อริยบุคคล
บุคคลที่ศึกษาอริยสัจ ๔ และปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วน จะสามารถพัฒนาจิตใจและการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปตามโอวาทปาฏิโมกข์ หรือเป็นบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล)ในระดับต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว. เพื่อให้มีการดำเนินชีวิตตามแบบอริยบุคคลได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ท่านควรศึกษาเรื่องอริยบุคคลให้รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง พร้อมทั้งจดจำไว้ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการฝึกปฏิบัติธรรม ประเมินผล และปรับปรุงการดำเนินชีวิตประจำวันของตนเอง ให้เป็นไปตามรูปแบบของอริยบุคคลต่อไป. บางท่านคิดว่า เรื่องอริยบุคคลเป็นเรื่องสูงส่ง ยาก และห่างไกลมาก ต้องบำเพ็ญกุศลอย่างมากมายถึงจะบรรลุธรรมให้เป็นอริยบุคคลได้ จึงเป็นเหตุให้ไม่กล้าศึกษา วิเคราะห์ วิจารณ์ หรือแม้แต่คิดถึงเอาเลยทีเดียว เป็นผลให้ขาดแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐอย่างเป็นขั้นตอน. ที่จริงแล้ว อริยบุคคลเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรรู้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐ และใช้สำหรับประเมินผลการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการแสดงความสามารถให้บุคคลอื่นได้รับรู้แม้แต่นิดเดียว. จิตใจในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลจนถึงยุคปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อเรื่องภพชาติว่า มีนรกอยู่ใต้ดิน มีมนุษย์อยู่บนพื้นดิน เหนือแผ่นดินขึ้นไป มีสวรรค์ที่ประกอบด้วยเทวโลก พรหมโลก และมีที่อยู่ของวิญญาณที่บริสุทธิ์ชั่วนิจนิรันดร. ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงปรับเปลี่ยนเรื่องความเชื่อดังกล่าว มาเป็นเรื่องระดับคุณธรรมของจิตใจหรือระดับของการพัฒนาจิตในชีวิตปัจจุบัน ที่คนทั่วไปสามารถรู้เห็นและรับรู้ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในชีวิตปัจจุบัน โดยใช้สติปัญญาธรรมดา ๆ นี่เอง ซึ่งมีเนื้อหาย่อ ๆ ดังนี้ :- ระดับนรก คือ ระดับจิตใจของบุคคลที่มีความทุกข์ หรือเปรียบเหมือนการตกนรก(คนนรก) เพราะมีการคิดและการกระทำต่าง ๆ ที่เป็นกิเลส เหมือนกับเปรต(คนเปรต) อสุรกาย(คนอสุรกาย) และเดรัจฉาน(คนเดรัจฉาน). ระดับมนุษยธรรม คือ ระดับจิตใจของบุคคลที่ถือศีล ๕ ข้อ หรือมีการกระทำที่ไม่เบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่นด้วยกายและวาจา. ข้อควรระวังคือ ถึงแม้ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ไม่ขาด แต่ถ้าจิตใจยังคิดด้วยกิเลส ก็จะมีความทุกข์เหมือนกับบุคคลที่ตกนรกได้เช่นกัน. ระดับเทวธรรม คือ ระดับจิตใจของบุคคลที่มีมนุษยธรรม + ทำบุญหรือทำทานด้วยวัตถุทานโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนด้วยความโลภ + มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป(หิริโอตตัปปะ). การทำบุญหรือทำทานโดยต้องการสิ่งตอบแทนด้วยความโลภ น่าจะเป็นเรื่องของการซื้อบุญและทานมากกว่า. บางคนทำบุญนิดเดียว แต่ต้องการสิ่งตอบแทนมากมายด้วยความโลภ จึงน่าจะเป็นการซื้อบุญพร้อมกับเพิ่มข้อมูลด้านกิเลสไว้ในความจำอีกด้วย. ระดับพรหมวิหารธรรม คือ ระดับจิตใจของบุคคลที่มีเทวธรรม + เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา. ความเมตตา คือ ความปรารถนาดีที่จะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ทางจิตใจ. กรุณา คือ การให้ธรรมทาน เช่น บิดามารดาสอนลูกให้เป็นคนดี ครูสอนศีลธรรม พระสอนธรรม เป็นต้น. มุทิตา คือ พลอยยินดีในความสำเร็จที่ดีของผู้อื่น และไม่อิจฉา. อุเบกขา คือ การปล่อยวางความคิดที่เป็นกิเลส(ไม่คิดด้วยกิเลส) เมื่อได้ช่วยผู้ที่มีความทุกข์ตามกำลังความสามารถแล้ว ไม่ว่าผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร. การแผ่เมตตาอย่างเดียวไม่ใช่พรหมวิหารธรรม การเจริญพรหมวิหารธรรมต้องมีกรุณา มุทิตา และอุเบกขาด้วย. บางคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ คิดว่าการแผ่เมตตาเป็นพรหมวิหาร แต่ที่จริงแล้ว พรหมวิหารธรรมต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง ๔ ข้อ. บิดาและมารดาบางคนทำความดีให้กับลูก ด้วยการดูแลและให้การอบรมเป็นอย่างดี(มีเมตตาและกรุณา) แต่ไม่รู้จักการปล่อยวางความคิดที่เป็นกิเลส(ไม่มีอุเบกขา) เช่น เมื่อสอนลูกเสร็จแล้ว ครั้นลูกไม่ปฏิบัติตามก็โกรธ. ความโกรธเกิดขึ้นจากความคิดที่เป็นกิเลส จึงเป็นเหตุให้มีความทุกข์(ตกนรกในจิตใจ) และขณะโกรธ พรหมวิหารธรรมไม่เกิดขึ้นในจิตใจด้วย. ถ้าความโกรธนั้นรุนแรง อาจจะทำร้ายลูก(เป็นอสุรกายในจิตใจ) ซึ่งเป็นผลร้ายต่อจิตใจและร่างกายของตนเองและของลูกด้วย. บางครั้งบางคราว การมีสติแสร้งทำเป็นโกรธที่สืบเนื่องมาจากความปรารถนาดี เพื่อทำให้การฝึกอบรมเป็นไปด้วยดี ก็ถือเป็นการปฏิบัติตนตามพรหมวิหารธรรม. ท่านสามารถรู้เห็นได้ด้วยตนเองว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีมนุษยธรรม เทวธรรม และพรหมวิหารธรรมด้วยตนเอง ทั้ง ๆที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสอน เช่น บิดา มารดา ครู อาจารย์ เป็นต้น. พระพุทธเจ้าตรัสสอนอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้กับผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมกับพระองค์ท่าน เป็นผลให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถพัฒนาจิตใจให้เป็นอริยบุคคลได้อย่างรวดเร็ว. ดังนั้น พระพุทธศาสนา จึงเป็นวิชาการสำหรับพัฒนาจิตใจมนุษย์ให้เป็นอริยบุคคลโดยตรง. การศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นการพัฒนาจิตใจให้เป็นอริยบุคคล อริยบุคคล คือ บุคคลที่มีความรู้ในเรื่องอริยสัจ ๔ และสามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ จนสามารถดับกิเลสที่ผูกมัดจิตใจมนุษย์ ๑๐ อย่างให้ลดลงหรือหมดไป(ละสังโยชน์ ๑๐) ตามระดับความรู้และความสามารถทางธรรมที่มีอยู่ในความจำขณะนั้น ซึ่งเป็นปัจจุบันขณะหรือปัจจุบันธรรม. อริยบุคคลมี ๔ ระดับได้แก่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี(หรือสกทาคามี) พระอนาคามี พระอรหันต์ เรียงตามลำดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับสูงสุด. การจะเป็นอริยบุคคลระดับใดและมีความต่อเนื่องเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ในเรื่องอริยสัจ ๔ และความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์ของแต่ละบุคคลในขณะนั้น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้และความสามารถทางธรรมเฉพาะตน. กิเลสหรือสังโยชน์ที่อริยบุคคลต้องละ กิเลส คือ สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ซึ่งประกอบด้วยความโลภ โกรธ หลง. สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดจิตใจมนุษย์ให้เกิดความทุกข์มี ๑๐ ข้อ ซึ่งเป็นการขยายความของความโลภ โกรธ หลง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการละกิเลสในระดับต่าง ๆ รวมทั้งใช้ในการประเมินผลด้วย. การมีความรู้เรื่องสังโยชน์จะทำให้รู้จักระดับของความประเสริฐทางจิตใจ รวมทั้งการใช้ความรู้ดังกล่าวในการประเมินผล แก้ไข และปรับปรุงการปฏิบัติธรรมเพื่อการบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล. การเลื่อนระดับของอริยบุคคลนั้น เป็นเรื่องของการเลื่อนระดับของความรู้และความสามารถทางธรรมในการดับหรือละกิเลสที่ผูกมัดจิตใจมนุษย์ ๑๐ ข้อ เพื่อดับความทุกข์ในชาติปัจจุบันนี้เอง. ปุถุชนจะไม่มีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ (เพราะมีอวิชชา) ส่วนอริยบุคคลนั้น จะมีความรู้และความสามารถทางธรรมตามความเป็นจริง(รู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔) ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ(มีวิชชา)ในระดับต่าง ๆ กัน. เพื่อให้บทความกระชับ ดังนั้น จึงต้องใช้คำว่า สังโยชน์ แทนข้อความที่ว่า กิเลสที่ผูกมัดจิตใจมนุษย์ให้เกิดความทุกข์. ความพ้นทุกข์เกิดจากการมีและใช้ข้อมูลความรู้และความสามารถทางธรรมอยู่ในความจำ ความพ้นทุกข์เป็นเรื่องของการมีและใช้ข้อมูลความรู้และความสามารถทางธรรมในปัจจุบันขณะ ไม่เกี่ยวกับกรรมในอดีต และไม่เกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น องคุลิมาลได้ทำความชั่วไว้อย่างรุนแรงและมากมาย เพราะมีความหลง(มีอวิชชา) แต่ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะท่านสามารถใช้สติปัญญาทางธรรม(ใช้วิชชา)ควบคุมจิตใจให้คิดอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดด้วยกิเลส ไม่คิดเรื่องความชั่วที่เคยทำไว้ ไม่คิดเรื่องที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ จึงสามารถพ้นจากความทุกข์ได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นพระอรหันต์ได้อย่างรวดเร็วในปัจจุบันชาติของท่าน. พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของการมีและใช้สติปัญญาทางธรรม(ใช้วิชชา)ในการควบคุม(บริหาร*)ความคิดในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ความคิดอยู่กับปัจจุบัน(เป็นปัจจุบันธรรม) ไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ไม่ให้คิดด้วยกิเลส ไม่ให้คิดเรื่องที่เป็นทุกข์ แต่ให้มีสติในการคิดและทำแต่กุศลอยู่เสมอ พร้อมทั้งรักษา(ทำ)จิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง. อริยบุคคลในระดับต่าง ๆ กับกิเลสที่ต้องละ สังโยชน์มี ๒ ระดับ คือ สังโยชน์เบื้องต่ำ และสังโยชน์เบื้องสูง. สังโยชน์เบื้องต่ำ คือ กิเลสที่ผูกมัดจิตใจให้คิดและทำอกุศลมี ๕ ข้อ ประกอบด้วย ๑. ความเห็นว่าเป็นตัวของตน(สักกายทิฏฐิ) ๒. ความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา) ๓. ความถือมั่นศีลพรตต่าง ๆ นอกพระพุทธศาสนา(สีลัพพตปรามาส) ๔. ความคิดกำหนัดยินดีในกามคุณ(กามราคะ) ๕. ความคิดขัดเคืองใจ(ปฏิฆะ). สังโยชน์เบื้องสูง คือ กิเลสที่ผูกมัดจิตใจให้คิดและทำอกุศลมี ๕ ข้อ ประกอบด้วย ๑. การติดใจในรูปอันประณีต(รูปราคะ) ๒. การติดใจในอรูป(อรูปราคะ) ๓. ความถือตัว(มานะ) ๔. ความคิดฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ) ๕.