Homepage(index)

๓. ความดับทุกข์ (นิโรธ)

 

ความดับทุกขคือ ภาวะของจิตใจในขณะที่ไม่มีการคิดด้วยกิเลส หรือไม่มีตัณหา หรือไม่มีอุปาทาน.

การดับทุกข์ที่จิตใจเป็นเรื่องของปัจจุบันธรรม ซึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ และในปัจจุบันชาติของแต่ละบุคคลเท่านั้น การดับทุกข์ในอดีตที่ผ่านไปแล้วก็ได้จบไปแล้ว ส่วนการดับทุกข์ในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ดังนั้น การดับทุกข์ที่ให้ประโยชน์ คือ การดับทุกข์ในปัจจุบันขณะเท่านั้น.

ทันทีที่ไม่คิดด้วยกิเลสชั่วคราว ก็จะเข้าถึงความดับทุกข์ชั่วคราวหรือนิพพานชั่วคราว(ตทังคนิพพาน) ซึ่งเป็นนิพพานชั่วคราวที่รู้เห็นได้ทันตา(ทิฏฐธรรมนิพพาน) และเป็นนิพพานชั่วคราวที่ผู้บรรลุธรรมจะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง(สันทิฏฐิกนิพพาน) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดในปัจจุบันขณะ. (สรุปจากพุทธธรรม หน้า ๒๗๗ ป.อ. ปยุตโต).๓๓

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “นิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล เรียกมาดูได้ ควรน้อมเอาเข้ามาไว้ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน” (พุทธธรรม หน้า ๒๓๐ ป.อ. ปยุตโต).๓๔ การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า นิพพานเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก และไม่ต้องรอชาติหน้า รู้เห็นได้ทันตา ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนี่เอง. ผู้มีสติปัญญาทางธรรมจึงสามารถเข้าถึงภาวะนิพพานได้ทุกกาลเวลา และด้วยตนเองเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องของความคิดที่ไม่มีใครรู้เห็นได้ ต้องรู้เห็นด้วยสติปัญญาของตนเองเท่านั้น.

ความดับทุกข์ตามพุทธพจน์

ความดับทุกข์มีเหตุปัจจัยเชื่อมโยงซึ่งกันและกันตามที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก มีดังนี้ :-

“เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือเลย สังขารจึงดับ

เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ

เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ

เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ

เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ

เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ

เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ

เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ.

เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ

เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะชาติดับ ชรามรณะ(จึงดับ)”.

(พุทธธรรม หน้า ๘๒ ป.อ. ปยุตโต).๓๕

อวิชชาเป็นหัวกระบวนของความคิดที่เป็นกิเลส ถ้าดับอวิชชาไม่หมด ความดับทุกข์ชั่วคราว(ตทังคนิพพาน)ย่อมเกิดขึ้นในขณะที่ไม่คิดด้วยกิเลส(สังขารดับชั่วคราว).

ถ้าอวิชชาดับไม่เหลือเลย ความดับทุกข์(นิพพาน)จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้อย่างต่อเนื่อง. ดังนั้น การจะดับกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลส ต้องดับที่อวิชชา(ความหลง) ซึ่งเป็นหัวหน้าของกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลส.

การเกิดและดับของความทุกข์อย่างง่ายและย่อ ๆ มีดังนี้ :-

อวิชชา(ความหลง) ทำให้เกิดสังขาร ตัณหา อุปาทาน และความทุกข์เกิดขึ้นด้วย.

เมื่ออวิชชาดับ ทำให้สังขาร ตัณหา อุปาทาน และความทุกข์ดับไปด้วย.

การศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง ก็เพื่อดับอวิชชาซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ของกิเลสให้หมดสิ้น.

 

ความจำ สติ ความคิดในปัจจุบันขณะ เกี่ยวข้องกับความดับทุกข์โดยตรง

ถึงแม้จะมีข้อมูลด้านกิเลสอยู่ในความจำมากมาย แต่ถ้าไม่คิดด้วยกิเลส ข้อมูลด้านกิเลสก็จะไม่ปรากฏตัวออกมา จึงเป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีความทุกข์ในขณะนั้น.

ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์หรือโจรผู้ร้าย ขณะนอนหลับสนิทจะไม่มีการคิด จึงไม่มีความรู้สึก(ไม่มีเวทนา)ใด ๆ ทั้งสิ้น. ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงไม่ครอบคลุมถึงภาวะที่กำลังหลับสนิท แต่เป็นเรื่องของการควบคุมความคิดในขณะที่ตื่น ให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสตามโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นเรื่องของความคิดในปัจจุบันขณะเท่านั้น.

ความฝันเกิดขึ้นตอนใกล้จะหลับและตื่น เพราะขณะนั้นสติอ่อนกำลังลงมาก สมองจึงคิดปรุงแต่งภาพทางใจ(มโนภาพ) ได้แก่การฝันเป็นภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ ทางใจ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ (เวทนา = สุข ทุกข์ เฉย ๆ)ในขณะนั้น.

เมื่อใดที่คิดด้วยกิเลส ไม่ว่าจะเป็นการฝัน คิดฟุ้งซ่าน หรือตั้งใจคิด จะพบว่า กระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลสก็จะเกิดขึ้นทันที ความทุกข์ก็จะติดตามมาในขณะนั้น ๆ ทันทีเช่นกัน.

เมื่อเจริญสมาธิจนมีความตั้งมั่น จะสามารถหยุดความคิดได้ ความดับทุกข์ก็จะเกิดขึ้นชั่วคราว(ตทังคนิพพาน)ในขณะนั้น และขณะใดที่เจริญสติเพื่อควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้ ความดับทุกข์ก็จะเกิดขึ้นชั่วคราวในขณะนั้น นั่นคือ การดับหรือหมดไปของกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลสเป็นการชั่วคราวในช่วงที่สมาธิและสติมีความตั้งมั่น.(ศึกษาเรื่องนิพพานชั่วคราวเพิ่มเติมได้จากพุทธธรรม หน้า ๒๗๗ ป.อ.ปยุตโต).๓๖

ถ้าสามารถเจริญสมาธิและเจริญสติสลับกันไปในชีวิตประจำวันได้อย่างต่อเนื่อง ความดับทุกข์ก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันขณะ.

ถ้าเจริญสมาธิและเจริญสติไม่ถูกวิธี หรือไม่ต่อเนื่อง กระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลสและความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นด้วย.

วิธีดับกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลส

การดับกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลสต้องดับตรงหัวกระบวนจึงจะตรงประเด็น คือ ดับความไม่รู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง(ดับอวิชชาหรือดับความหลง) และรองลงมาคือ ดับความคิดที่เป็นกิเลส(ดับสังขาร).

เมื่อดับอวิชชาได้ สังขารก็จะไม่เกิด เมื่อสังขารไม่เกิด หัวข้อธรรม(องค์ธรรม)ต่าง ๆ ที่ต่อจากสังขารก็จะไม่เกิด หรือกระบวนการของจิตใจที่เป็นกิเลสก็จะไม่เกิด เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

ในขณะที่ท่านยังไม่สามารถรู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริงจนถึงที่สุด(ยังมีอวิชชาเหลืออยู่) ท่านจำเป็นจะต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรม(ใช้วิชชา)เท่าที่มีอยู่ในความจำ มาใช้ในการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิด เพื่อไม่ให้มีการคิดด้วยกิเลสอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้.

เมื่อท่านยังไม่มีความรู้และความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมที่หนักแน่นพอ แต่ต้องพบกับปัญหาที่รุนแรง หรือมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ท่านอาจไม่สามารถคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้ จึงเกิดความทุกข์ทางจิตใจขึ้น.

ความสำเร็จในการดับกิเลสและกองทุกข์จะมีมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความรู้และความสามารถทางธรรมของแต่ละท่านในปัจจุบันขณะนั่นเอง.

ความรู้ความสามารถทางธรรม(วิชชา)อาจเพิ่ม หรือลดลง หรือคงเดิม ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ผ่านไปแล้วและที่กำลังมีอยู่ในปัจจุบันขณะนั้น ๆ. ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความรู้และความสามารถทางธรรมเพิ่มขึ้น คือ ความเพียรในการดับอวิชชาให้หมดสิ้น.

