางจิตใจ คือ ความไม่สบายของร่างกายหรือความเจ็บป่วยของร่างกายที่มีสาเหตุโดยตรงจากความทุกข์ทางจิตใจ. ความทุกข์ทางจิตใจอาจทำให้เกิดความทุกข์ทางร่างกายซ้ำเติมขึ้นมาอีก เช่น มีอาการปวดศรีษะ คลื่นไส้ ปวดท้อง อาเจียน เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องผูก ร่างกายผ่ายผอม หมดแรง อ่อนแอ ปวดเมื่อย หายป่วยช้า ผมร่วง ใจสั่น หายใจไม่เต็มอิ่ม เจ็บที่หัวใจ วิงเวียน หน้ามืด เป็นลม นอนไม่หลับ เป็นต้น ซึ่งอาการเจ็บป่วยของร่างกายที่แสดงออกนั้น เกิดจากช่วงนั้น กำลังมีการคิดด้วยกิเลส และกำลังมีความทุกข์ทางจิตใจ.

ความทุกข์ทางร่างกายที่เกิดขึ้นจากการมีความทุกข์ทางจิตใจนั้น เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของมนุษย์ เพราะร่างกายและจิตใจมีการเชื่อมโยงกันโดยตรง จึงแยกออกจากกันไม่ได้. เมื่อมีความทุกข์ทางจิตใจเกิดขึ้น สมองจะโยงใยให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ จนถึงขั้นเกิดการเจ็บป่วยทางร่างกายได้.

เมื่อท่านศึกษาและพิจารณาอย่างละเอียดต่อไป ท่านก็จะสามารถรู้เห็นและพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า ความทุกข์ทั้ง ๓ แบบมีสาเหตุมาจากความคิดที่เจือปนด้วยกิเลส จะด้วยเจตนาคิด(ตั้งใจคิด)หรือไม่ได้มีเจตนาคิด(คิดฟุ้งซ่าน)ก็ตาม และเป็นความทุกข์ที่ท่านสามารถใช้หลักการและวิธีการในพระพุทธศาสนาดับได้อย่างดีเยี่ยม.

ท่านควรเพียรพยายามที่จะฝึกป้องกันความทุกข์และฝึกดับความทุกข์ภายในจิตใจ(แบบที่ ๑)ให้รวดเร็วที่สุด หรือป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นเลย. ถ้าเกิดความทุกข์ขึ้นแล้ว ก็อย่าปล่อยให้ความทุกข์มีความรุนแรงจนถึงขั้นแสดงอาการออกมาทางร่างกาย(แบบที่๒). อย่าปล่อยให้เกิดการเจ็บป่วย หรือเกิดความทุกข์ทางร่างกายที่สืบเนื่องมาจากความทุกข์ทางจิตใจ(แบบที่ ๓). การดับความทุกข์ภายในจิตใจ(แบบที่๑) จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการดับกองทุกข์.

หลักการในการดับเพลิงทุกข์ก็เช่นเดียวกันกับการดับเพลิงทั่วไป กล่าวคือ ควรป้องกันเพลิง แต่ถ้าเกิดเพลิงไหม้ขึ้นแล้ว ต้องรีบดับต้นเพลิงตั้งแต่แรกเริ่มให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้เพลิงลุกลามจนเกิดความเสียหายมากมายแล้วจึงลงมือดับ.

 

1