ความหลง(อวิชชา). อริยบุคคลจะต้องมีความรู้และความสามารถทางธรรม(มีวิชชา)ในการละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อเป็นขั้น ๆ คือ ละตั้งแต่สังโยชน์เบื้องต่ำจนถึงละสังโยชน์เบื้องสูง ซึ่งจัดว่า เป็นแนวทางการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ในระดับต่าง ๆ ซึ่งมี ๔ ระดับ ดังนี้ :- ระดับที่ ๑. การละสังโยชน์ของพระโสดาบัน คือ การเริ่มมีความรู้ในเรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง(เริ่มละความหลงได้ หรือเริ่มละอวิชชาได้ หรือเริ่มมีวิชชา) ได้แก่การเริ่มละความเห็นว่าเป็นตัวของตน(สักกายทิฏฐิ) เริ่มละความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา) เริ่มละความถือมั่นในข้อปฏิบัติต่าง ๆ นอกพระพุทธศาสนา(สีลัพพตปรามาส)ได้บ้างแล้ว. ในสมัยพุทธกาล พระโสดาบัน คือ บุคคลที่มีดวงตาเห็นธรรม ซึ่งหมายถึงการเริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง* ที่เกิดขึ้นภายหลังการฟังธรรมที่ถูกต้องและครบถ้วนเป็นครั้งแรก. ระดับที่ ๒. การละสังโยชน์ของพระสกิทาคามี คือ การมีความรู้และความสามารถในการละสังโยชน์ของพระโสดาบัน + ละกิเลส(ละความโลภ โกรธ หลง)ให้เบาบางลงด้วย กล่าวคือ มีความรู้และความสามารถในการละกิเลสอย่างหยาบ(ละสังโยชน์เบื้องต่ำ)ได้มากขึ้น. ระดับที่ ๓. การละสังโยชน์ของพระอนาคามี คือ การมีความรู้และความสามารถในการละสังโยชน์ของพระสกิทาคามี + การละความคิดกำหนัดยินดีในกามคุณ(ละกามราคะหรือละความโลภ)และละความคิดขัดเคืองใจ(ละปฏิฆะหรือละความโกรธ) ซึ่งเป็นการละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้งหมด. ระดับที่ ๔. การละสังโยชน์ของพระอรหันต์ คือ การมีความรู้และความสามารถในการละกิเลส(ความโลภ โกรธ หลง)ได้หมดสิ้น หรือละสังโยชน์ทั้งเบื้องต่ำและเบื้องสูงได้หมด. การละสังโยชน์เบื้องสูงประกอบด้วยการละการติดใจในรูปอันประณีต(รูปราคะ) การติดใจในอรูป(อรูปราคะ) ความถือตัว(มานะ) ความคิดฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ) ความหลง(อวิชชา)ได้หมดและต่อเนื่อง. การละสังโยชน์จึงอาจจัดเข้าไว้ในเรื่องของการกระทำชอบ. การเลื่อนระดับสูงขึ้นของอริยบุคคล คือ ความก้าวหน้าของความรู้และความสามารถในการละกิเลสต่าง ๆ ที่ผูกมัดจิตใจ(สังโยชน์)ได้มากขึ้นตามลำดับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ หรืออิทธิฤทธิ์ หรือผลบุญในอดีต แต่เป็นเรื่องของความรู้ความสามารถในด้านสติปัญญาทางธรรม(มีวิชชา)ในปัจจุบันขณะนี่เอง. สังโยชน์เป็นเรื่องของการชี้แนะแนวทางการปฏิบัติตนและประเมินผล เรื่องสังโยชน์ ๑๐ เป็นรายละเอียดของการละกิเลส(โลภ โกรธ หลง)ที่ทุกคนควรศึกษา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรม และใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินระดับของความรู้และความสามารถทางธรรมของตนเอง แต่ไม่สามารถใช้ในการประเมินความรู้และความสามารถในการควบคุมความคิดของผู้อื่น เพราะคนธรรมดาไม่มีใครรู้เห็นความคิดของผู้อื่นได้. ความคิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ควบคุมได้ยาก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วมาก มักคิดไปต่าง ๆ นา ๆ อีกทั้งยังมีเหตุปัจจัยมากมายที่มีอิทธิพลต่อความคิด. ดังนั้น ท่านควรฝึกประเมินความสามารถในการละสังโยชน์เป็นประจำ เพื่อตรวจสอบความสามารถในการดับกิเลสของตนเองว่า ก้าวหน้า คงเดิม หรือถอยหลัง และถ้าพบว่ามีข้อขัดข้องด้วยเรื่องใดก็ตาม ที่ทำให้ไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้น ก็ให้รีบแก้ไขข้อขัดข้องนั้น ๆ ให้หมดไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการโอ้อวดระดับของอริยบุคคลแต่ประการใด. การแสดงตนว่าเป็นอริยบุคคลด้วยความคิดที่เป็นกิเลส ก็จะทำให้จิตใจไม่บริสุทธิ์ผ่องใส และไม่พ้นทุกข์. ความสามารถของการละสังโยชน์เกิดขึ้นจากการทำงานของสมองเป็นหลัก. ดังนั้น เมื่อสมองเป็นไตรลักษณ์ ความสามารถของการละสังโยชน์ย่อมเป็นไตรลักษณ์ด้วย. เพื่อความไม่ประมาท จึงต้องมีความเพียรในการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมเพื่อละสังโยชน์อย่างต่อเนื่องจนถึงที่สุด.
คุณสมบัติของพระโสดาบัน
พระโสดาบัน หมายถึงบุคคลที่สามารถในการเริ่ม*ละสังโยชน์ ๓ ข้อแรก(เริ่มละความหลงหรืออวิชชา)ได้บ้างแล้ว ด้วยการเริ่มมีความรู้หรือความเข้าใจในเรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง(มีดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอน)*. รายละเอียดของสังโยชน์ ๓ ข้อที่พระโสดาบันเริ่มละได้ มีดังนี้ :- ๑. ความเห็นว่าเป็นตัวของตนด้วยกิเลส(สักกายทิฏฐิหรือสังโยชน์ข้อที่ ๑) คือ การมีความเห็นหรือความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสว่า ร่างกายและจิตใจ(ขันธ์ ๕)ที่มีอยู่นี้ เป็นเรา หรือเป็นของเรา หรือต้องเป็นไปตามที่เราปรารถนา หรือคงอยู่ตลอดไป(มีอุปาทานขันธ์ ๕ หรือมีอัตตา) ทั้งที่ร่างกายและจิตใจเป็นไตรลักษณ์ คือ เป็นของไม่เที่ยง(อนิจจตา) คงสภาพอยู่อย่างเดิมไม่ได้(ทุกขตา) ต้องเสื่อมสลายหรือดับไปเป็นธรรมดา(อนัตตา) จะช้าหรือเร็วก็แล้วแต่เหตุปัจจัย. ข้อความที่ว่า ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เป็นความหมายของสักกายทิฏฐิในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ซึ่งเข้าใจได้ยาก น่าจะใช้ภาษายุคปัจจุบันว่า ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ แทน. ตามธรรมชาติและความเป็นจริงแล้ว เมื่อเรายังมีชีวิตและมีสติสัมปชัญญะอยู่ ชีวิต(ร่างกายและจิตใจ)นี้เป็นเรา หรือเป็นของเรา และเราก็อยากให้เป็นไปตามที่เราปรารถนาด้วยกันทั้งนั้น แต่ขอเพียงอย่างเดียวคือ อย่าคิดด้วยกิเลสเท่านั้นเอง. ถ้าไม่คิดด้วยกิเลส ความเป็นตัวของตน(สักกายทิฏฐิ)ด้วยกิเลสก็จะไม่เกิดขึ้นในจิตใจ. ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ นั้น เกิดขึ้นจากการวิวัฒนาการทางจิตใจของมนุษย์เพื่อความอยู่รอดของชีวิต. ดังนั้น มนุษย์จึงมีข้อมูลของความยึดมั่นถือมั่นฝังแน่นอยู่ในความจำ(อาสวะหรืออวิชชาสวะ) และครอบงำจิตใจให้คิดด้วยความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ อยู่เสมอ. การมีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ (สักกายทิฏฐิ) ก็เพราะมีความหลง. ๒. ความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉาหรือสังโยชน์ข้อที่ ๒) คือ ความไม่รู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ(มีความหลงหรือมีอวิชชา) จึงทำให้ยังมีความลังเลสงสัยในอริยสัจ ๔ เพราะยังรู้ไม่หมด. ตัวอย่างเรื่องความลังเลสงสัยที่ช่วยให้เข้าใจความหมายได้ง่าย คือ เมื่อเรียนจบวิชาใดด้วยคะแนนที่ดี เป็นการแสดงว่า มีความรู้ในวิชานั้นดี. การมีความรู้ดีในวิชาใด ก็จะไม่มีความลังเลสงสัยในวิชานั้น ๆ อีกต่อไป. การมีความลังเลสงสัยในอริยสัจ ๔ (วิจิกิจฉา) ก็เพราะมีความหลง. ๓. ความถือมั่นศีลพรตต่าง ๆ นอกพระพุทธศาสนา(สีลัพพตปรามาสหรือสังโยชน์ข้อที่ ๓) คือ ความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นในข้อปฏิบัติ(ศีลพรต)ต่าง ๆ เพื่อการดับความทุกข์ที่ไม่ตรงกับวิธีการในมรรคมีองค์ ๘ เช่น การขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ การทรงเจ้าเข้าผี ดูหมอ บนบานศาลกล่าว ปล่อยสัตว์เพื่อแก้กรรม เป็นต้น. ความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นในข้อปฏิบัติ(ศีลพรต)ต่าง ๆ นอกพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นจากการไม่มีความรู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ(มีความหลงหรือมีอวิชชา) จึงทำให้ไม่สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ข้อความที่ว่า ความถือมั่นศีลพรตต่าง ๆ นอกพระพุทธศาสนา นั้น น่าจะใช้ภาษาในยุคปัจจุบันว่า การปฏิบัติธรรมที่ไม่ตรงกับมรรคมีองค์ ๘ . การมีความยึดมั่นถือมั่นในศีลพรตต่าง ๆ นอกพระพุทธศาสนา(สีลัพพตปรามาส) ก็เพราะมีความหลง. สังโยชน์ข้อที่ ๑ - ๓ เป็นเรื่องของความหลง(อวิชชา) การจะเริ่มลดหรือเริ่มละความหลง(เริ่มดับอวิชชา)ได้นั้น จำเป็นจะต้องศึกษาอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร. บุคคลที่ดับความหลงได้หมด(เสร็จกิจทางธรรม) คือ พระอรหันต์. พระโสดาบันจึงเป็นเพียงผู้เริ่มดับความหลง*(เริ่มดับอวิชชา) เพราะเพิ่งเริ่มศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง. ดังนั้น พระโสดาบันจึงต้องมีกิจที่ต้องทำอีก คือ ต้องศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพิ่มเติมอีก จนกว่าจะพ้นความทุกข์ได้อย่างต่อเนื่อง(เป็นพระอรหันต์). เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังต้องศึกษา ทบทวน และปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเสื่อมหายของข้อมูลทางธรรมในความจำ และเพิ่มความรู้และความสามารถทางธรรมให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นผลให้มีข้อมูลทางธรรมในการสั่งสอนผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ. การละกิเลสของอริยบุคคลระดับต่าง ๆ ธรรมชาติของมนุษย์เมื่อมีความหลง(มีอวิชชา) จะไม่สามารถควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดการคิดด้วยกิเลส(เกิดสังขารในปฏิจจสมุปบาท). เมื่อมีการคิดด้วยกิเลส(คิดด้วยความโลภหรือโกรธ)ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็จะทำให้เกิดความทะยานอยาก(เกิดตัณหา)ที่จะให้ได้มาตามความคิดที่เป็นกิเลส. เมื่อคิดด้วยความทะยานอยากซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็จะทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น(เกิดอุปาทาน)ที่จะต้องให้ได้มาตามความคิดที่เป็นกิเลส ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์. เนื่องจากหัวหน้าใหญ่ของกิเลส คือ ความหลง(อวิชชา) ดังนั้น การดับความหลงได้หมด(มีวิชชา) จะทำให้สามารถควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้อย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ความทะยานอยากและความยึดมั่นถือมั่นไม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย. ในสมัยพุทธกาล พระโสดาบัน คือ บุคคลที่มาฟังธรรม(ศึกษาธรรม)แล้วเริ่มมีความรู้ในเรื่องอริยสัจ ๔ ที่ถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร เรียกว่า ผู้มีดวงตาเห็นธรรม แต่เนื่องจากพระโสดาบันยังมีกิเลส(โลภ โกรธ หลง)เหลืออยู่มาก ดังนั้น พระโสดาบัน จึงเป็นเพียงผู้เริ่มดับความหลง(เริ่มดับอวิชชา)*. พระสกิทาคามี คือ บุคคลที่มีกิเลส(โลภ โกรธ หลง)ลดน้อยลงตามลำดับ. พระอนาคามี คือ บุคคลที่ละกิเลสที่เป็นสังโยชน์เบื้องต่ำได้หมด. พระอรหันต์ คือ บุคคลที่ดับความหลง(ดับอวิชชา)ได้หมดสิ้น จึงไม่คิดด้วยกิเลส(ไม่มีสังขารในปฏิจจสมุปบาท) และไม่มีความทุกข์ที่เกิดจากความคิดที่เป็นกิเลสอีกเลย คงมุ่งปฏิบัติตนตามโอวาทปาฏิโมกข์ จิตใจจึงมีความบริสุทธิ์ผ่องใส เข้าถึงภาวะความดับทุกข์(นิโรธหรือนิพพาน)ได้อย่างต่อเนื่อง. ระดับของพระอริยบุคคลหรือความสามารถในการดับกิเลสนั้น ไม่ใช่เรื่องของอดีตหรืออนาคต แต่เป็นเรื่องของความรู้และความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมที่ใช้ดับกิเลสในปัจจุบันขณะเท่านั้น. ความรู้และความสามารถทั้งทางโลกและทางธรรมเป็นไตรลักษณ์ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการทำงานของสมอง ซึ่งสมองเป็นเพียงส่วนหนึ่งของร่างกาย และร่างกายนี้เป็นไตรลักษณ์. ดังนั้น ความรู้และความสามารถในการดับกิเลสของอนาคตจึงไม่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่าง ๆ ในอนาคต และก็เป็นไตรลักษณ์เช่นกัน.
พระโสดาบันคือบุคคลที่เริ่มละความหลงได้ การละความหลง(ละอวิชชา) หรือละสังโยชน์ข้อที่ ๑ ถึง ๓ ได้หมดจริง ๆ (ละได้ ๑๐๐%)นั้น น่าจะเป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่ทำได้. พระโสดาบันจึงเป็นผู้ที่เริ่มละความหลง(เริ่มดับอวิชชา)ได้* คือ เริ่มมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ รวมทั้งมีความรู้เรื่องไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง(ไตรลักษณ์มีอยู่ในเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ). นางวิสาขา เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พร้อมกับเพื่อนทั้งหมด เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว ต่างก็มีดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอน จึงเป็นพระโสดาบันทั้งหมด เพราะเริ่มรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง. ท่านอุปติสสะ(ชื่อเดิมของพระสารีบุตร)ได้ฟังธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ จากพระอัสสชิ(หนึ่งในปัญจวัคคีย์)เพียงครั้งเดียว เมื่อฟังจบ ก็เริ่มมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง หรือมีดวงตาเห็นธรรมตามความเป็นจริง จึงเป็นพระโสดาบัน. ในวันเดียวกัน ท่านอุปติสสะได้ไปเล่าเรื่องอริยสัจ ๔ ที่จดจำมาได้ให้กับท่านโกลิต(ชื่อเดิมของพระโมคคัลลานะ)ฟัง เมื่อท่านโกลิตฟังจบ ก็เริ่มมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง หรือมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันในวันเดียวกันนั้นเอง. โจรองคุลิมาล ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว เมื่อฟังจบก็เริ่มมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง หรือมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันทันที. พระเจ้าสุทโธทนะ(พระราชบิดาของพระพุทธเจ้า) ประทับยืนฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าบนถนนเพียงครั้งเดียว เมื่อทรงฟังธรรมจบ ก็เริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง หรือเป็นผู้ที่มีพระเนตรเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน จึงเป็นพระโสดาบัน. จะเห็นได้ว่า การเป็นพระโสดาบันนั้น ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป ขอเพียงให้ท่านได้ศึกษาอริยสัจ ๔ ด้วยสติปัญญาอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามความเป็นจริง เพื่อเริ่มดับความหลง(เริ่มดับอวิชชา)ได้ตรงประเด็น ซึ่งมีเนื้อหาไม่มากนัก(เปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือเดียว) เพราะใช้เวลาสั้น ๆ ในการฟังธรรมเพียงครั้งเดียว. พระโสดาบันยังมีกิเลสอยู่ เพราะเพิ่งเริ่มดับความหลง(เริ่มดับอวิชชา) พระโสดาบันเป็นอริยบุคคลที่เริ่มรู้จักดับความหลง(เริ่มดับหัวหน้าของกิเลส) และเริ่มก้าวเข้าสู่กระแส(เส้นทาง)ของความพ้นทุกข์(กระแสนิพพาน) จึงอาจมีความทุกข์มากจากความคิดที่เป็นกิเลส. พระโสดาบันยังมีความหลง(อวิชชา)เหลืออยู่มากพอสมควร ดังนั้น พระโสดาบันจึงยังมีการคิดด้วยกิเลส(คิดด้วยความโลภและความโกรธ)อยู่อีก เช่น ยังคิดอยากรวย น้อยใจ ท้อแท้ เบื่อหน่าย ร้องไห้ คร่ำครวญ จู้จี้ โมโห โกรธ เป็นต้น. พระโสดาบัน เช่น นางวิสาขา เมื่อคราวที่หลานตาย ก็มีความทุกข์มาก ถึงกับร้องไห้และคร่ำครวญเพราะคิดด้วยกิเลสจนมีความยึดมั่นถือมั่น เนื่องจากขณะนั้นยังมีความหลง(มีอวิชชา)อยู่ไม่น้อย จึงทำให้ไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ดีพอ. พระโสดาบัน เช่น ท่านอนาถบิณฑิกะ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐี เมื่อคราวที่ลูกสาวคนเล็กตาย ก็ยังเป็นทุกข์มาก จนถึงกับร้องไห้คร่ำครวญเช่นกัน เพราะคิดด้วยกิเลสจนมีความยึดมั่นถือมั่น (อนาถบิณฑิกะ เล่ม ๑ หน้า ๙๑ รังสี สุทนต์).๗๐ พระอานนท์เมื่อครั้งยังเป็นพระโสดาบันอยู่นั้น เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าและติดตามฟังธรรมพร้อมทั้งจดจำธรรมไว้ได้มากมาย แต่พอทราบข่าวว่า พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็เป็นทุกข์มาก ถึงกับร้องไห้ คร่ำครวญ และเข่าอ่อนแรง จนต้องยืนเกาะกลอนประตูเพื่อพยุงตัวเอาไว้. ความทุกข์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากการคิดด้วยกิเลสจนมีความยึดมั่นถือมั่นมาก (พุทธประวัติ เล่ม ๓ หน้า ๓๒ สมเด็จสังฆราช(สา)).๗๑ นางวิสาขา ท่านอนาถบิณฑิกะ และพระอานนท์ ต่างก็เป็นพระโสดาบันด้วยกันทั้งสิ้น แต่ทุกท่านยังคิดด้วยกิเลส(มีสังขาร)ในเรื่องของการพลัดพรากเพราะยังดับสังโยชน์ข้อที่ ๑ - ๓ ไม่หมด* หรือดับความหลงยังไม่หมด(มีอวิชชา) จึงทำให้มีความคิดทะยานอยาก(มีตัณหา) และมีความคิดยึดมั่นถือมั่น(มีอุปาทาน) เป็นผลให้มีความทุกข์เกิดขึ้นมาก จนถึงขั้นร้องไห้และคร่ำครวญ(โสกะ ปริเทวะ). การร้องไห้ของพระโสดาบันทั้ง ๓ ท่านนั้น เป็นการแสดงว่า มีการคิดด้วยกิเลสอย่างรุนแรงและมีความทุกข์ในจิตใจมาก. ถ้าพระโสดาบันสามารถละสังโยชน์ข้อที่ ๑ - ๓ ได้หมด คงจะไม่มีการร้องไห้และคร่ำครวญเกิดขึ้นเป็นแน่. มีพุทธพจน์อยู่ตอนหนึ่ง ที่กล่าวถึงคุณสมบัติของพระโสดาบัน พอจะสรุปได้ว่า สาวกที่(เริ่ม*)มีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ และรู้จักทางออกจากความคิดที่ยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน)ในขันธ์ ๕ (รู้จักวิธีดับความคิดที่เป็นกิเลส*)ตามความเป็นจริง คือ พระโสดาบัน (พุทธธรรม หน้า ๓๕๕ ป.อ.ปยุตโต).๗๒ ท่านควรฝึกประเมินระดับจิตใจของตนเองว่า ในปัจจุบันขณะนี้ เริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ (เริ่มละความหลง)ตามความเป็นจริงหรือยัง. ถ้าเริ่มมีบ้างแล้ว ก็น่าจะอยู่ในข่ายของบุคคลที่มีดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแล้ว และจิตใจของท่านน่าจะอยู่ที่ระดับจิตใจของพระโสดาบันเป็นการชั่วคราว. พระโสดาบันควรเป็นผู้เริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง(เริ่มละความหลงได้) แต่ยังไม่มีความสามารถที่จะดับความโลภและความโกรธในชีวิตประจำวันได้. ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า มักจะเป็นพระโสดาบันในทันทีที่ฟังธรรมจบ แต่ยังไม่สามารถดับความทุกข์ได้ เพราะการมีดวงตาเห็นธรรมนั้น เป็นเพียงการเริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ ภาคทฤษฎีตามความเป็นจริง. เพื่อป้องกันการขัดแย้งทางความคิด ท่านไม่ควรใช้คำว่า พระโสดาบัน ในวงการทั่วไป แต่ควรใช้ข้อความว่า เริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ จะดีกว่า.