ความมึนงง ความอ่อนเพลีย ความซึมเซา ความขุ่นมัวในใจ ที่มีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยทางกาย ไม่จัดว่าเป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลส แต่เป็นเพราะธรรมชาติของร่างกายและสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

เมื่อร่างกายอ่อนแอด้วยความป่วยไข้ มักจะกระตุ้นให้เกิดการคิดด้วยกิเลสได้โดยง่าย ดังนั้น ถ้าไม่มีความรู้และความสามารถเพียงพอในการรู้เห็นและควบคุมความคิด ก็จะทำให้เกิดการคิดด้วยกิเลส เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจได้ง่าย และความทุกข์ทางจิตใจนี้เอง ก็อาจจะซ้ำเติมให้เกิดความทุกข์ทางร่างกายมากขึ้น ทำให้หายป่วยช้าลงหรืออาจเป็นมากขึ้นก็ได้. เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว จึงควรดับอวิชชาให้หมดสิ้น.

การฝึกปฏิบัติธรรมคือการมีสติไม่คิดด้วยกิเลส

เป้าหมายหลักของการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน คือ การฝึกมีสติไม่คิดด้วยกิเลส(ดับสังขารในปฏิจจสมุปบาท).

การจะมีสติไม่คิดด้วยกิเลส(ดับสังขาร) ก็ต้องศึกษาอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ(มีวิชชา).

การจะดับเวทนา(ดับความทุกข์) ก็ต้องมีสติไม่คิดด้วยกิเลส.

การจะดับความทะยานอยาก ก็ต้องมีสติไม่คิดด้วยกิเลส.

การจะดับความยึดมั่นถือมั่น ก็ต้องมีสติไม่คิดด้วยกิเลส.

การจะดับภพ ชาติ ชรามรณะของจิตใจนั้น ก็ต้องมีสติไม่คิดด้วยกิเลส.

การฝึกปฏิบัติธรรมจึงเป็นการฝึกมีสติไม่คิดด้วยกิเลส เพื่อป้องกันกระบวนทางจิตใจที่เป็นกิเลสไม่ให้เกิดขึ้น หรือถ้ากำลังมีกระบวนการทางจิตใจเกิดขึ้น ก็ฝึกมีสติไม่คิดด้วยกิเลส เพื่อดับกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลสทันที.

เมื่อมีสติรู้เห็นว่า กำลังจะมีการคิดด้วยกิเลสเกิดขึ้น ก็ให้หยุด(ดับ)การคิดนั้น ๆ ทันที อย่าปล่อยให้คิดต่อแม้แต่วินาทีเดียว.

การปล่อยให้คิดด้วยกิเลสแม้แต่เวลาสั้น ๆ ก็จะทำให้เกิดการทบทวนข้อมูลด้านกิเลสในความจำ เป็นผลให้เกิดการจดจำข้อมูลด้านกิเลสมากขึ้น และเป็นเรื่องยากมากที่จะลดหรือลบข้อมูลด้านกิเลสออกจากความจำได้อย่างรวดเร็ว เพราะธรรมชาติของสมองมนุษย์ มักจะจดจำเรื่องกิเลสไว้ได้ดีและนานด้วย.

การอยู่กับปัจจุบันคือการปฏิบัติธรรม

ขณะเจริญสมาธิอยู่นั้น จะมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกอยู่ตลอดเวลา การทำเช่นนี้ คือ การอยู่กับปัจจุบันขณะ ย่อมทำให้ไม่มีความทุกข์.

ขณะเจริญสติอยู่นั้น จะมีสติอยู่กับกิจที่ตั้งใจกระทำอยู่ และคอยควบคุมความคิดไม่ให้เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านในเรื่องอดีตและอนาคต และไม่ให้คิดด้วยกิเลส คือ การอยู่กับปัจจุบันก็ย่อมไม่มีความทุกข์.

การตั้งใจ(มีสติ)คิดเรื่องอดีตหรืออนาคตโดยใช้เวลาตามความเหมาะสม เพื่อเอาข้อมูลในอดีตหรืออนาคตมาใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน หรือเพื่อเตรียมงานสำหรับอนาคตโดยไม่คิดด้วยกิเลส คือ การอยู่กับปัจจุบัน ย่อมไม่มีความทุกข์.

การตั้งใจ(มีสติ)คิดเรื่องอดีตหรืออนาคตโดยใช้เวลานานเกินไป หรือตั้งใจคิดด้วยกิเลส ก็ถือว่าเป็นการอยู่กับอดีตหรืออนาคต ไม่ใช่การอยู่กับปัจจุบัน ย่อมทำให้เกิดความทุกข์.

การตั้งใจ(มีสติ)คิดไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีเป้าหมาย ก็ไม่ใช่การอยู่กับปัจจุบัน.

การคิดฟุ้งซ่าน(ไม่มีสติ)ในเรื่องอดีตหรืออนาคต คือ การอยู่กับอดีตหรืออนาคต ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ย่อมไม่สงบ และถ้าคิดด้วยกิเลส ย่อมเกิดความทุกข์.

การเจริญสมาธิและการเจริญสติเป็นเรื่องของปัจจุบันขณะ. การดับความทุกข์(นิโรธหรือนิพพาน)เกิดขึ้นจากการเจริญสมาธิและเจริญสติสลับกันไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการดับความคิดที่เป็นกิเลสและความทุกข์ในอดีตหรืออนาคตแต่ประการใด แต่เป็นเรื่องของการดับความทุกข์ในปัจจุบันขณะนี่เอง.

พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุชื่อเถระที่ชอบอยู่ลำพังแต่ผู้เดียวว่า “….สิ่งที่เป็นอดีต ก็ละได้แล้ว สิ่งที่เป็นอนาคต ก็งดได้แล้ว ความพอใจติดใคร่ในการได้เป็นตัวตนต่างๆ (อุปาทาน*) ในปัจจุบัน ก็กำจัดได้แล้ว, การอยู่เดี่ยว ย่อมบริบูรณ์โดยพิสดารยิ่งกว่านั้นได้ ด้วยประการฉะนี้แล….” (พุทธธรรม หน้า ๗๒๒ ป.อ. ปยุตโต).๓๗ การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า การอยู่เดี่ยวก็ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ถ้าจะให้ครบบริบูรณ์อย่างแท้จริง ต้องสามารถควบคุมความคิดให้อยู่กับปัจจุบันจนไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่นด้วยความคิดที่เป็นกิเลสอีกต่อไป นั่นคือการเจริญสติสลับกับการเจริญสมาธิในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง เพราะการเจริญสติและการเจริญสมาธิเป็นการอยู่กับปัจจุบันและเป็นปัจจุบันธรรม.

คำว่า “ต่อเนื่อง” หมายถึงการปฏิบัติธรรมจนเป็นนิสัยในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ต้องมีสติในทุกวินาทีอย่างต่อเนื่อง เพราะการมีสติในทุกวินาทีอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นเรื่องสุดวิสัยของมนุษย์.

เรื่องข้ามภพข้ามชาติมีความสำคัญเพียงใด

ทุกคนควรศึกษากระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลสแบบข้ามภพข้ามชาติ เพื่อการค้นคว้าและใช้เป็นข้อมูลสำหรับสนทนาธรรมกับผู้อื่นได้ ขณะเดียวกันจะได้หาทางช่วยผู้อื่นที่ยังไม่รู้และไม่เข้าใจเรื่องกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลสที่เป็นปัจจุบันธรรม ให้รู้และเข้าใจได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงต่อไป.

ปฏิจจสมุปบาทประเภทข้ามภพข้ามชาติ ประกอบด้วย ๓ ชาติ คือ ชาติอดีต ชาติปัจจุบัน และชาติอนาคต. ในแต่ละชาติจะมีขั้นตอนอยู่จำนวนหนึ่ง เช่น :-

เพราะอดีตชาติมีชีวิตที่ประกอบด้วย อวิชชา สังขาร จึงเป็นเหตุปัจจัยให้(ทำให้)เกิดปัจจุบันชาติ ซึ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วย วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้(ทำให้)เกิดอนาคตชาติ ซึ่งประกอบด้วยชาติ ชรา มรณะ และความทุกข์ต่าง ๆ.