คุณสมบัติของพระสกิทาคามี
พระสกิทาคามี คือ บุคคลที่มีคุณสมบัติของพระโสดาบัน + มีความรู้ในอริยสัจ ๔ มากขึ้น + สามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร จนสามารถละกิเลส(โลภ โกรธ หลง)และความทุกข์ให้เบาบางลงได้ในระดับหนึ่ง เพราะยังมีความหลง(มีอวิชชา)อยู่. การดับกิเลส(โลภ โกรธ หลง)ได้หมดจริง ๆ และอย่างต่อเนื่องได้นั้น ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่จะทำได้. ในชีวิตประจำวัน การฝึกรักษาจิตใจของท่านให้ตั้งอยู่ในระดับพระสกิทาคามีอย่างต่อเนื่องก็อาจทำได้ โดยการตั้งเจตนา(มีดำริชอบอย่างจริงจัง)ว่า ต่อจากนี้ไป เราจะมีความตั้งใจ(มีสติชอบ)และความเพียร(มีความเพียรชอบ)ที่จะศึกษาอริยสัจ ๔ เพื่อดับความหลง และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อดับความโลภและความโกรธให้หมดไปจากจิตใจอย่างสิ้นเชิง. ท่านควรฝึกประเมินระดับจิตใจของตนเองวันละหลายครั้งว่า ในขณะปัจจุบันนี้ หรือในนาทีนี้ ในชั่วโมงนี้ ในวันนี้ กิเลส(โลภ โกรธ หลง)เบาบางลงจากเดิมบ้างหรือไม่. ถ้ากิเลสเบาบางลงไปบ้างแล้ว จิตใจของท่านน่าจะอยู่ที่ระดับจิตใจของพระสกิทาคามีได้ชั่วคราว ถ้ากิเลสยังไม่เบาบางลง ก็ให้สอนหรือตักเตือนตนเองว่า จะละกิเลสอย่างจริงจังต่อไป. การจะเป็นพระสกิทาคามีได้นั้น จะต้องผ่านการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร จึงจะสามารถควบคุมความคิดให้มีความโลภและความโกรธน้อยลง.
คุณสมบัติของพระอนาคามี
พระอนาคามี คือ บุคคลที่มีคุณสมบัติของพระสกิทาคามี + มีความรู้ในอริยสัจ ๔ มากขึ้น + สามารถละความคิดกำหนัดยินดีในกามคุณ(กามราคะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๔)และละความคิดขัดเคืองใจ(ปฏิฆะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๕)ได้ หรือละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง ๕ ข้อได้. รายละเอียดของสังโยชน์ ๒ ข้อที่พระอนาคามีต้องละเพิ่มขึ้น มีดังนี้ :-. ๑. ความคิดกำหนัดยินดีในกามคุณ(กามราคะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๔) คือ การมีความคิดทะยานอยากในการเสพกามคุณต่าง ๆ (มีตัณหา) ซึ่งเกิดจากการคิดด้วยกิเลสด้านความโลภ เช่น การอยากเสพ(อยากรับรู้) รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย ที่เกินความพอเหมาะพอควร จึงทำให้มีความทุกข์ที่เกิดจากความโลภ แต่ไม่รุนแรงมากนัก. การละกามราคะของพระอนาคามีนั้น เป็นการละความกำหนัดยินดีในกามคุณได้หมด จึงทำให้จิตใจไม่ดิ้นรนที่จะเสพกามคุณเช่นปุถุชน ความทุกข์จึงลดลงไปด้วย. เมื่อพระอนาคามีได้รับรู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายที่เคยชอบ ก็อาจมีการคิดด้วยกิเลสอย่างละเอียดด้านความโลภได้บ้าง เพราะยังมีสังโยชน์เบื้องสูงเหลืออยู่ แต่ไม่รุนแรงมากนัก และความทุกข์ก็ไม่มากมายเหมือนปุถุชน. ๒. ความคิดขัดเคืองใจ(ปฏิฆะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๕) คือ มีความไม่พอใจที่เกิดจากการคิดด้วยกิเลสด้านความโกรธ เช่น เมื่อได้รับรู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายที่เคยไม่พอใจ ก็อาจมีการคิดด้วยกิเลสด้านความโกรธบ้าง เพราะยังมีกิเลสเหลืออยู่ จึงทำให้มีความทุกข์ที่เกิดจากความโกรธ แต่ไม่รุนแรงมากนัก. พระสกิทาคามีจึงเป็นบุคคลที่ยังคงมีความกำหนัดยินดีในกามคุณ(กามราคะ)และมีการคิดขัดเคืองใจอยู่(ปฏิฆะ). การบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี จึงจะเป็นผู้ที่ละความกำหนัดยินดีในกามคุณและความขัดเคืองใจได้หมด แต่ยังคงมีกิเลสหรือยังมีสังโยชน์เบื้องสูงอยู่ จึงยังคงมีความทุกข์อย่างละเอียด. การฝึกรักษาจิตใจของท่านให้ตั้งอยู่ในระดับพระอนาคามีอย่างต่อเนื่องก็อาจทำได้ โดยการตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไป เราจะมีความตั้งใจและความเพียรที่จะไม่คิดกำหนัดยินดีในกามคุณ(ละกามราคะ)และไม่คิดขัดเคืองใจ(ละปฏิฆะ)ตลอดไป แล้วพยายามมีสติควบคุมความคิดให้เป็นไปตามที่ได้ตั้งเจตนาอยู่ตลอดเวลา. เมื่อฝึกรักษาจิตของตนเองไปนาน ๆ เข้า สมองจะมีความเชี่ยวชาญในการควบคุมความคิด ไม่ให้มีการคิดกำหนัดยินดีในกามคุณ(ละกามราคะ) และไม่คิดขัดเคืองใจ(ละปฏิฆะ)ได้ต่อเนื่องมากขึ้น จนสมองสามารถทำหน้าที่ได้เองคล้ายอัตโนมัติ. ควรฝึกประเมินระดับจิตใจของตนเองว่า ในปัจจุบันนี้(หรือในนาทีนี้ ทั้งชั่วโมงนี้ ทั้งวันนี้) มีการคิดกำหนัดยินดีในกามคุณ(มีกามราคะ) หรือคิดขัดเคืองใจ(มีปฏิฆะ)บ้างหรือไม่. ถ้าละสังโยชน์ดังกล่าวได้ ก็แสดงว่า จิตใจของท่านน่าจะตั้งอยู่ในระดับของพระอนาคามีได้ชั่วคราวแล้ว. ถ้ายังละสังโยชน์ดังกล่าวไม่ได้ ก็ให้สอนหรือตักเตือนตนเองว่า จะตั้งใจละสังโยชน์ดังกล่าวอย่างจริงจังต่อไป. ท่านอุคคตกุมาร บุตรเศรษฐีเมาเหล้าอยู่ ๗ วัน เมื่อหายเมาแล้วฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว แล้วนำไปฝึกปฏิบัติจนสามารถดับสังโยชน์เบื้องต่ำได้หมด จึงบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี (ประวัติอนุพุทธสังเขป ๙๙ หน้า ๘๒ พระเทพวิสุทธิญาณ อุบล นนทโก).๗๓ การที่ท่านอุคคตกุมารฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว แล้วสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีได้นั้น ผู้เขียนเข้าใจว่า หลังจากจบการฟังธรรมท่านก็มีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยพุทธกาล. ต่อมา ท่านผู้นี้น่าจะมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ มากขึ้น และมีการฝึกปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง จึงบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีได้อย่างรวดเร็ว และเป็นเศรษฐีที่ได้รับยกย่องว่า เป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย เพราะเป็นผู้อุปัฏฐากภิกษุสงฆ์(เอตทัคคะหรืออัครอุบาสก). ตามปกติ คนเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังจะไม่ฟังธรรม และท่านผู้นี้เมาสุราเพราะต้องการดับความทุกข์ แต่ใช้วิธีดับความทุกข์ที่ผิดทาง ครั้นมาฟังธรรมแล้วพบทางออกจากความทุกข์ที่ถูกต้อง จึงสามารถบรรลุธรรมได้โดยง่าย เช่นเดียวกับท่านยสะมานพ.