ผู้เขียนเองก็ขอสารภาพว่า ยังไม่มีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติได้ เพราะยังไม่สามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง. อริยสัจ ๔ แบบปัจจุบันธรรมในหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงมุมมองหนึ่งเท่านั้นเอง จึงขอให้ท่านผู้อ่านได้กรุณาค้นคว้าเรื่องอริยสัจ ๔ เพิ่มเติม และผู้เขียนก็จะดำเนินการเช่นเดียวกัน.

นิพพานเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

รุ่งอรุณหลังการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงอุทานด้วยความพอพระทัยในความสำเร็จของการค้นคว้าธรรมว่า “….ดูกร ตัณหา นายช่างเรือน บัดนี้ตถาคตพบท่านแล้ว แต่นี้สืบต่อไป ท่านจะทำเรือนให้ตถาคตอีกไม่ได้แล้ว….จิตเราปราศจากสังขารเครื่องปรุงแต่ง(วิสังขาร*)ให้เกิดในภพอื่น(เกิดภพใหม่*)เสียแล้ว ได้ถึงความดับสูญสิ้นไปแห่งตัณหา อันหาส่วนเหลือมิได้โดยแท้” (พุทธประวัติทัศนศึกษา หน้า ๔๑ พระธรรมโกศาจารย์ - ชอบ อนุจารีเถระ).๓๘

การที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องพระอุทานเช่นนี้ทำให้จับประเด็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงค้นพบว่า ตัณหานี่เอง ที่เป็นสาเหตุของความทุกข์ และพระองค์ได้ดับตัณหาจากพระทัย จึงทำให้เข้าถึงภาวะนิพพานในชาติปัจจุบันของพระองค์ รวมทั้งไม่มีการเกิดภพใหม่(“ภพอื่น”)ของจิตใจในปฏิจจสมุปบาทอีกต่อไป เพราะไม่คิดปรุงแต่งด้วยกิเลส(“วิสังขาร”) และไม่มีตัณหาอีกเลย.

ความพ้นทุกข์หรือการบรรลุภาวะนิพพานอย่างต่อเนื่องของพระพุทธเจ้า ก็คือการที่พระองค์ทรงสามารถดับกระบวนการของจิตใจที่เป็นกิเลสได้อย่างต่อเนื่อง หรือทรงดับอวิชชาที่เป็นหัวกระบวนได้หมดสิ้นนั่นเอง.

ทางสายกลาง คือ การดำเนินชีวิตโดยไม่มีความทะยานอยาก

พระพุทธเจ้าตรัสสอนปัญจวัคคีย์ที่ได้เป็นพระอรหันต์รุ่นแรกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา เราได้ตรัสรู้แล้ว ทำดวงตา ปรีชาญาณให้สว่าง เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือสิ้นตัณหาเครื่องรัดรึง” (พุทธประวัติทัศนศึกษา หน้า ๕๕ พระธรรมโกศาจารย์ - ชอบ อนุจารีเถระ).๓๙ การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า การดำเนินชีวิตตามทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้นั้น ทำให้พระองค์ทรงพบความสุขสงบ เพื่อการตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน นั่นคือ การดับตัณหาที่ผูกมัดจิตใจได้หมดสิ้น.

การดำเนินชีวิตตามทางสายกลาง คือ ไม่คิดด้วยกิเลส หรือไม่มีตัณหาและไม่มีอุปาทาน.

มรรคมีองค์ ๘ คือ วิธีปฏิบัติธรรม(ทางปฏิบัติ)เพื่อทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส. มรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่ทางสายกลาง แต่การปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ จะทำให้เกิดการดำเนินชีวิตตามทางสายกลาง คือ ดำเนินชีวิตด้วยจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีตัณหา เพราะไม่คิดชั่วและไม่ทำชั่ว จึงไม่มีความทุกข์(นิพพาน) แต่มุ่งคิดดีและทำดี เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสตามโอวาทปาฏิโมกข์.

ความดับทุกข์(นิโรธหรือนิพพาน)เกิดขึ้นเพราะตัณหาดับ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องความดับทุกข์เพียงประโยคเดียวแต่ทรงเน้นคำว่าตัณหาไว้ถึง ๖ ครั้งว่า “ภิกษุทั้งหลาย ความดับทุกข์(นิโรธ*)เป็นดังนี้คือ การสำรอกตัณหา ความดับตัณหา การสละตัณหา การบอกคืนตัณหา การหลุดพ้นจากตัณหา ความไม่มีอาลัยในตัณหาทั้งปวง” (อริยสัจ ๔ หน้า ๕๗ วศิน อินทสระ).๔๐ การตรัสย้ำเรื่องตัณหาเช่นนี้ เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความดับทุกข์ คือ ภาวะของจิตใจในขณะที่ตัณหาดับ.

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า นิโรธคือนิพพานไว้ดังนี้ “เพราะตัณหาสิ้นไปโดยประการทั้งปวง จึงนิโรธด้วยคลายออกได้ไม่มีเหลือเลย (นั่นแหละ)คือนิพพาน; สำหรับภิกษุผู้นิพพานแล้วนั้น เพราะไม่ถือมั่น(ไม่มีอุปาทาน*) ภพใหม่จึงไม่มี” (พุทธธรรม หน้า ๒๗๑ ป.อ. ปยุตโต).๔๑ การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความดับทุกข์ก็คือนิพพานนั่นเอง ซึ่งเกิดจากการไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่มีความยึดมั่นถือมั่น จึงไม่มีที่ตั้งของจิตใจที่เป็นกิเลสเกิดขึ้นในชาติปัจจุบัน(ไม่มีภพใหม่).

พระสารีบุตรซึ่งเป็นพระอรหันต์ได้กล่าวกับพระอานนท์ว่า “การดับภพเสียได้ ชื่อว่านิพพาน” (อริยสัจ ๔ หน้า ๗๐ วศิน อินทสระ).๔๒ การที่พระสารีบุตรกล่าวเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า นิพพาน คือ การไม่มีภพใหม่ของจิตใจที่เป็นกิเลสในชีวิตปัจจุบัน เพราะไม่มีการคิดด้วยกิเลส หรือไม่มีตัณหาและอุปาทาน.

ขอให้ท่านผู้อ่านสบายใจว่า ขณะที่มีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้ จะทำให้กระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลสไม่เกิดขึ้น นั่นคือนิโรธ หรือความดับทุกข์ หรือนิพพานในขณะนั้น ๆ นั่นเอง.

นิพพาน คือ ภาวะของจิตใจที่บริสุทธิ์เพราะไม่คิดด้วยกิเลส.

ถ้ามีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้ชั่วคราว นิพพานก็จะเกิดขึ้นชั่วคราว(ตทังคนิพพาน) และถ้ามีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้อย่างต่อเนื่อง นิพพานก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์.

หน้าที่ของท่านคือ มีความเพียรในการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดด้วยกิเลส หรือเข้าถึงภาวะนิพพานได้อย่างต่อเนื่อง.

คุณสมบัติของนิพพานในรูปแบบต่าง ๆ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนคุณสมบัติของนิพพานในรูปแบบต่าง ๆ ไว้มากมาย ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ ได้รวบรวมไว้ในหนังสือเรื่อง อริยสัจ ๔ หน้า ๗๓ พอจะสรุปได้ดังนี้ :-

“นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เพราะไม่ถูกกิเลสเบียดเบียน” ซึ่งหมายความว่า เมื่อใดที่ไม่มีการคิดด้วยกิเลส ความสุขสงบก็จะเกิดขึ้น นั่นแหละคือนิพพาน.

“นิพพานสูญอย่างยิ่ง เพราะนิพพานว่างจากกิเลส หรือไม่มีเชื้อไฟอีกเลย” ซึ่งหมายความว่า เมื่อใดที่ไม่มีการคิดด้วยกิเลส ความว่างเปล่าจากกิเลสและกองทุกข์ก็จะเกิดขึ้น นั่นแหละคือนิพพาน.

“นิพพานสงบอย่างยิ่ง เพราะสงบระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปาทิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่คลายกิเลส เป็นที่ดับสนิทแห่งกิเลสทั้งปวง” ซึ่งหมายความว่า เมื่อใดที่ไม่มีการคิดด้วยกิเลส(ระงับสังขารทั้งปวงได้) จึงทำให้ความทะยานอยากดับไป(ตัณหาดับ) และความยึดมั่นถือมั่นก็ดับไปด้วย(อุปาทานดับ) เป็นผลให้มีความสุขสงบเกิดขึ้น นั่นแหละคือนิพพาน.

ในขณะเจริญสมาธิและสมาธิมีความตั้งมั่น(ไม่ฟุ้งซ่านหรือหลับใน)ได้ดีพอสมควรแล้ว จะไม่มีการคิดด้วยกิเลส ภาวะของจิตใจในขณะนั้นคือภาวะนิพพานชั่วคราว(ตทังคนิพพาน).

ในขณะเจริญสติและสติมีความตั้งมั่น(ไม่ฟุ้งซ่าน)ได้ดีพอสมควรแล้ว จะไม่มีการคิดด้วยกิเลส ภาวะของจิตใจในขณะนั้นคือภาวะนิพพานชั่วคราว.

การเจริญสติและการเจริญสมาธิสลับกันไปอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันโดยไม่คิดด้วยกิเลส จึงทำให้เกิดภาวะนิพพานอย่างต่อเนื่องในจิตใจ.

นิพพานจึงเป็นภาวะของจิตใจในขณะที่ไม่คิดด้วยกิเลส หรือไม่มีความทุกข์ หรือไม่มีการเกิดขึ้นของกระบวนการของจิตใจที่เป็นกิเลส(วัฏฏะของจิตใจที่เป็นกิเลสและความทุกข์ดับไป).

ท่านผู้อ่านควรจะสบายใจได้ว่า ถ้าท่านมีสติคอยควบคุมความคิด ไม่ให้คิดด้วยความทะยานอยาก(ไม่มีตัณหา)ได้ชั่วคราว ท่านก็จะเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราว ถ้าท่านมีความเพียรมากขึ้นและไม่คิดด้วยความทะยานอยากได้นานขึ้น ภาวะนิพพานก็จะนานขึ้นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องของการพึ่งสติปัญญาทางธรรมของตนเองในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องพึ่งพิงสิ่งอื่นใด ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายแต่ประการใด.

เพื่อความไม่ประมาท จึงควรเพียรพยายามในการศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง เพื่อดับกิเลส(โลภ โกรธ หลง) และเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราว แล้วพยายามรักษาภาวะนิพพานที่เกิดขึ้นให้ต่อเนื่องในชีวิตประจำวันของชาติปัจจุบัน.

สรุป

ความดับทุกข์ หรือนิโรธ หรือนิพพาน เกิดขึ้นในขณะที่ไม่คิดอกุศล คือ ไม่คิดด้วยกิเลส(วิสังขาร) หรือไม่มีความทะยานอยาก(ตัณหาดับ) หรือไม่มีความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทานดับ) หรือไม่มีการเกิดของกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลส.

-------------------

ความดับทุกข์ชั่วคราวหรือนิพพานชั่วคราว(ตทังคนิพพาน)อยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง เพราะเกิดขึ้นในทันที่ไม่คิดอกุศล.

ท่านสามารถเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราวได้ด้วยการศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจัง ถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการดูแลจิตใจของท่านไม่ให้คิดอกุศล.

ถ้าท่านสามารถควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศลได้อย่างต่อเนื่อง ภาวะนิพพานในจิตใจย่อมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน.

คนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเพศใด ศาสนาใด ถ้ายังมีสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์ปกติ และมีความรู้ในเรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ก็สามารถเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราวได้เช่นกัน.

ถึงแม้จะเป็นชาวพุทธ แต่ไม่มีความรู้ในเรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ก็อาจมีความทุกข์ได้โดยไม่รู้ตัว.

 

 

 

1