คุณสมบัติของพระอรหันต์
พระอรหันต์ คือ บุคคลที่สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยการละสังโยชน์เบื้องต่ำและเบื้องสูงทั้ง ๑๐ ข้อได้หมด(ละกิเลสได้หมด) จึงทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส เป็นอิสระจากความคิดที่เป็นกิเลส ความทะยานอยากและความยึดมั่นถือมั่น เป็นผลให้เข้าถึงภาวะนิพพานในชาติปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง. สังโยชน์เบื้องสูงที่พระอรหันต์ต้องละได้หมดมี ๕ ข้อ ดังนี้ :-
๑. ความติดใจในรูปอันประณีต(รูปราคะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๖) คือ มีความหลงใหลหรือมีความคิดที่ยึดมั่นถือมั่น(มีอุปาทานหรือมีความติดใจ)ในรูปอันประณีต(รูปราคะ) เช่น ติดใจในการเจริญสมาธิที่เป็นรูปอันประณีต(รูปฌาน)เพื่อที่จะไปเกิดชาติหน้าเป็นรูปพรหม(พรหมที่มีรูปร่าง). ในสมัยพุทธกาล การเจริญสมาธิถือว่าเป็นเรื่องที่ประณีต ดังนั้น การติดใจในสมาธิโดยมีสติอยู่ที่ฐานกายด้วยการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจตรงรูจมูก จึงเป็นความยึดมั่นถือมั่นในสมาธิ(ที่เป็นรูปฌาน) หรือมีความติดใจในรูปอันประณีต. มีคนจำนวนหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีความหลงเชื่อว่า ถ้าเจริญสมาธิหรือเข้าฌานที่เป็นรูปอันประณีต(รูปฌาน)ได้อย่างต่อเนื่อง จะได้ไปเกิดเป็นรูปพรหม(รูปภพ) และมีความสุขอยู่ในพรหมโลกเป็นเวลานานมาก จึงเกิดการบีบคั้นทางจิตใจและร่างกาย ที่จะต้องเจริญสมาธิจนตั้งมั่นอย่างต่อเนื่อง. ความติดใจในรูปอันประณีตเกิดขึ้นจากการมีความหลง(อวิชชา) จึงทำให้เกิดความโลภ ความทะยานอยาก ความยึดมั่นถือมั่น. ๒. การติดใจในความไม่มีรูปอันประณีต(อรูปราคะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๗) คือ การมีความหลงใหลหรือมีความคิดที่ยึดมั่นถือมั่น(มีอุปาทานหรือมีความติดใจ)ในความไม่มีรูปอันประณีต(อรูปราคะ) เช่น ติดใจในการเจริญสมาธิที่เป็นอรูปอันประณีต(อรูปฌาน)เพื่อที่จะไปเกิดชาติหน้าเป็นอรูปพรหม(พรหมที่ไม่มีรูปร่าง). ในสมัยพุทธกาล การเจริญสมาธิถือว่าเป็นเรื่องที่ประณีต ดังนั้น การติดใจในสมาธิโดยมีสติอยู่กับความไม่มีรูปหรือความว่างเป็นอารมณ์ จึงเป็นความยึดมั่นถือมั่นในสมาธิ(ที่เป็นอรูปฌาน) หรือมีความติดใจในอรูปอันประณีต. มีคนจำนวนหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีความหลงเชื่อว่า ถ้าเจริญสมาธิหรือเข้าฌานที่เป็นอรูปอันประณีต(อรูปฌาน)ได้อย่างต่อเนื่อง จะได้ไปเกิดเป็นอรูปพรหม(อรูปภพ) และมีความสุขอยู่ในพรหมโลกเป็นเวลานานมาก ๆ จึงเกิดการบีบคั้นทางจิตใจและร่างกาย ที่จะต้องเจริญสมาธิดังกล่าวจนตั้งมั่นอย่างต่อเนื่อง. ความติดใจในอรูปอันประณีตเกิดขึ้นจากการมีความหลง(มีอวิชชา) จึงทำให้เกิดความโลภ ความทะยานอยาก ความยึดมั่นถือมั่น. บางคนติดใจในสมาธิเพราะทำให้จิตใจมีความเบาสบาย และมีความสุขสงบ จึงใช้เวลามากเกินไปในการเจริญสมาธิ ซึ่งเป็นการเบียดเบียนร่างกายของตนเอง. การติดใจในรูปและอรูปอันประณีตเป็นเรื่องของความหลงเชื่อ ดังนั้น คนที่ไม่เอาความหลงเชื่อดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการเจริญสมาธิ ก็จะสามารถละสังโยชน์ทั้ง ๒ ข้อนี้ได้โดยง่าย. ๓. ความถือตัว(มานะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๘) คือ ความยึดมั่นถือมั่นด้วยความคิดที่เป็นกิเลส(มีสังขารในปฏิจจสมุปบาท)ว่า เราเป็นนั่นเป็นนี่ที่มีความเหนือกว่า หรือเท่าเทียม หรือต่ำกว่าผู้อื่น ซึ่งเป็นการคิดด้วยกิเลส เช่น คิดด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่า ตนมีชาติตระกูลสูงกว่า หรือเท่ากัน หรือต่ำกว่า เป็นต้น จึงเกิดความถือตัวขึ้น(เกิดอุปาทาน). คนที่มีความถือตัว(มีมานะ) เมื่อพบกับเหตุการณ์ที่ขัดแย้งกับความถือตัว ก็มักจะทำให้เกิดความไม่พอใจที่เป็นกิเลสขึ้นมาได้ และเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ ปัญหาเรื่องความถือตัวมีมากในสมัยพุทธกาล เพราะคนอินเดียนั้น มีความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นในวรรณะเป็นอย่างมาก เช่น บุคคลในราชวงศ์มาบวช ต้องใช้ความเพียรในการดับความถือตัวถือตน(มานะ)มากกว่าคนทั่วไป เพราะเคยอยู่ในสังคมที่สูงมาก่อน แต่ต้องมาเคารพคนที่มีวรรณะต่ำกว่า ส่วนคนที่มีฐานะทางสังคมต่ำ อาจรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อคนที่เคยมีฐานะทางสังคมสูงกว่าต้องมากราบไหว้. ความถือตัวจึงเป็นเรื่องของความคิดและความจำที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนสมัยนั้น ซึ่งเป็นเรื่องยากในการควบคุมจิตใจไม่ให้คิดในเรื่องนี้. ความถือตัวของคนในยุคปัจจุบันที่พบได้บ่อย คือ การถือตัวว่ามีสกุลดี ร่ำรวย มีความรู้สูง มีตำแหน่งสูง เป็นผู้สูงอายุ คนพิการ เป็นต้น. ความถือตัวเกิดขึ้นจากการมีความหลง(อวิชชา) จึงทำให้มีความยึดมั่นถือมั่น และมีความทุกข์. ๔. ความคิดฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๙) คือ ความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นเองในเรื่องที่ไม่มีเจตนาคิด เพราะขาดสติในการควบคุมความคิด. ความคิดฟุ้งซ่านในธรรมหรือเรื่องต่าง ๆ เพียงเล็กน้อย ที่ไม่มีข้อมูลด้านกิเลสเจือปน จะไม่ทำให้เกิดความทุกข์ด้วยกิเลส. การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นกิเลส และการพบกับปัญหาที่รุนแรง ย่อมทำให้มีโอกาสที่จะคิดฟุ้งซ่านด้วยกิเลสได้ง่ายขึ้น. การฝึกเจริญสมาธิ เจริญสติ และการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่อง มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือ เพื่อฝึกไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน. ธรรมชาติของสมองจะมีความคิดแวบขึ้นมา(คิดนำหรือคิดแทรกขึ้นมา)เป็นครั้งคราว ถือว่าเป็นเรื่องปกติวิสัย และทุกคนก็ควรเป็นเช่นนั้น แต่ถ้ายามปกติ มีความคิดที่แวบขึ้นมาถี่มากเกินไป ก็จัดว่าเป็นความคิดฟุ้งซ่าน. ข้อสำคัญคือ พอมีสติรู้เห็นว่า มีความคิดแวบขึ้นมา ก็มีสติไม่คิดปรุงแต่งต่อไป แต่ถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตราย หรือต้องระวังตัวมาก ความคิดที่แวบขึ้นมาถี่ ๆ ถือว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นการทำงานตามธรรมชาติของสมอง. การคิดฟุ้งซ่านเป็นธรรมชาติของสมอง ถ้าคิดฟุ้งซ่านน้อยเกินไปก็จะทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่จดจำไว้ไม่ถูกนำมาใช้หรือทบทวน เป็นผลให้ข้อมูลนั้น ๆ ในความจำลดลงหรือหมดไป. ความคิดฟุ้งซ่านที่มากเกินไปจนถึงขั้นรำคาญใจหรือเดือดร้อนใจ(อุทธัจจกุกกุจจะในนิวรณ์ ๕) เป็นเรื่องที่ไม่ดี ทำให้เกิดการเบียดเบียนตนเอง เป็นทุกข์ เป็นอกุศล เพราะทำให้จิตใจไม่สงบ คิดวนเวียน เหนื่อยใจ จิตใจไม่สงบ นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย มีโอกาสที่จะคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสได้ง่าย เนื่องจากขาดสติควบคุมความคิด และขัดขวางการบรรลุธรรมโดยตรง. (สังโยชน์ข้อที่ ๙ นี้ น่าจะเป็นเรื่องเดียวกับอุทธัจจกุกกุจจะในนิวรณ์ ๕)*. พระอรหันต์สามารถระงับความคิดฟุ้งซ่านและมีความสงบทางจิตใจมากน้อยเพียงใดนั้น ผู้เขียนไม่มีประสบการณ์ที่จะวิเคราะห์ เพราะผู้เขียนเองก็ยังมีความฟุ้งซ่านอยู่ไม่น้อย คงปล่อยให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเอง ประเด็นสำคัญคือ พุทธศาสนาเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตตามทางสายกลางหรือโอวาทปาฏิโมกข์ คือ ไม่คิดไม่ทำด้วยกิเลส ตัณหา และอุปาทาน คงมุ่งแต่คิดดี ทำดี พูดดี เพื่อทำจิตของตนให้บริสุทธิ์และผ่องใสอย่างต่อเนื่อง. ๕. ความหลง(อวิชชาหรือสังโยชน์ข้อที่ ๑๐) คือ ความไม่รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ. การดับความหลงได้น้อย(มีวิชชาน้อย) จะสามารถดับความโลภ ความโกรธ และกองทุกข์ได้น้อย ดับได้ชั่วคราว ดับได้ช่วงสั้น ๆ และไม่ต่อเนื่อง. การดับความหลงได้มาก(มีวิชชามาก) จะสามารถดับความโลภ ความโกรธ และกองทุกข์ได้มากขึ้นตามสัดส่วนด้วย. การดับความหลงได้หมดสิ้น(มีวิชชาครบถ้วน) คือ การมีความรู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างถูกต้อง ครบถ้วน จะสามารถดับความโลภ ความโกรธ และกองทุกข์ได้อย่างต่อเนื่อง นั่นคือการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์. เรื่องของสังโยชน์เบื้องสูงข้อที่ ๑ และ ๒ (รูปราคะและอรูปราคะ)นั้น เป็นปัญหาของคนในสมัยพุทธกาล สำหรับผู้ฝึกปฏิบัติธรรมในยุคปัจจุบันไม่ค่อยติดใจหรือหลงใหลในเรื่องเหล่านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านก็ควรระวังเรื่องนี้ไว้ด้วย เพราะนาน ๆ ครั้ง จะมีข่าวคราวออกมาว่า มีคนติดใจในรูปอันประณีตเหมือนกัน. โดยหลักการแล้ว ฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ เช่น พระยสะ และพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นต้น แต่การดำเนินชีวิตตามรูปแบบของฆราวาสนั้น จำเป็นต้องรับภาระทางโลกมาก จึงอาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ในการปฏิบัติธรรมได้โดยง่าย. การฝึกประเมินผลเรื่องการละสังโยชน์เบื้องสูง ควรฝึกประเมินระดับจิตใจของตนเองว่า ในปัจจุบันนี้ เช่น ในนาทีนี้ หรือทั้งชั่วโมงนี้ หรือทั้งวันนี้ ท่านละสังโยชน์เบื้องสูงข้อใดได้บ้างหรือไม่ ละสังโยชน์ได้ต่อเนื่องเพียงใด และจะต้องปรับปรุงหรือแก้ไขอย่างไร จึงจะละสังโยชน์เบื้องสูงได้หมด. การพบกับปัญหาชีวิตของตนเองที่มีความรุนแรงมาก จะเป็นเครื่องมือในการประเมินผลว่า ความหลง(อวิชชา)ของตนลดลงหรือหมดไปเพียงใด. ดังนั้น การประเมินผลของการปฏิบัติธรรมในขณะที่ยังไม่พบกับปัญหาชีวิตที่รุนแรงก็อาจเข้าข้างตนเองว่า สามารถละสังโยชน์เบื้องสูงได้แล้ว. หลายคนมีลักษณะภายนอกเหมือนคนมีความรู้และความสามารถในธรรมสูง แต่เมื่อมาพบกับปัญหาที่รุนแรงเข้าหน่อยก็ถึงกับสอบตกได้เช่นกัน. การประเมินผลเรื่องของการละสังโยชน์นั้น ต้องประเมินผลด้วยสติปัญญาทางธรรมของตนเอง เพราะผู้อื่นไม่สามารถจะรู้เห็นความคิดของท่านได้. ยิ่งมีความรู้และความสามารถทางธรรมมากเท่าไร ก็จะสามารถประเมินผลเรื่องการดับความหลงได้มากเท่านั้น. เมื่อพบว่า มีสังโยชน์ข้อใดที่ยังละไม่ได้ ก็ให้หมั่นสอนและตักเตือนตนเองที่จะละสังโยชน์ข้อนั้น ๆ ให้หมดไปอย่างจริงจัง หรือด้วยความเพียรชอบ. พระพุทธเจ้าทรงเน้นเรื่องการดับกิเลสให้หมดสิ้นด้วยความไม่ประมาท. ดังนั้น ทุกคนควรศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อการดับกิเลสและกองทุกข์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมอย่างดีที่สุด เพื่อที่จะสามารถเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่รุนแรงได้เป็นอย่างดี. รูปแบบการตรัสสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านศึกษาพุทธประวัติจะพบว่า หลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนั้น จะมีขั้นตอนคงเดิมเสมอ คือ เริ่มต้นด้วยการตรัสสอน อนุปุพพิกถา เสียก่อน แล้วจึงตรัสสอนเรื่อง อริยสัจ ๔ . อนุปุพพิกถาจึงเปรียบเหมือนอารัมภบท* เมื่อทรงอารัมภบทและซักซ้อมจนจิตใจของผู้ฟังธรรมมีความพร้อมที่จะศึกษาอริยสัจ ๔ แล้ว จึงตรัสสอนอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้. ดังนั้น เนื้อหาหลักของพระพุทธศาสนาที่จะทำให้ท่านบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล คือ การศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วนนั่นเอง โดยเน้นเรื่องสัมมาสติ เพราะเป็นเรื่องสำคัญมากจนพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้โดยสรุปว่า สัมมาสติเป็นทางสายเอกของความพ้นทุกข์ เพราะการดำเนินชีวิตส่วนใหญ่เพื่อความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิตใจนั้น เป็นเรื่องของการใช้สติปัญญาทางธรรมในการดับกิเลสนั่นเอง. ผู้เขียนได้เอารูปแบบของการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นแนวทางในการนำเสนอธรรม มี ๒ ตอน ดังนี้ :- ตอนที่ ๑. เป็นการอารัมภบทแบบสมัยปัจจุบัน(คล้ายอนุปุพพิกถา) โดยย่ออริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้เป็นภาษาง่าย ๆ (ในหนังสือเล่ม ๑) เพื่อเสริมความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ และแนะนำวิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันอย่างง่ายและย่อ ๆ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้สัมผัสกับผลของการฝึกปฏิบัติธรรม รวมทั้งฝึกทำการตรวจสอบและพิสูจน์ผลด้วยประสบการณ์ตรงของตนเอง เพื่อก่อให้เกิดปัญญาและศรัทธาทางธรรมในเบื้องต้น ขณะเดียวกัน จะได้คุ้นเคยกับความหมายของคำบาลีต่าง ๆ ตามความเข้าใจของผู้เขียน. ตอนที่ ๒. เป็นเนื้อหาของอริยสัจ ๔ (หนังสือเล่มนี้) โดยมีองค์ธรรมอย่างครบถ้วนที่ควรศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อให้รู้เห็นแจ้งชัดตามความเป็นจริง. การบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล การบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลระดับต้น ๆ ในสมัยพุทธกาลนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ยาก เพราะพระพุทธเจ้าตรัสสอนอริยสัจ ๔ อย่างตรงประเด็น จึงทำให้คนส่วนใหญ่ที่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนจบ สามารถเข้าใจและเริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ หรือมีดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน หรือมีความรู้ทางธรรมขั้นพระโสดาบันโดยทั่วกัน. การศึกษาเล่าเรียนทางโลกในยุคปัจจุบันนั้น มีเนื้อหามากมาย จึงต้องใช้เวลาและความจำมาก อีกทั้งยังต้องศึกษากันตลอดชีวิต. ส่วนการศึกษาอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัตินั้น มีเนื้อหาเพียงกำมือเดียว ดังจะเห็นได้ว่า การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลนั้น ใช้เวลาในการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมน้อยมาก. เหตุที่คนในสมัยพุทธกาลบรรลุธรรมได้โดยง่ายหลังจากการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ก็เพราะพระองค์ตรัสสอนอริยสัจ ๔ ได้ตรงประเด็น และคนในสมัยพุทธกาลมีข้อมูลด้านกิเลสในความจำไม่มากนัก จึงสามารถควบคุมความคิดและการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามโอวาทปาฏิโมกข์ได้ง่ายกว่าคนในยุคปัจจุบัน. คนในยุคปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่มักจะเรียนรู้พระพุทธศาสนาไม่ค่อยตรงประเด็น และมีข้อมูลด้านกิเลสในความจำเป็นจำนวนมาก เพราะในชีวิตประจำวัน มีการรับรู้และจดจำข้อมูลด้านกิเลสในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความรุนแรงเป็นประจำ จึงบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลได้ยากขึ้น. เรื่องการบรรลุธรรมของอริยบุคคลต่าง ๆ นั้นมีมาก แต่เนื่องจากต้องการให้หนังสือเล่มนี้ไม่หนาเกินไป จึงเสนอตัวอย่างของอริยบุคคลเพียงบางท่าน. ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะชี้แนะว่า การพัฒนาจิตใจให้เป็นอริยบุคคลนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องยากเกินไป ถ้าเข้าใจเนื้อหาในอริยสัจ ๔ ได้อย่างถูกต้องตามสมควร ยกเว้นการเป็นพระอรหันต์ ซึ่งผู้เขียนยังไม่มีความรู้และไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะวิเคราะห์อย่างเป็นรูปธรรมได้ แต่ขอเสนอแนวความคิดที่ง่าย ๆ คือ ท่านควรพยายามดับสังโยชน์ให้หมดสิ้น หรือพยายามทำนิพพานให้เกิดขึ้นในจิตใจอย่างต่อเนื่อง. การบรรลุธรรมของปัญจวัคคีย์ พระพุทธเจ้าตรัสสอนอริยสัจ ๔ ให้แก่ปัญจวัคคีย์เป็นกลุ่มแรก ปรากฏว่า เมื่อพระองค์แสดงธรรมจบ ท่านโกณฑัญญะเริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ คือ มีดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสสอน หรือเริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ จึงเป็นพระโสดาบันทันที. ในวันต่อมา พระพุทธองค์ตรัสสอนเพิ่มเติมอีก ปรากฏว่า ภายใน ๓ วัน ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่านต่างก็มีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน และยังคงศึกษาและฝึกอบรมอยู่กับพระพุทธองค์. เมื่ออยู่มาได้ ๖ วัน ทุกท่านก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นการแสดงว่า เนื้อหาในอริยสัจ ๔ ที่ทำให้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น มีเพียงกำมือเดียว ตรงตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ ไม่ได้มีเนื้อหามากมายเหมือนวิชาการทางโลก. ครั้นปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์หมดแล้ว ก็ได้ใช้เวลาสั้น ๆ อยู่กับพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นก็แยกทางกันไปเพื่อสั่งสอนธรรม โดยไปแต่ลำพัง ไม่ไปเป็นหมู่คณะ เพราะมีเนื้อหาที่ต้องสั่งสอนไม่มากนัก ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์กับมวลมนุษย์อย่างกว้างขวาง. การบรรลุธรรมของพระยสะ ท่านยสะมานพเป็นบุตรเศรษฐีท่านหนึ่งที่มีความเบื่อหน่าย(เป็นทุกข์)ในการดำเนินชีวิตทางโลก คล้ายกับเจ้าชายสิทธัตถะตอนเสด็จออกบรรพชา. วันหนึ่ง ท่านยสะมีความทุกข์มาก จนถึงกับเดินออกจากบ้านและมาพบกับพระพุทธเจ้าโดยบังเอิญ. พระพุทธองค์ตรัสสอนอนุปุพพิกถาแล้วต่อด้วยเรื่องอริยสัจ ๔ ท่านยสะจึงเริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ มีดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันในวันนั้น และไม่ได้กลับบ้าน. เมื่อท่านยสะไม่กลับบ้าน บิดาท่านยสะจึงออกตามหาลูกชายจนพบ พร้อมทั้งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วย. พระพุทธองค์จึงตรัสสอนอนุปุพพิกถาแล้วต่อด้วยเรื่องอริยสัจ ๔ เช่นเคย ในแนวเดียวกับที่ได้ตรัสสอนท่านยสะมาแล้ว เป็นผลให้บิดาของท่านยสะมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน และท่านยสะซึ่งฟังธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ อยู่ด้วย ได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์ในขณะที่ยังไม่ได้บวช. เช้าวันนั้น พระพุทธองค์เสด็จไปรับอาหารบิณฑบาต โดยมีพระยสะที่เพิ่งบวชใหม่ตามเสด็จไปด้วย. ที่บ้านบิดาของพระยสะ พระพุทธองค์ตรัสสอนมารดาและอดีตภรรยาของพระยสะ โดยตรัสสอนอนุปุพพิกถาแล้วต่อด้วยเรื่องอริยสัจ ๔ เช่นเคย มารดาและอดีตภรรยาของท่านยสะต่างก็มีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันในวันนั้นเอง. พระพุทธองค์ตรัสสอนอนุปุพพิกถาแล้วต่อด้วยเรื่องอริยสัจ ๔ เสมอ และตรัสสอนไม่นาน คือ จบภายในการสอนครั้งนั้นโดยไม่ข้ามวัน. ในวันอื่น ถ้ามีผู้มาทูลขอฟังธรรม พระพุทธองค์ก็จะตรัสสอนในแนวเดิม ยกเว้น การตอบคำถามเรื่องต่าง ๆ ที่มีผู้ทูลถามปัญหา. ดังนั้น เนื้อหาที่เป็นประเด็นสำคัญในอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธองค์ตรัสสอนนั้น จึงมีไม่มากและไม่ยากด้วย. กรณีที่ท่านยสะฟังอริยสัจ ๔ เป็นรอบที่ ๒ แล้วบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น เป็นเครื่องชี้ให้เห็นชัดว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสอนธรรมมากมายอย่างที่เราเรียนรู้ในยุคปัจจุบันนี้ และทรงตรัสสอนปุถุชนด้วยเนื้อหาเดียวกับภิกษุผู้ที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์. การบรรลุธรรมของชฎิล ๓ พี่น้องและสานุศิษย์ ชฎิล ๓ พี่น้อง มีคนพี่ชื่ออุรุเวลากัสสปะ คนกลางชื่อนทีกัสสปะ คนน้องชื่อคยากัสสปะ ซึ่งเป็นนักบวชในลัทธิบูชาไฟ. พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระทัยโปรดท่านอุรุเวลากัสสปะซึ่งเป็นผู้พี่โดยเฉพาะ ครั้นท่านอุรุเวลากัสสปะเลื่อมใสมาบรรพชากับพระพุทธเจ้าแล้ว น้องทั้ง ๒ คน รวมทั้งสานุศิษย์ทั้งหมด จึงบรรพชาตาม เป็นผลให้ชฎิลทั้งหมดซึ่งมี ๑,๐๐๓ คน บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์. คนในสมัยพุทธกาลส่วนใหญ่คงจะมีความเชื่อในเรื่องศาสนาและลัทธิต่าง ๆ ฝังแน่นอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก ครั้นมาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้โดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ๆ. ดังนั้น การบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลในชั้นต้น ๆ จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะคนต่างศาสนาในสมัยพุทธกาลที่มีข้อปฏิบัติที่แตกต่างกับข้อปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ชนิดหน้ามือกับหลังมือ ก็ยังสามารถบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมาศึกษาและฟังธรรมจากพระพุทธองค์. ความล่าช้าในการบรรลุธรรมของคนในยุคปัจจุบันทั้ง ๆ ที่เป็นชาวพุทธนั้น น่าจะมีสาเหตุต่าง ๆ กัน เช่น ถูกสอนธรรมนอกประเด็น ศึกษาธรรมโดยไม่เน้นเรื่องอริยสัจ ๔ ศึกษาธรรมโดยใช้ความเชื่อ ศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมผิดทาง ไม่เข้าใจเรื่องของการบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล เป็นต้น. เมื่อท่านฝึกปฏิบัติธรรมจนได้รับผลดีตามสมควรแล้ว ก็ควรช่วยกันคิดหาหนทางในการช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงต่อไป ตามกำลังความรู้และความสามารถของแต่ละท่าน. การบรรลุธรรมของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ท่านอุปติสสะ(ชื่อเดิมของพระสารีบุตร)ฟังธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ เพียงครั้งเดียวจากท่านอัสสชิ ก็มีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ครั้นกลับมาพบท่านโกลิตะ(ชื่อเดิมของท่านโมคคัลลานะ) ก็ถ่ายทอดความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ให้ จึงทำให้ท่านโกลิตะเป็นพระโสดาบันในวันเดียวกัน. ดังนั้น การเป็นพระโสดาบันแล้วถ่ายทอดความรู้ระดับพระโสดาบันให้กับผู้อื่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้. พระโมคคัลลานะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในวันที่ ๗ และพระสารีบุตรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในวันที่ ๑๕ หลังการบวช. การบรรลุธรรมของพระโมคคัลลานะเกิดขึ้นภายหลังการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเรื่องการไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในเวทนา. ดังนั้น การเป็นพระอรหันต์ของพระโมคคัลลานะเกิดจากการไม่มีความยึดมันถือมั่น(ไม่มีอุปานทาน)อีกต่อไป และกิเลสเรื่องสุดท้ายที่ท่านละได้นั้น เป็นเรื่องการไม่ติดใจ(ไม่มีอุปาทาน)ในความสุขทางโลก(ไม่ติดในสุขเวทนา)*. การบรรลุธรรมของพระสารีบุตรเกิดขึ้นภายหลังการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเรื่องการไม่มีความคิดยึดมั่นถือมั่นในเวทนาเช่นเดียวกับพระโมคคัลลานะ. ดังนั้น การเป็นพระอรหันต์ของพระสารีบุตรมีลักษณะเดียวกันกับพระโมคคัลลานะ คือ ละกิเลสเรื่องสุดท้ายด้วยการไม่ติดใจ(ไม่มีอุปาทาน)ในความสุขทางโลก(ไม่ติดในสุขเวทนา)อีกต่อไป*. ความติดใจในสุขเวทนา(มีอุปาทาน)จึงเป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงยุคปัจจุบัน และคนในยุคปัจจุบันมีความสะดวกสบายมาก ย่อมมีความติดใจในสุขเวทนาซึ่งเป็นกิเลสที่สกัดกั้นไม่ให้บรรลุธรรม. การบรรลุธรรมของเศรษฐีและพระราชา ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นเศรษฐีที่มีความร่ำรวยและมีกิจการมากมาย ก็ยังสามารถเป็นอริบุคคลระดับพระโสดาบันได้ ทั้ง ๆ ที่มีภารกิจมาก. พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระราชาและพระพุทธบิดา ก็ทรงเป็นพระโสดาบันหลังจากทรงฟังธรรมจากพระพุทธองค์ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ บนถนน ในระหว่างที่พระพุทธองค์เสด็จไปบิณฑบาตในเมืองกบิลพัสดุ์. พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระนางมหาปชาบดี(พระน้านาง) จนมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันในวันนั้น ส่วนพระเจ้าสุทโธทนะทรงประทับฟังอยู่ด้วย ก็บรรลุธรรมเป็นพระสกิทาคามี. เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระสกิทาคามีแล้ว พระองค์ก็ยังบริหารประเทศได้อย่างเดิม. ครั้นพระเจ้าสุทโธทนะประชวรหนักมากและใกล้จะสิ้นพระชนม์ พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดเรื่องไตรลักษณ์ และในที่สุดพระเจ้าสุทโธทนะทรงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์โดยไม่ต้องบวช. ดังนั้น ผู้ที่ป่วยหนักและยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ ก็สามารถที่จะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรม รวมทั้งพ้นทุกข์เป็นอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ ได้เช่นกัน ในระหว่างประชุมวิชาการหรือการฝึกอบรมของนักวิชาการและนักบริหาร ควรให้โอกาสอย่างน้อยสัก ๑ วัน เพื่อศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องและตรงประเด็น ก็จะทำให้บุคคลดังกล่าวใช้ความรู้และความสามารถที่เกิดขึ้นสำหรับฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้ตามสมควร. ดวงตาเห็นธรรมของคนที่เสียใจจนเสียสติ นางกีสาโคตมีเป็นตัวอย่างของการเกิดปัญญาทางธรรม เบื้องต้นด้วยตนเอง กล่าวคือ ลูกของนางตาย และนางเป็นทุกข์มาก อยากให้ลูกฟื้น จึงเดินอุ้มลูกที่ตายแล้วเที่ยวถามหายาแก้ให้ฟื้น เหมือนคนเสียสติ ในที่สุดได้ไปทูลขอกับพระพุทธเจ้า. พระพุทธเจ้าทรงใช้อุบายรับสั่งให้นางไปหายาสมุนไพร คือเมล็ดผักกาดหยิบมือหนึ่งจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตาย. นางเที่ยวค้นหาอยู่นาน แต่ก็หาไม่ได้ เลยฉุกคิดขึ้นมาได้(เกิดปัญญาทางธรรม)ว่า ...ลูกคนอื่น ๆ เขาก็ตายเช่นกัน(เป็นไตรลักษณ์) . เมื่อปัญญาทางธรรมเกิดขึ้น จึงโยนศพลูกทิ้งในป่า(อุปาทานดับ) แล้วเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า. นางปฏาจาราเป็นอีกท่านหนึ่งที่มีความทุกข์ใจมากถึงกับร้องไห้ คร่ำครวญ ด้วยความทุกข์ จนเสียสติเพราะสูญเสียคนในครอบครัวอันเป็นที่รักทั้งหมด. ครั้นทั้ง ๒ ท่านที่กล่าวถึงได้มาพบกับพระพุทธองค์ และได้ฟังธรรมเพียงครั้งเดียว ต่างก็มีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน แล้วบวชเป็นพระภิกษุณี และต่อมาไม่นานนัก ทั้ง ๒ ท่านก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ (ประวัติอนุพุทธสังเขป ๙๙ หน้า ๖๙,๗๖ อุบล นนทโก).๗๔ การเสียสติอย่างรุนแรงของทั้ง ๒ ท่าน เกิดขึ้นจากความล้าของร่างกายและสมอง เพราะจิตใจจดจ่อและคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องของความพลัดพราก โดยไม่ได้พักผ่อน สมองจึงล้ามาก ไม่สามารถมีสติควบคุมความคิดได้ เป็นผลให้มีการคิดและแสดงออกทางกาย วาจา ใจแบบคนเสียสติ. เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้คนเสียสติอย่างรุนแรง เมื่อได้ฟังธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องต้นจากพระพุทธองค์ ก็ทำให้มีสติกลับคืนมา จนสามารถเรียนรู้ธรรม และใช้ข้อมูลด้านธรรมในการดับความทุกข์ที่รุนแรงให้หมดไปได้อย่างรวดเร็ว. พระพุทธเจ้าจึงเป็นพระบรมศาสดาของนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ที่ประเสริฐสุด. การศึกษาอริยสัจ ๔ และการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เป็นเรื่องของการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพจิตแนวพุทธ ที่มีความเรียบง่าย และมีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐของมนุษย์มาโดยตลอด. ครู อาจารย์ นักวิชาการ และนักบริหารในวงการต่าง ๆ ควรให้ความสนใจอริยสัจ ๔ ให้มากขึ้น เพราะเป็นเรื่องง่าย มีเนื้อหาน้อย เป็นเรื่องใกล้ตัว จนเปรียบเหมือนหญ้าปากคอก แต่มีคุณค่าอย่างมหาศาลต่อมวลมนุษย์. การเป็นพระโสดาบันของนายกาละ นายกาละ(กาฬะ)เป็นบุตรของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี ผู้ไม่ปรารถนาจะเห็นและฟังธรรม. ท่านเศรษฐีจึงวางแผนให้บุตรได้ฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า โดยการจ้างด้วยเงิน ๑๐๐ กหาปณะ ปรากฏว่า นายกาละไปแอบนอนอยู่ที่มุมหนึ่งของวิหารโดยไม่ได้ฟังธรรม. ในวันต่อมา ท่านเศรษฐีจ้างด้วยเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะให้ไปฟังธรรมและจดจำธรรมมาเล่าให้ฟังด้วย ปรากฏว่า นายกาละได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าและจดจำธรรมไว้ได้ จึงเป็นพระโสดาบันและไม่ขอรับเงินค่าจ้าง. กลวิธีในการพัฒนาจิตของนายกาละให้เป็นพระโสดาบันนั้น เป็นตัวอย่างแบบหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับใช้เป็นกลวิธีในการวางแผนพัฒนาจิตให้กับคนในยุคนี้ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่. คนยุคปัจจุบัน ถ้ามีโอกาสได้ศึกษาอริยสัจ ๔ ก็อาจเป็นพระโสดาบันได้เช่นเดียวกันกับนายกาละ. การศึกษาอริยสัจ ๔ เป็นประจำ พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร ก็จะสามารถพัฒนาจิตจากปุถุชนให้เป็นอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ ได้. ดังนั้น ผู้นำหน่วยงานต่าง ๆ ควรเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องด้วย. การศึกษาและฝึกอบรมของคนยุคปัจจุบัน ควรแทรกวิชาอริยสัจ ๔ หรือหลักสูตรการพัฒนาจิตแนวพุทธแบบย่อ ๆ ไว้ในหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อจะได้ช่วยให้คนในยุคปัจจุบัน ได้รู้จักวิธีพัฒนาจิตให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ. การเจ็บป่วยและปรินิพพานของพระอรหันต์ ความแก่ ความเจ็บป่วย และความตายเป็นเรื่องปกติวิสัยของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นปุถุชนหรือพระอรหันต์. พระอรหันต์จะมีความแตกต่างจากปุถุชน คือ แก่ เจ็บป่วย และตาย โดยไม่มีความทุกข์ทางจิตใจด้วยกิเลส เพราะสามารถดับความหลง(ดับอวิชชา)ได้หมดสิ้น จึงไม่เกิดการคิดด้วยกิเลสอย่างต่อเนื่อง. ขณะที่พระพุทธบิดาประชวรหนักอยู่นั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสให้สติ โดยเน้นเรื่องไตรลักษณ์(เพื่อละอุปาทานขันธ์ ๕) เป็นผลให้พระพุทธบิดาบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะประชวร และเสด็จดับขันธปรินิพพานต่อมาในเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดว่าการปฏิบัติเป็นเรื่องยากมากจนสุดเอื้อม ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเรื่องแค่เอื้อมถ้าศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมได้ตรงประเด็น. พระปุติคัตตะอาพาธหนัก มีเนื้อตัวที่เน่าเปื่อยและเหม็น พระพุทธเจ้าตรัสสอนธรรมให้ โดยเน้นเรื่องไตรลักษณ์ เป็นผลให้พระปุติคัตตะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะป่วยหนัก. พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตด้วยโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร คือ โรคท้องร่วง และขณะอาพาธหนักอยู่นั้น ท่านยังสามารถโปรดโยมมารดาให้เป็นพระโสดาบันได้. การสอนธรรมในขณะที่ผู้สอนกำลังป่วยหนัก เช่น ขณะพระสารีบุตรอาพาธหนักอยู่นั้น ได้แสดงธรรมโปรดโยมมารดา จนโยมมารดามีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ซึ่งแสดงว่า เนื้อหาในอริยสัจ ๔ มีไม่มากนัก และการมีดวงตาเห็นธรรมไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่เราเคยคิดกัน. คนทั่วไป ทั้งคนที่มีความทุกข์ นักโทษ คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย ที่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ ก็สามารถศึกษาอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อการบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลได้เช่นกัน. พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตเพราะถูกโจรทุบจนสิ้นใจตาย. การคิดว่ากรรมในอดีตทั้งในชาตินี้และอดีตชาติเป็นสาเหตุของความทุกข์ต่าง ๆ จะทำให้เกิดการคิดวิตกกังวล หวาดระแวง ซึมเศร้า ท้อแท้ และเป็นทุกข์. การคิดด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่า เมื่อยามแก่ตัวต้องตายตามแบบที่ตนปรารถนา เพื่อจะได้ไม่ทุกข์ทรมาน ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันจะตาย. การมีสติควบคุมความคิดให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วิตกกังวลในเรื่องอดีตที่เลวร้ายและในเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เช่น พระองคุลิมาลในช่วงที่ท่านได้เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะทำให้ไม่มีความทุกข์อีกเลย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับบุคคลที่เคยมีความผิดพลาดในชีวิตมาก่อน. ท่านสามารถบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลได้เช่นกัน หลักการสำคัญของการบรรลุความเป็นอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ นั้น เริ่มต้นจากการศึกษาอริยสัจ ๔ และปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร ทำให้สามารถเริ่มดับความหลง(เริ่มดับอวิชชา)ได้บ้างแล้ว จึงเข้าข่ายการมีคุณสมบัติของพระโสดาบัน หรือเริ่มเข้าสู่กระแสของความพ้นทุกข์. เมื่อท่านศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนมากขึ้น นั่นก็คือการมีความหลงลดลง(อวิชชาลดลง) พร้อมทั้งสามารถดับความคิดที่เป็นกิเลส(ความโลภและความโกรธ)ได้มากขึ้น เป็นผลให้มีการเลื่อนระดับของความรู้และสามารถทางธรรมสูงขึ้น จึงเข้าข่ายการมีคุณสมบัติของพระสกิทาคามี. เมื่อท่านศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนมากขึ้นอีก นั่นก็คือการมีความหลงลดลง(อวิชชาลดลง)อีก พร้อมทั้งสามารถดับความคิดที่เป็นกิเลสที่เป็นสังโยชน์เบื้องต่ำได้หมด จึงเข้าข่ายของการมีคุณสมบัติของพระอนาคามี. เมื่อมีการรู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ จนหมดสิ้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เท่ากับมีการดับความหลง(ดับอวิชชา)ได้โดยไม่เหลือเลย จึงเป็นปัจจัยไม่ให้มีการคิดด้วยกิเลส หรือดับสังโยชน์ได้หมด นั่นคือการบรรลุธรรมระดับสูงสุด เป็นพระอรหันต์ผู้พ้นจากกิเลสที่หมักดองอยู่ในสันดาน(พ้นจากอาสวะ) หรือพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากกิเลส และมีความสุขสงบได้อย่างต่อเนื่อง. คุณสมบัติของอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้ว เป็นมุมมองเฉพาะตัวของผู้เขียน จึงอาจจะฝืนความรู้สึกของบางคนหรือบางกลุ่มได้ เพราะแต่ละคนจะมีข้อมูลในความจำที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกคนไม่สามารถคิดเหมือนกันได้. วิธีที่ดีที่สุด คือ ท่านควรศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อพิสูจน์ผลด้วยประสบการณ์ตรงของตนเอง แล้วท่านจะพบว่า ความจริงที่ท่านรู้เห็นได้ด้วยตนเองนั้น เป็นความจริงที่คนทั่วไปสัมผัสได้เช่นกัน. ขอให้กำลังใจว่า การศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างตรงประเด็น จะทำให้วิชานี้เป็นเรื่องง่าย แจ้งชัด และเปิดเผยในสาธารณะ สมดังพุทธพจน์ที่ได้ตรัสสอนว่า ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว ซึ่งเป็นของง่าย เปิดเผย ประกาศไว้ชัด ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ . (พุทธธรรม หน้า ๖๖๒ ป.อ. ปยุตโต).๗๕ ความทุกข์และความพ้นทุกข์ชั่วคราว(นิพพานชั่วคราวในชาติปัจจุบัน)นี้ คนทั่วไปที่ศึกษาอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จะสามารถรู้เห็นทางจิตใจ หรือสัมผัสได้เหมือนกันหมด เพราะเป็นเรื่องที่เปิดเผย ชัดเจน และไม่มีเงื่อนงำใด ๆ. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ต่างก็ดับกิเลส ดับกองทุกข์ และเข้าถึงภาวะนิพพานอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันชาติของแต่ละท่านเช่นกัน เราจึงไม่ควรเสียเวลาด้วยการรอคอยนิพพาน(ชั่วคราว)ในชาติหน้าอีกต่อไป.
|